"ซื้อยาคุมกำเนิดฉุกเฉินครับ" อคิราห์บอกกับเภสัชกรซึ่งยืนประจำอยู่เคาน์เตอร์ยา มัสยาเบิกตาโพลงพลันหันขวับไปจ้องมองใบหน้าคมคายของประธานหนุ่ม เขาจึงปรายตามองเธอกลับมาเล็กน้อยพลางล้วงกระเป๋าสตางค์ใบเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูท
"คุณ...แต่เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือคะ?" หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้ร่างสูงกำยำและกระซิบกระซาบเสียงเบา
"ค่อยไปคุยกันในรถ" อคิราห์พูดเท่านั้นแล้วจึงยื่นธนบัตรใบละหนึ่งพันบาทให้กับเภสัชกรสาว มัสยาชักสีหน้าบึ้งตึงเมื่อเห็นว่าเขากำลังหาเรื่องเอาเปรียบตน เธอเชิดหน้าหันหนีไปเห็นถุงกล่องถุงยางอนามัยซึ่งถูกจัดวางเรียงรายอยู่บริเวณหน้าเคาน์เตอร์ ครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเอื้อมมือไปหยิบมันมาสองกล่องและวางให้กับทางร้านขายยาคิดเงิน
"คิดรวมกันเลยนะคะ" ใบหน้าหวานยิ้มเจื่อน แม้วินาทีจะรู้สึกอายจนแทบอยากเอาปี๊บมาคลุมหัวแต่ทว่าก็จำใจต้องซื้อถุงยางอนามัยไปด้วย
"ทำอะไร?" ใบหน้าคมคายหันขวับมาเลิกคิ้วถามสีหน้าดุดัน
"ไปคุยกันในรถค่ะ" เธอยอกย้อน ระหว่างนั้นเภสัชกรได้ยื่นถุงกระดาษใบขนาดกลางซึ่งมียาคุมกำเนิดฉุกเฉินและกล่องถุงยางอนามัยอยู่ในนั้นให้อคิราห์พร้อมกับเงินทอน
"พอดีหยิบถุงยางผิดขนาดครับ" ซีอีโอหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ มือหนาเปิดถุงกระดาษและหยิบถุงยางอนามัยทั้งสองกล่องออกมาวางลงบนเคาเตอร์ จากนั้นจึงเอื้อมมือไปหยิบถุงยางอนามัยกล่องใหม่ซึ่งเขาจ้องเขม็งอ่านอยู่ครู่หนึ่ง มัสยาเหลือบเห็นขนาดซึ่งระบุอยู่บนกล่องเป็นหมายเลขห้าสิบแปดจึงได้แต่อ้าปากค้าง ความรู้สึกเขินอายหนักหนายิ่งขึ้นทำให้ร่างบางก้าวถอยไปยืนข้างหลังอคิราห์ท่าทางเลิ่กลั่ก
"ต้องจ่ายเพิ่มเท่าไหร่ครับ?"
"หนึ่งร้อยบาทค่ะ" เภสัชกรสาวคลี่ยิ้มในขณะที่รับเงินอีกหนึ่งร้อยบาทจากลูกค้า จากนั้นเขาจึงหมุนตัวหันกลับมาสบตาหญิงสาวพร้อมทั้งดึงข้อมือเล็กให้เดินออกไปขึ้นรถ
"คุณอคิราห์คะ..." มัสยาหันขวับมาจ้องมองใบหน้าคมคายแสนบึ้งตึงระหว่างที่ร่างสูงกำยำก้าวขึ้นมานั่งประจำที่คนขับ หญิงสาวได้แต่จ้องมองคนตัวโตอยู่เช่นนั้นโดยปราศจากคำพูดใดๆ
"คุณอคิราห์แกล้งมัสหรือคะ?"
