เสียงของรินรวีคราวนี้เลยกลายเป็นแข็งใส่เขาบ้าง ที่ปรัณย์เป็นคนพูดจาไม่รู้เรื่อง เขาหนักไปทางอารมณ์พาล และเหมือนคนไม่มีเหตุผลสิ้นดี รินรวีพยายามหลีกเลี่ยงเหลือเกินที่จะปะทะอารมณ์และคารมกับเขาในเวลานี้
แต่ดูเหมือนปรัณย์ก็เข้ามายุ่งเกี่ยวและเกี่ยวก่ายกับหล่อนจนหนักหน่วงแบบนี้ เขามาตามติดเพื่ออะไร รินรวีรเข้าใจอยู่หรอกการหาเรื่องของเขา แต่คนเราก็ควรมีขอบเขตและเวลาบ้าง กับกาลเทศะ นี่เขาคงจะสะกดคำนี้ไม่เป็นเลยสินะ ถืออำนาจบาตรใหญ่ว่าตัวเองเป็นทายาทของที่นี่
“แล้วไม่คิดหรือว่า ฉันจะเคาะประตูเข้ามา”
“ฉันไม่เคยฝันหรอกค่ะคุณปรัณย์ ว่าคุณจะให้เกียรติตัวเองเข้ามาในห้องนี้ ด้วยความรู้สึกที่ดี นอกจากเยาะเย้ยถากถางอย่างเจ็บแสบที่ปากของคุณพาไปทุกครั้ง อย่างสาสะอารมณ์ของคุณ แต่ขอบอกค่ะ ว่าคุณไม่สมควรมาที่นี่เลย โน่น ห้องของคุณก็มี”
รินรวีชี้นิ้วไปที่ห้องของเขาติดกับหล่อน เขายังทำยักคิ้ว ยักไหล่ใส่หล่อน กลายเป็นว่าร่างของปรัณย์กำลังอึ้ง เขายืนมองดูหล่อนเป็นฝ่ายบริภาษเขาอย่างรุนแรงเช่นกัน เขาก็ยอมรับว่าตัวเองไม่มีกาลเทศะเลยในเรื่องนี้
จิตติมาก้าวเข้ามาในอีกสิบห้านาทีต่อมา ขณะนั้นปรัณย์เดินสวนออกไปพอดี และจิตติมาก็ได้เห็นหน้าตาที่ไม่สู้ดีของลูกชายเจ้าของบริษัทที่เป็นทายาทซึ่งหล่อนพอจะรู้จักเขาดี หากแต่ปรัณย์ไม่ค่อยจะสนิทสนมกับใครง่าย และเขาเป็นคนอารมณ์หงุดหงิดอย่างนี้ ห้องที่อยู่ติดกันด้วย
และจิตติมาได้รับคำสั่งจากเจ้านายคือคุณนิ่มนวลให้มาเทรนด์งานลูกสะใภ้ เธอจึงยังคงจัดงานสะสางกับงานประจำที่ยังคั่งค้้างต่ออีกหน่อย
“พี่เองจ๊ะ” เมื่อเดินเข้ามาเคาะประตูพร้อมกับเอ่ย น้ำเสียงที่ได้ยินทีแรกนึกว่าเขาจะกลับมาก่อกวนอีก เห็นดังนั้นรินรวีแน่ใจว่าเป็นน้ำเสียงของคุณจิตติมาหรือคุณจี๊ด
“เชิญค่ะคุณจี๊ด”
แต่จิตติมาก็อดถามอย่างเลียบเคียงไม่ได้
“นี่เกิดอะไรขึ้นคะ คุณรวี เมื่อกี้พี่เห็นคุณปรัณย์เพิ่งจะผลุนผลันออกไป ท่าทางเธออารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” เมื่อจิตติมาเห็นภาพนั้นด้วย ทำให้้รินรวีนิ่งอย่างตรึกตรองไปก่อน จะให้คำตอบด้วยคำนี้
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่เข้าใจผิดกันนิดหน่อย” ที่รินรวีเอ่ยดูเหมือนเธอพยายามถนอมทั้งน้ำเสียงและคำพูดในเชิงที่ปกปิดความไม่ดีของเขากลายเป็นชื่นชม เธอไม่แน่ใจว่าเธอต้องทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร
ขลาดกลัว สร้างภาพหรือ นี่คือการเริ่มต้นสร้างครอบครัว ที่หล่อนต้องดูแลเขา ถึงแม้เขาก็ไม่ดูแลหล่อน ถึงใครจะว่ามันเป็นการสร้างภาพก็สร้างภาพเถอะ และหล่อนจะทำให้ดีที่สุด จากน้ำเสียงของลูกสะใภ้ของเจ้า
นาย ก็ไม่อาจทำให้จิตติมาเชื่อหรอก เพียงแต่เธอไม่อยากจะก้าวก่ายไปมากกว่านั้น เพราะรู้หน้าที่และสิทธิ์ของตัวเอง
“แต่พี่ถามเพราะความห่วงใยหรอกนะจ้ะ”
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆค่ะ” ทำให้รินรวีต้องย้ำคำพูดอีกครั้ง จากนั้นรินรวีพยายามสลัดเรื่องนี้ทิ้งไป ทั้งๆที่เธอรู้ดีอย่างมากเกี่ยวกับตัวปรัณย์ เขาไม่ใช่ใคร คนที่อยู่ในห้องด้วยกัน แต่ไม่ได้สัมผัสแตะต้องกัน อาจจะมีใครวิพากษ์วิจารณ์ปรัณย์ในทางที่แปลก เขาเหมือนคนขวางโลก ที่เอาแต่อารมณ์และใจของตัวเอง เขาชอบทำอะไรที่ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่น แม้แต่หล่อน
