“ท่านลุงเฉา ท่านอยู่หรือไม่? นี่ข้าอาเฟิงเองขอรับ” เย่เฟิงก้าวลงจากรถม้าตรงเข้าไปทุบประตูไม้ผุพังนอกรั้ว
ตะโกนเรียกอยู่นานสองนานก็ยังไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่อยู่ด้านใน เย่เฟิงตัดสินใจกระโดดข้ามกำแพงดินเข้าไปถอดสลักเปิดประตูรั้วให้รถม้าเคลื่อนตัวเข้ามาด้านใน ส่วนเขาก็รีบวิ่งเข้าไปในตัวเรือน
เฉากงและครอบครัวเป็นคนงานทำนาที่อาศัยอยู่ร่วมกับบิดามารดาของเย่เฟิงมาเนิ่นนาน และเป็นท่านลุงเฉาที่ส่งจดหมายแจ้งข่าวการตายของคนทั้งคู่ให้เขารับรู้
เย่เฟิงจึงฝากเรือนสกุลเย่ให้ท่านลุงที่เปรียบได้กับสหายของบิดาเป็นผู้ดูแล โดยให้เขาและครอบครัวใช้ที่ดิน 30 หมู่ของตนหาเลี้ยงชีพแทนค่าจ้าง
ยามนี้ชายชราน่าจะมีอายุราว 80 ปี แต่เขายังมีภรรยาและบุตรชายหญิงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเย่เฟิงอาศัยอยู่ด้วย
ต่อให้เกิดอะไรขึ้นกับท่านลุงชราโดยที่เขาไม่รับรู้ บุตรชายทั้งสองก็สมควรจะยังทำกินอยู่บนที่นา 30 หมู่มิใช่หรือ? บุตรชายหญิงของท่านลุงก็ควรมีหลานวิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆ เหตุใดเรือนจึงได้เงียบกริบดูเสื่อมโทรม ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นรกสูงราวกับไม่มีใครดูแลมาเนิ่นนานเช่นนี้
ร่างชราผ่ายผอมจนหนังติดกระดูกค่อยๆ ใช้ไม้เท้าเดินออกมาจากตัวเรือนด้านในอย่างเชื่องช้า เฉากงได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกแล้ว แต่เป็นเพราะความชราทำให้กว่าจะลุกขึ้นยืนได้ก็เนิ่นนานจนเย่เฟิงเข้ามาถึงในเรือน
ดวงตาฝ้าฟางของเฉากงมองเห็นใบหน้าที่เขาจดจำได้ขึ้นใจตรงหน้าพลันน้ำตาไหลอาบแก้ม
“อาเฟิง..อาเฟิงเจ้ากลับมาแล้ว อาเฟิงของพวกเรากลับแล้วนะสหายข้า” ผ่านมาสามสิบปี เย่เฟิงก็ยังคงเป็นอาเฟิงหนุ่มน้อยรูปงามคนเดิมในความคิดของเฉากง เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเย่หยวนผู้เป็นทั้งนายและสหายรัก
“ท่านลุงไม่ต้องรีบร้อน ท่านค่อยๆ เดิน” เย่เฟิงรีบพุ่งไปพยุงร่างชราที่พยายามโผเข้ามาหาตนด้วยความคิดถึง
“ข้าผิดต่อเจ้าผิดต่อสกุลเย่แล้วอาเฟิง ข้ามันคนเนรคุณ ฮือๆๆๆ” ชายชราร่ำไห้คร่ำครวญราวกับต้องการระเบิดความโศกเศร้าทั้งชีวิตออกมาในคราวเดียว
เย่เฟิงไม่ถามต่อ เขากอดร่างเล็กเอาไว้แน่น ลูบหลังชายชราเบาๆ พลางมองไปทั่วเรือน
เรือนเล็กหลังเดิมในความทรงจำของเขาถูกต่อเติมให้มีขนาดใหญ่กว้างขวางกว่าเก่า นั่นก็เป็นเพราะบิดามารดารับรู้ว่าบุตรสะใภ้หย่งเหลียนกำลังตั้งครรภ์ พวกเขาจึงสร้างห้องหับเพิ่มไว้อีกหลายห้องเพื่อรอให้สะใภ้มาคลอดบุตรที่หมู่บ้านลี่เจียง แต่กลับกลายเป็นว่าทั้งคู่ต้องมีอันเป็นไปไปเสียก่อน
ตัวเรือนได้รับการทำความสะอาดเท่าที่แรงของชายชราจะทำได้ แต่กระนั้นก็ยังมีส่วนหลังคาประตูหน้าต่างที่ผุพังไปตามกาลเวลาปรากฏให้เห็นเด่นชัด