"แกล้งอะไร?" เขาหันขวับมาเลิกคิ้วถาม
"ก็แกล้งหยิบถุงยางอนามัยขนาดห้าสิบแปดมาไงคะ จงใจจะหักหน้ามัสต่อหน้าคุณเภสัชใช่หรือเปล่าคะ?" ใบหน้าหวานร้อนผ่าว คิดไม่ถึงว่าตนจะกล้าเอ่ยถามคำถามเช่นนี้ออกไป
"ผมไม่ได้แกล้งครับ แต่มันขนาดนี้จริงๆ" อคิราห์ตอบพลางหันกลับไปหมุนกุญแจสตาร์ทรถและขับออกจากบริเวณหน้าร้านขายยา
"คนบ้า!"
"อย่าพูดจาแบบนี้ ผมไม่ชอบ"
"ไม่ชอบอะไรคะ มัสไม่ได้พูดคำหยาบเสียหน่อย" เธอเถียง
"พูดเสียงอ่อนโยน เสียงออดอ้อน น้ำเสียงอื่นไม่เอา" โทนเสียงออกคำสั่งมากกว่าเป็นการบอกกล่าว
"ก็ได้ค่ะ ต่อไปมัสจะพูดเพราะๆ พูดออดอ้อนอย่างที่คุณต้องการ แต่เรื่องนั้นมัสยังไม่ให้คุณทำนะคะ มัสยังไม่พร้อม" หญิงสาวตอบเสียงประชดประชันและยังสะบัดหน้าออกไปทางกระจกรถ ถึงแม้อีกฝ่ายจะออกตัวแต่แรกว่าชื่นชอบตนแต่ก็ใช่ว่าจะต้องยอมเสียง่ายๆ มัสยาได้แต่นึกหมั่นไส้ในใจ ผู้ชายอะไรถึงได้เย็นชาและท่ามากถึงเพียงนี้
"ที่ไม่ยอมเพราะผมยังไม่จ่ายสามล้านให้คุณใช่หรือเปล่า?"
"ไม่เกี่ยวหรอกค่ะ เงินสามล้านมัสจะต้องทวงอยู่แล้วในวันที่ต้องจ่ายค่าผ่าตัดแม่" ใบหน้าหวานหันกลับมาจ้องมองชายหนุ่มซึ่งกำลังตั้งหน้าตั้งตาขับรถตรงกลับไปยังคอนโดของเขา
"แล้วทำไมถึงได้เล่นตัวขนาดนี้?"
"มัสไม่ได้เล่นตัวนะคะ มัสแค่สงสัยว่าคุณซื้อยาคุมฉุกเฉินมาทำไมคะ เราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือคะว่าเราจะใช้ถุงยางอนามัย"
"ผมเปลี่ยนใจ"
"คะ?"
"ไม่อยากใช้ถุงยางแล้ว" อคิราห์ตอบเสียงราบเรียบราวกับเรื่องที่กำลังพูดอยู่นั้นเป็นเรื่องปกติ
"หมายความว่ายังไงคะ?" คิ้วเรียวขมวดยุ่งแทบหัวคิ้วจรดกัน
"ก็ไม่อยากใช้ ไม่เห็นจะต้องกังวลอะไรเลย ผมไม่ได้มีผู้หญิงคนอื่นอยู่แล้ว" ชายหนุ่มปรายตามองคนตัวเล็กข้างกายเล็กน้อย แล้วจึงหันไปตั้งหน้าตั้งตาขับรถเช่นเดิม
"คุณ...มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าคุณมีใครหรือไม่มีใครนะคะ มันเกี่ยวกับว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกันต่างหาก"
"ก็กำลังจะทำให้เป็นนี่ไง มัสเอาแต่ปฏิเสธอยู่แบบนี้ แล้วจะได้เป็นอะไรกันซักทีเหรอ?"
"คะ?"
