“น่านะคะปรัณย์แหม ให้น้ำหวานได้อยู่ใกล้กับปรัณย์ด้วยเถอะนะคะ และน้ำหวานจะได้ฝึกงานไปในตัวด้วย”
ปรัณย์มองไม่ออกว่า การที่เขาพาน้ำหวานมาที่นี่ จะเป็นตัวป่วนสร้างความวุ่นวายหรืออุปสรรคหรือเปล่า แต่เขากลับพาลไปคิดว่า ตัวของรินรวีต่างหากท่าจะสร้างปัญหาแบบนี้ แต่เขาก็คิดว่า ตอนนี้ยังไม่มีใครเตรียมรองรับในตัวแก้วกานต์เลย แม้แต่ฝ่ายบุคคล ไม่ว่าหล่อนอยากจะทำงานมากขนาดนั้น และสิทธิในการตัดสินใจต้องอยู่ที่ฝ่ายบุคคลอย่างเดียว
ทำไม เป็นอย่างนี้ก็ไม่รู้แม้แต่ตัวเขาเองก็ตาม
ปรากฏว่ามีเสียงโทร.ดังขึ้นในตอนบ่ายโมง รินรวีกดรับสายเพราะเนื่องจากว่าเป็นธนิก เขาหายไปนานแล้ว นึกว่าจะไม่กล่าโทร.มาเสียอีก
“นิก สบายดีหรือเปล่า”
“สบายดีสิ รวี ถ้าไม่สบายใจนิกคงไม่โทร.มาหาหรอกนะ”
“ก้อ รินดีใจที่นิกยังไม่ลืมริน”
รินรวีตอบอย่างนี้เพื่ออะไร ชื่อของเธอสามารถเรียกได้สองคำ ทั้งพยางค์หน้าและพยางค์หลังจนดูชินแล้ว บางทีรินรวีเรียกตัวเองว่า ริน หรือรวี แต่เะอก็ขานรับทั้งสองคำเพราะเขาไม่มีความหวังแล้ว คงเหลือแต่ความเป็นเพื่อน เมื่อฟังดูจากน้ำเสียงแล้วเหมือนรินรวีเปลี่ยนไป น้ำเสียงเหมือนคนขบคิดบางอย่าง ที่เหมือนจะหนักใจ
“น้ำเสียงของรินบอกนิกว่า รินรู้สึกไม่ดีเลยใช่ไหม” หล่อนอาจจะขบคิดไปเรื่อยเปื่อย ทั้งงานและเรื่องส่วนตัว แต่บางทีก็มีแวบไปถึงเรื่องของสามีที่เขาทำตัวแหกคอกที่สุด แต่หล่อนก็ไม่อยากให้ธนิกต้องมาเป็นกังวลในเรื่องนี้ เพราะว่าเขาเจ็บปวดมากพอแล้วกับสิ่งทีเกิดขึ้น หล่อนเองนั้นในความรู้สึก สงสารธนิกมากกว่าตนเองด้วยซ้ำ
แต่จากน้ำเสียงของธนิกเหมือนเขาเข้มแข็งขึ้น อารมณ์เขาดีกว่าหล่อน อย่างเห็นชัด
“นิกไม่โกรธรินหรอกนะ ที่ตัดสินใจไปแล้ว” ถ้าหากเขาเข้าใจอย่างนั้นก็ดี
“แล้วเขาล่ะ สามีของริน” ธนิกไม่เคยพูดถึงปรัณย์ แต่เวลานี้เขามาพูด หล่อนไม่อยากให้ธนิกแตะต้องชื่อนี้เลย
“ผู้ชายคนนี้มีส่วนใช่ไหม ที่ทำให้รินเป็นแบบนี้”
“ไม่หรอก” หล่อนรีบตอบ “ไม่มีอะไรจริงๆ”
เมื่อหล่อนยืนยันแบบนี้เขาจำต้องเชื่อ ทั้งๆที่จริงไม่อยากเชื่อ แต่ก็เข้าใจไปในหัวอกลึกๆ ตั้งแต่การได้รู้จักเพราะความเป็นเพื่อนกับรินรวีมานาน รู้ดีว่า รินรวีนั้นเป็นคนรั้นขนาดไหน แบบหัวชนฝาและดื้อเงียบๆ
เขาก็พลอยนึกเป็นห่วง แม้สถานะภาพจะเปลี่ยนไป แทนที่จะได้ร่วมหอคู่วิวาห์ แต่ความเป็นเพื่อนยังคงเหนียวแน่น รวมทั้งคอยห่วงใยตลอดเวลา ในที่สุดธนิกก็ตัดบทด้วยการจบสนทนา เขาไม่อยากทำให้สมาธิของรินรวีกระเจิง รู้ว่าหล่อนเข้ามาช่วยและทำงานอยู่ที่บริษัทของสามี
แต่เอ้อ หล่อนลืมถามเขาไป อยากจะถามเขาไปหลายคำเหมือนกัน เช่น ธนิกได้งานทำใหม่แล้วหรือยัง
“ปรัณย์คะ ปรัณย์ต้องช่วยน้ำหวานให้เข้าทำงานด้วยนะคะ” แก้วกานต์นั้นรบเร้าอ้อนวอนเขาอีกครั้ง หลังจากที่ทานอาหารเสร็จกำลังจะเดินเข้าออฟฟิศ ซึ่งถือว่าสาย แต่จะเป็นไรไปเล่า เขาเป็นถึงผู้บริหาร แก้วกานต์ที่เดินตามเขาก็ไม่แคร์สายตาของใครหล่อนเดินมาพร้อมกับปรัณย์ และเกาะแขนเขาแจเลยทีเดียว
เมื่อน้ำเสียงมาใกล้ ทำเอารินรวีนึกอึ้ง ที่นึกว่าผู้หญิงคนนี้จะออกไปไกลจากบริษัทแล้ว