แต่สิ่งที่แทบจะตอบคำถามในใจของเย่เฟิงได้ในทันทีก็คือ ในเรือนไม่เหลือเครื่องเรือนที่สมควรมีเลยสักชิ้น แม้แต่เก้าอี้หรือกระถางต้นไม้สักอันก็ยังไม่เหลือ นั่นคงเป็นคำตอบที่ชายชรากล่าวว่าเขาผิดต่อสกุลเย่
หย่งเหลียน อนุรองและอนุสามช่วยกันพาเด็กหญิงวัย 8-12 ปี สี่คนเข้ามาภายในตัวเรือน พวกนางไม่แม้แต่จะเบ้หน้ากับสภาพที่ไม่มีข้าวของเครื่องใช้อำนวยความสะดวกเลยสักชิ้นภายในเรือนหลังใหญ่
สตรีทั้งสามช่วยกันหาผ้ามาปูลงบนพื้นกลางโถงใหญ่อันกว้างขวางเปิดช่องรับลมตามธรรมชาติให้เด็กหญิงทั้งสี่ได้นอนพักราบเรียนอยู่บนพื้นที่ไม่สั่นคลอนเหมือนบนรถม้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ส่วนเย่เซิ่งเจียชายหนุ่มวัย 18 ปี กำลังช่วยพี่สาวคนรองเย่ชิงอี้เกลี้ยกล่อมเย่หานซิ่นพี่สาวคนโตให้ลงมาจากรถม้าอย่างยากลำบาก
“พี่ใหญ่ ท่านลงมาก่อนเจ้าค่ะ รถม้าขนของให้เราหมดแล้วพวกเขายังต้องรีบเดินทางกลับเมืองหลวงอีกนะเจ้าคะ ท่านจะทำให้พวกเขาเสียเวลาเปล่า ประเดี๋ยวจะหาที่พักในอำเภอกันไม่ทัน”
เย่หานซิ่นนั่งก้มหน้ากอดร่างตัวเองเองเอาไว้แน่น ดวงตาทั้งสองข้างของสตรีวัยเกือบ 40 ปี บวมช้ำจากการร้องไห้ทุกวันมาตลอดสามเดือนที่เดินทางออกจากเมืองหลวง
“พวกเราคือครอบครัวเดียวกัน พี่ใหญ่คิดว่าน้องชายอย่างข้าจะดูแลท่านไม่ได้เชียวหรือขอรับ ท่านทำอย่างนี้ข้าเสียใจยิ่งนัก” เย่เซิ่งเจียช่วยเกลี้ยกล่อมอีกคน
เย่หานซิ่นช้อนสายตามองหน้าน้องสาวคนรองและน้องชายสามด้วยแววตาเสียใจ ตำหนิตัวเอง
“ข้าเป็นภาระของพวกเจ้า เป็นตัวถ่วงของสกุลเย่ ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วด้วยซ้ำ พวกเจ้าให้คนขับรถม้าพาข้าไปทิ้งไว้ที่ใดก็ได้ ข้าไม่อยากให้ท่านพ่อท่านแม่ต้องมาทุกข์ใจเรื่องข้า”
“แล้วข้าเล่าพี่ใหญ่ ข้าก็เป็นหญิงหม้ายเช่นเดียวกับท่าน หากหญิงหม้ายหย่าสามีทุกคนต้องปลิดชีพตัวเองให้ตายตกไปทั้งหมด เช่นนั้นข้าก็สมควรตายไปพร้อมกับท่านด้วย”
สตรีสองพี่น้องประสานสายตาพร้อมกับร่ำไห้เบาๆ ออกมาพร้อมกัน เพียงแต่คนหนึ่งยังตกอยู่ในห้วงความทุกข์ แต่อีกคนร่ำไห้เพราะสงสารพี่สาวของนาง
ยามที่บิดาถูกสั่งโบยอยู่ในศาลตุลาการยังไม่ทันได้ถูกตัดสินยึดทรัพย์สิน สกุลสามีของเย่หานซิ่นก็รีบร้อนส่งตัวสะใภ้พร้อมกับหนังสือหย่ามาถึงจวนสกุลเย่ภายในไม่กี่ชั่วยาม มารดาและบุตรต้องแยกจากกลายเป็นหญิงหม้ายโดยไม่ทันตั้งตัว
ส่วนเย่ชิงอี้เมื่อรู้ข่าวว่าพี่สาวคนโตถูกหย่าร้าง บิดาถูกตัดสินปลดออกจากตำแหน่งและถูกยึดทรัพย์สิน นางก็ส่งหนังสือหย่าขาดให้สามีของนางเช่นกันเพื่อกลับมาอยู่เคียงข้างพี่สาวและครอบครัว บุตรสาวของนางเป็นที่รักในสกุลสามี สองแม่ลูกสั่งเสียปรับความเข้าใจกันได้ดีและจากกันโดยไม่มีสิ่งใดค้างคาใจ
“ข้าเล่า ข้าก็เป็นบุรุษที่ถูกเจ้าสาวทอดทิ้งเช่นกันมิใช่หรือ นี่พวกท่านกำลังล้อเลียนข้าอยู่ใช่หรือไม่พี่สาวทั้งสอง”