"ดูเข้าใจยากจังเลยนะ ปกตินักศึกษามหาวิทยาลัยนี้ไม่ค่อยจะเข้าใจอะไรยากแบบนี้" อคิราห์ส่ายหน้าน้อยๆ ท่าทางเอ็นดูหญิงสาวเสียมากกว่าเอ็ดความช่างรู้มากขี้สงสัยของเธอ
"พูดแบบนี้แปลว่าเจรจาเรื่องแบบนี้เป็นนักศึกษาบ่อยหรือคะ?"
"เปล่า ที่จริงแล้วอาจเพราะไม่เคยพูดเรื่องที่มันลึกซึ้งขนาดนี้กับพวกเขา นักศึกษาพวกนั้นก็เลยอาจจะดูพูดง่ายกว่าพูดกับมัส"
"ที่คุณรับเลี้ยงดูนักศึกษา ไม่ได้ทำเรื่องบนเตียงจริงๆ หรือคะ?" มัสยาเอ่ยถามน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงอารมณ์ความหึงหวงโดยตนที่ไม่รู้ตัว ประธานหนุ่มจึงได้แต่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยกับท่าทางแสนงอนของอีกฝ่าย
"จะโกหกเพื่ออะไรครับ บอกว่าไม่เคยทำก็คือไม่เคยทำสิ" อคิราห์แกล้งตอบเสียงดุ
"แล้วทำไมถึงต้องรับเลี้ยงล่ะคะ?"
"ก็แค่รับอุปการะ นักศึกษาบางคนต้องทำงานหนักเพื่อส่งตัวเองเรียนและยังต้องหาเงินให้ครอบครัวด้วย ในฐานะที่ผมหาเงินได้มากกว่า ก็เลยคิดว่าควรจะเผื่อแผ่ให้คนอื่นบ้างก็เท่านั้น" ชายหนุ่มอธิบาย แววตาของเขาเปล่งประกายบ่งบอกถึงความบริสุทธิ์จริงใจ มันเป็นแววตาที่แทบจะไม่มีใครเคยเห็นทว่ามัสยากลับมีบุญตาได้สัมผัส
"ถ้างั้น...คุณก็เผื่อแผ่มัสโดยที่ไม่เห็นจะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนแบบนั้นเลยก็ได้นี่คะ" ใบหน้าสวยแอบผุดยิ้มเจ้าเล่ห์เล่นเชิงต่อรอง แอบปรายตามองเจ้าของใบหน้าคมคายที่ยังคงราบเรียบราวแผ่นกระดาษไร้หมึก
"ก็บอกแล้วไงว่าไม่เกี่ยวกัน สำหรับมัสมันคือความชื่นชอบส่วนตัว ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเงินที่ให้ไปต้องแลกกับเรื่องนั้น" คำตอบนั้นบ่งบอกถึงน้ำเสียงจริงใจอย่างชัดเจน มัสยาอมยิ้มกรุ้มกริ่มอย่างลืมตัว หัวใจดวงน้อยพองโตเมื่ออคิราห์พูดว่าชื่นชอบตนอีกครั้ง กว่าจะรู้ตัวอีกทีซีอีโอหนุ่มก็หักพวงมาลัยรถขับเข้ามาจอดบริเวณภายในคอนโดเสียแล้ว
"คืนนี้ถ้าไม่ยอมตกลงดีๆ เห็นทีจะต้องใช้ไม้แข็งแล้วนะ" เขาขู่เสียงดุแล้วจึงหันไปเปิดประตูก้าวลงจากรถ มัสยาเบิกตาโพลงอารมณ์หวามไหว จากนั้นจึงรีบคว้าเอากระเป๋าสะพายใบเล็กของตนเองมาถือไว้และกระโดดลงจากรถเพื่อเดินอ้อมไปหาประธานหนุ่ม
"คุณอคิราห์คะ"
"ครับ"
"มัส...มัสยอมก็ได้ แต่ว่า..." ใบหน้าสวยยิ้มเจื่อน อคิราห์จ้องมองคนตรงหน้าพลางขยับมือขึ้นมาโอบรั้งเอวบางเข้าแนบชิดกายกำยำ น่าแปลกใจที่ตนเอาแต่โหยหาสัมผัสอ่อนโยนและกลิ่นกายหอมละมุนของคนตรงหน้า ยิ่งวินาทีนี้ได้แนบชิดกลับยิ่งเรียกร้องจนยากเกินกว่าจะควบคุมอารมณ์ เขาโน้มใบหน้าคมคายลงมากดปลายจมูกโด่งแนบชิดพวงแก้มใส
"อื้อ! คุณหอมแก้มมัสนี่คะ?" ความเขินอายทำให้คนช่างเจรจาพูดโพล่งออกมาอย่างลืมตัว
"ทำไม หอมไม่ได้หรือยังไง?"