และหล่อนก็ไม่ยอมรับและหวังในความเมตตาและความรักจากเขา นั่นก็เพราะหล่อนไม่ใช่คนอ่อนแอด้วย รินรวีแข็งแกร่งมากพอ ที่จะยืนหยัดอะไรด้วยตัวเอง
ในเสี้ยวความรู้สึกของหล่อนไม่มีปรัณย์แล้วในตอนนี้ เป็นเพราะกำลังใจจากการที่จิตติมาแนะนำถ่ายทอดประสบการณ์รวมทั้งให้หล่อนทำในภาคปฏิบัติต่อมา รินรวีเรียนรู้ง่ายและค่อนข้างหัวดี แม้จะยังไม่คล่อง อาจจะเป็นเพราะเธอมีพื้นฐานในเรื่องเหล่านี้พอสมควร ดังนั้นจิตติมาจึงพอใจอย่างมาก ที่ลูกสะใภ้ของเจ้านายสาวใหญ่ เธอเรียนรู้เร็ว และท่าทางเป็นคนฉลาด
จิตติมาจึงปล่อยวางใจรวมทั้งจะต้องเข้าไปรายงานเจ้านายสาวให้ทราบด้วย และในระหว่างนั้นทำให้เธอกับลูกสะใภ้ของเจ้านายได้สนิทสนมและรู้จักกันมากขึ้น
รินรวีที่เธอได้เห็นจึงร่าเริงแจ่มใส เข้ากันคนอื่นง่าย และดูจะแสนน่ารักไปหมด อีกทั้งหน้าของหญิงสาวเป็นคนที่อ่อนหวานด้วย
เกือบสามชั่วโมงไปจนถึงบ่าย ที่ไม่มีร่างของปรัณย์มาวุ่นวายเกี่ยวข้อง ทำให้เธอสบายใจ แต่พอบ่ายสามเท่านั้น รินรวีได้ยินเสียงแปลกๆที่ดังขึ้นเป็นเสียงเล็กแหลมของผู้หญิงที่หล่อนเคยคุ้น เหมือนจะได้ยินจากที่ไหน ท่าทางแบบนี้กิริยาแบบนี้ เมื่อหล่อนเผลอเปิดประตูออกไปดู
ประตูห้องตรงกันข้ามเปิดอ้าไว้ และนั่นภาพตรงหน้าที่หล่อนได้มาเห็น นึกไว้ไม่ผิด น้ำเสียงและท่าทางนั้นต้องเป็นของแก้วกานต์ หล่อนรู้แล้วว่า ปรัณย์ยอมรับตัวแก้วกานต์เอาไว้ในตำแหน่งไหน แต่เขาก็ไม่ควรกระทำแบบนี้ เพื่อให้คนอื่นดูถูกและสมเพชเวทนาในตัวเขา รวมไปถึงตัวหล่อนด้วย
เห็นดังนั้นแล้วรินรวีรู้สึกตกใจอยู่ข้างใน หล่อนเมินสายตาไปทางด้านอื่น หากแต่ดวงตาในคราวนี้ที่กราดมองกลับเรียบเฉยสงบนิ่ง
ปรัณย์นั่งอยู่ในเก้าอี้สูงนวมแชร์ตัวเก่งของผู้บริหารอย่างเขา และเขาก็ไม่นึกว่าแก้วกานต์จะมารวดเร็วอย่างนี้ แค่บอกว่าเขามาอยู๋ในที่ทำงาน หล่อนอยากจะมาหาเขา และหล่อนก็มานัวนัวกับตัวเขาตรงนี้ด้วย
แน่นอนล่ะสายตาของรินรวีที่มองเห็น หากแววตาของปรัณย์ก็เย็นชากระด้างใส่ เมื่อแก้วกานต์ทั้งตกใจไม่น้อยที่จู่ๆหล่อนเพิ่งมาพบและเห็นว่า รินรวีที่เธอได้เห็นนั้นแต่งตัวสวยและทำงานอยู่ตรงหน้าห้องของผู้ชายที่หล่อนรัก ก็รู้สึกไม่พอใจ จากการแต่งกายและตำแหน่งหน้าที่นั้น แก้วกานต์รู้ว่าสูงอย่างมาก ซึ่งควรจะเป็นของหล่อนมากกว่า หล่อนอยากจะทำงานเพื่ออยู่ใกล้ชิดกับเขา
ดังนั้นแก้วกานต์จึงอุทานมาจากปากว่า
“รินรวี” แต่หล่อนก็ไม่คิดจะปิดประตู ด้วยต้องการท้าทายสายตาและทำให้หญิงสาวรู้ว่าหล่อนใกล้ชิดปรัณย์แค่ไหน เพราะเขาเลือกเธอ และรินรวีกำลังจะดึงประตูให้ปิดสนิท แต่น้ำเสียงก็ดังขึ้นก่อน
“รินรวีฉันเอง ไม่นึกเหมือนกันว่าเธอจะมาทำงานที่นี่ แล้วทำไมล่ะ มันจะต้องเป็นห้องที่ใกล้ชิดกับปรัณย์ด้วย”
ดูเหมือนสิ่งที่หล่อนเอ่ยเหมือนคนที่ขาดแบบไม่ดูตาม้าตาเรือเลย สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นเพราะหวงในตัวปรัณย์ และขาดสติ เธอจึงลืมคิดไปแล้วว่า ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้น กับรินรวีมีฐานะอย่างใดต่อกัน ซึ่งรินรวีรับรู้เสมอว่าเขาไม่ชอบหล่อน