คำพูดของเย่เซิ่งเจียทำให้สตรีสองคนยิ่งร่ำไห้หนักกว่าเก่า แต่สุดท้ายสามพี่น้องก็กอดกันเข้ามาในเรือนได้ในที่สุด
พอถึงตัวเรือนเย่เซิ่งเจียจึงได้เข้ามาสมทบกับบิดาและล่วงรู้ความเป็นไปของเรือนบรรพบุรุษและชายชราเฉากง
“ท่านป้าของเจ้าจากไปหลายปีแล้วอาเฟิง หลังจากนั้นข้าก็เริ่มเจ็บป่วยแก่ชราลงทุกวัน บุตรชายหญิงทั้งสามกินอยู่สุขสบายจากการปล่อยที่นาของสกุลเย่ให้ผู้อื่นเช่า พวกเขาไม่ได้ทำงานทำการอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักอย่าง” เฉากงเล่าความด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ภายหลังบุตรสาวของข้าก็ออกเรือนไปอยู่อำเภออื่น ส่วนบุตรชายทั้งสองก็พาลูกเมียเข้ามาอาศัยเรือนใหญ่แห่งนี้หลับนอน แต่เพราะพวกเขาขี้เกียจเงินจึงไม่พอใช้ และแอบขโมยของในเรือนไปขายทีละชิ้น ข้าพยายามแล้วจริง ๆ แต่ข้าไม่มีเรี่ยวแรงจะไปต่อสู้กับพวกเขา” เฉากงสูดหายใจกลั้นสะอื้นจนตัวโยน เมื่อนึกถึงภาพที่ตนถูกบุตรชายและบุตรสะใภ้รุมทุบตี
“ชาวบ้านที่เคยเช่าที่นาสกุลเย่เห็นว่าพวกเขาเป็นคนไม่ดี จึงดัดสันดานพวกเขาด้วยการเลิกเช่าที่นาของเจ้า พอไม่มีเงินและขายของในเรือนไปจนหมดสิ้น พวกเขาก็ทอดทิ้งข้าไว้ที่นี่เพียงลำพัง แปดปีมานี่ข้าอาศัยอาหารที่ชาวบ้านนำมาให้ประทังชีวิต อยู่เฝ้าดูแลเรือนสกุลเย่ได้ตามเรี่ยวแรงที่ทำได้เท่านั้น”
เย่เฟิงรับฟังเรื่องราวทั้งหมดด้วยหัวใจที่เจ็บปวดทรมาณอย่างถึงที่สุด สิ่งเดียวที่เป็นตราบาปในชีวิตเกือบหกสิบปีของเขาคือเรื่องการไม่ได้กลับมาดูแลบิดามารดาให้ดีในยามที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พอตัวเองสุขสบายก็ไม่มีบิดามารดาให้ดูแลแล้ว
แต่บุตรชายของท่านลุงเฉากลับทำตรงกันข้าม มีบิดาอยู่ใกล้ตัวแต่กลับทอดทิ้งให้ชายชราต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเพียงลำพังอย่างโหดร้าย
“อี้ก!!!” อดีตแม่ทัพใหญ่ยกมือขึ้นกุมหน้าอกเอาไว้แน่น ดวงตาเบิกค้างลมหายใจหอบถี่กระชั้น
“ท่านพ่อ/ท่านพี่!!”
“อาเฟิง!!”
“ท่านพ่อของพวกเจ้าเก็บความทุกข์ไว้ในใจไม่ไหวแล้วเซิ่งเอ๋อร์” หย่งเหลียนรีบเข้ามาประคองศีรษะของเย่เฟิงเอาไว้ อนุรองและอนุสามต่างก็พากันเข้ามาปลดเสื้อที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อของเย่เฟิงออก ช่วยกันบีบนวดให้อีกฝ่ายผ่อนคลายอารมณ์ลง
“ไม่ได้การแล้วท่านแม่ ข้าจะกลับเข้าไปที่อำเภอหวงซานอีกรอบ เราต้องพาท่านพ่อไปหาท่านหมอก่อน” เย่เซิ่งเจียเห็นใบหน้าของบิดาเขียวคล้ำ ทั่วร่างแผ่ไอร้อนผะผ่าวขึ้นมาอย่างรวดเร็วเหมือนคนมีไข้สูง เขารีบแบกบิดาขึ้นหลังโดยมีภรรยาและลูกๆ ช่วยประคองตามออกจากเรือนไปอย่างระมัดระวัง
โชคยังดีที่คนขับรถม้ายังคงเติมน้ำใส่ถังไม้เพื่อใช้สำหรับดื่มกินขากลับ พอรู้ว่านายท่านใหญ่สกุลเย่ล้มป่วยกะทันหันก็อาสาพากลับไปส่งที่อำเภอหวงซานโดยไม่คิดเงิน