"ก็ไม่ได้เป็นแฟนกัน หอมแก้มกันได้ด้วยหรือคะ?"
"เฮ้อ...เมื่อกี้แต่ว่าอะไร?" ชายหนุ่มเฉไฉไปเรื่องอื่น เพราะไม่รู้จะอธิบายคำถามของหญิงสาวอย่างไรดี
"มัสไม่อยากคุยด้วยแล้วค่ะ จะกลับขึ้นห้อง" ร่างบางดิ้นขลุกขลักเพื่อให้หลุดจากพันธนาการอ้อมแขน แต่ทว่ากลับถูกกอดรัดแน่นยิ่งขึ้น
"อย่าดื้อ"
"ปล่อยมัสนะคะ"
"ถามว่าเมื่อกี้ แต่ว่าอะไร?" อคิราห์เลิกคิ้วถามน้ำเสียงจริงจังยิ่งขึ้น
"พูดก็ได้ค่ะ ถ้าเราจะต้องมีอะไรกัน...คุณต้องเลิกรับเลี้ยงนักศึกษาคนอื่นๆ" มัสยาตอบด้วยสีหน้าบึ้งตึง ริมฝีปากอวบเบะคว่ำลงราวเด็กน้อยเอาแต่ใจ
"ทำไมครับ?" เขาเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ
"ก็ถ้ามัสเป็นของคุณแล้ว มัสก็คงไม่อยากเห็นคุณไปไหนมาไหนกับนักศึกษาคนอื่น เหมือนที่คุณไม่อยากให้มัสถ่ายฉากจูบกับพระเอกของมัสไงค่ะ" แม้จะรู้สึกเขินอายจนใบหน้าร้อนผ่าว แต่ทว่าเธอจำเป็นต้องบอกความต้องการของตนเองออกไป มัสยาหลบสายตาร้อนแรงของอีกฝ่ายโดยการซบใบหน้าหวานลงแนบอกแกร่ง
"ไม่รับปาก ต้องขอดูพฤติกรรมมัสก่อน" แม้คำตอบจะฟังดูไร้เยื่อใย แต่ทว่าวงแขนกำยำกลับกอดรัดเอวบางคอดแน่นยิ่งขึ้นด้วยความหวงแหน
"พูดแบบนี้แปลว่าคุณคงจะทิ้งมัสเร็วๆ นี้ใช่ไหมคะ?"
"มัสพูดเองนะ ผมไม่ได้พูด" ชายหนุ่มตอบกลับทันควัน เขาไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น
"คุณ!" ใบหน้าหวานง้ำงอ คุยกับผู้ชายเย็นชาเช่นอคิราห์นั้นช่างน่าเหนื่อยหน่าย ต่อให้เธอพูดออกไปมากมายเขาก็คงจะตอบกลับมาแค่ไม่กี่คำ หญิงสาวดิ้นขลุกขลักและผละใบหน้าออกจากแผงอกแกร่ง ร่างอรชรเดินจ้ำอ้าวนำหน้าคนตัวโตขึ้นไปยังห้องคอนโดราวกับเป็นบ้านของตนเอง