หล่อนทำตัวแบบเป็นเจ้าข้าวเจ้าของของปรัณย์แบบตัวถึงใจถึง
แบบนี้หรือเป็นความปรารถนาของปรัณย์ รสนิยมการชื่นชอบผู้หญิงคนหนึ่ง ชอบได้แค่ความสวยแต่เปลือก ความหวานในน้ำเสียง ของจิตใจลึกๆไม่ได้หวานอย่างที่คิดเลย เพราะเต็มไปด้วยหน้ากากของความตอแหลมายา
ปรัณย์เลยแบ่งรับแบ่งสู้กับหล่อน
“ก็ได้ เดี๋ยวผมจะลองเข้าไปคุยอีกที”
ฟังน้ำเสียงจากปากเขาก็เลยทำให้แก้วกานต์ใจเสียตั้งแต่ทีแรก งั้นเขาคงเข้าไปคุยกับฝ่ายบุคคลของบริษัทไปแล้ว แต่ฝ่ายบุคคลไม่ยอมรับหล่อนงั้น ตาถั่วจริงๆ ไม่รู้ว่าหล่อนเป็นใคร แก้วกานต์รู้สึกไม่พอใจใครไปหมด ที่ทำตัวเป็นก้างขวางคอและอุปสรรคของหล่อน
เมื่อเลิกงานของวันนั้นแล้ว รินรวีได้เก็บข้าวของบนโต๊ะพร้อมกระเป๋าสะพานหญิงสาวเดินลงไปข้างล่าง เพื่อที่ตรงไปยังรถยนต์ของหล่อนที่จอด และก็ขับกลับไปที่บ้าน แต่คิดว่า ยังไงเสียวันนี้ต้องฝ่าฟันการจราจรที่หนาแน่นอย่างคับคั่งในช่วงตอนเย็นเลิกงาน ได้ข่าวว่าทุบซ่อมแซมถนนบางสาย ทุบสะพาน ทำให้การจราจรติดแบบสะสม ขณะเดียวกันที่หล่อนก้าวลงมาจากข้างล่าง ตรงนั้นที่บันไดหินอ่อนก็เห็นภาพของปรัณย์กับแก้วกานต์เดินเคียงคู่กันไป
ทำไม ต้องมาเป็นเวลานี้ด้วยนะ หล่อนไม่อยากพบเจอกับภาพนี้ ลึกๆนั้นมันโหดร้ายกับจิตใจนัก คนอย่างแก้วกานต์นั้นเสแสร้งตีเนียนได้สนิทตานัก และหล่อนคงทำได้รีบก้าวไปที่รถแล้วสตาร์ทพุ่งออกจากซองที่จอด แล้วกลับออกไปเผชิญกับท้องถนนที่ต้องทำใจไว้อย่างแน่นหนักว่า ติดอย่างมากแน่นอน
เกือบชั่วโมงครึ่ง ที่รินรวีถึงบ้าน ขณะที่ปรัณย์ยังไม่ปรากฏตัวเข้ามาในบ้าน
ปรัณย์มัวแต่ไปส่งแก้วกานต์กลับบ้านพักและหล่อนยังอิดออดเพื่อขอให้เขาอยู่ต่อ รินรวีแทบจะร้องเพลงแบบลัลลาที่ชีวิตของหล่อนในตอนนี้ไม่มีเงาของเขาอยู่ใกล้
ปรัณย์กลับมาอีกครั้งในเวลาสามทุ่ม ไม่รู้ว่าเขาไปทำธุระที่ไหนต่อ แต่เมื่อเขาเดินมาเคาะประตู ไม่มีการเปิดประตูรับ
“เปิดให้หน่อย เปิดให้ฉันเดี๋ยวนี้นะ รินรวี” เสียงที่ดังมากอย่างนั้นก็ตาม แต่ไม่ได้รับความสนใจจากรินรวี เพราะหล่อนถือว่าเขามีกุญแจสำรองสามารถไขเข้ามาได้
เมื่อไม่ได้รับคำตอบอย่างนี้ จนปรัณย์ต้องขบคิด เขาจึงล้วงกุญแจออกมา แล้วไขเข้าไป
“ฮึ่มม” เขากัดฟันแน่นเมื่อก้าวเข้าไปข้างในประตูห้องของรินรวีล้อกสนิทแน่น ปรัณย์คงทำได้แค่ถอดเสื้อผ้าของเขาเหวี่ยงโยนทิ้งไปคนละทิศละทาง แล้วเอนตัวลงนอนบนโซฟายาวที่นอนของเขาเป็นประจำ เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะความอ่อนเพลียอย่างมากด้ว ยหลังจากที่เขาเริ่มไปทำงานแล้ว เขาเองก็ยังมีเรื่องวุ่นวายขุ่นเคืองใจเสมอ จาก แก้วกานต์ นั่นเพราะความรักหรอก เขาจึงทำตามเช่นนั้น รินรวีแทบไม่อยู่ในสายตาของเขาเลย
คุณทัศนาวรรณแม้เห็นว่าดึกแล้ว แต่เพราะคิดถึงลูกสาวการทำงานที่รินรวีตัดสินใจไปทำงานแล้ว แทนที่จะอยู่เฝ้าบ้านเหมือนเมื่อก่อน คนเป็นแม่นั้นมีความเป็นห่วงเป็นใยเสมอ ยิ่งกว่าลูกเขยที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมา
รินรวียังไม่ได้หลับนอน เล่นอยู่กับจอมือถือ