เช้าวันต่อมา อินทวิชญ์ไปเล่นกับหลานชายที่บ้านตามที่บอกไว้ ทั้งสองลงเล่นน้ำด้วยกันที่สระว่ายน้ำอย่างสนุกสนานโดยมีอินทิรานั่งมองที่ขอบสระหัวเราะไปกับน้าหลาน ชายหนุ่มวางความคิดทั้งหลายลงเพื่ออยู่กับหลานชายตัวน้อยที่เขารักที่สุด
“ว่ายมาเลยโฟล์ก เร็วเข้า ว่ายมา ฮ่า ๆ”
อินทวิชญ์พาหลานชายที่สวมปอกแขนชูชีพไปปล่อยไว้กลางสระเพื่อให้ว่ายมาหา “น้าอวิ๋นขี้โกง อย่าหนีโฟล์กสิ อยู่เฉย ๆ ห้ามว่ายหนี”
เด็กชายใช้สองแขนและสองขาตีน้ำว่ายไปหาน้าชายที่ว่ายหนีไปเรื่อย ๆ อย่างสนุกจนเหนื่อยแล้วมาเกาะขอบสระ
“นี่ เราก็ว่ายน้ำได้แล้ว ไม่ต้องใส่ปลอกแขนแล้วมั้ง ถอดออกดีมั้ยครับ”
เขาเสนอ เด็กชายก็พยักหน้ารีบตอบ
“โฟล์กก็อยากถอดครับ” มันช่วยให้ไม่จมก็จริง แต่ทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้อย่างใจนัก
“มะ ถอดออกดีกว่า”
ความจริงเด็กชายหัดว่ายน้ำตั้งแต่ขวบกว่าจนถึงตอนนี้สี่ขวบก็สามารถว่ายน้ำในสระได้เองแล้วแต่เพื่อความปลอดภัยก็ต้องมีผู้ใหญ่อยู่ด้วย และเพื่อความไม่ประมาทก็ต้องสวมปลอกแขนทุกครั้งอินทวิชญ์ถอดปลอกแขนให้หลาน
“พร้อมมั้ย”
“พร้อมครับ”
ตู้มมม... น้าหลานกระโดดลงน้ำพร้อมกัน ก่อนจะโผล่ขึ้นมาหัวเราะเอิ้กอ้าก
“เอาอีก ๆ”
“ได้เลยไอ้หนู”
สองน้าหลานเล่นกันจนเหนื่อยจึงขึ้นมานั่งพัก อินทิราเช็ดตัวให้ลูกชาย ระหว่างนั้นซิ่วหลินก็เดินออกมา
“สนุกใหญ่เลยใช่มั้ยครับหลานยาย”
“สนุกมากครับ” เด็กชายตอบแล้วก็หัวเราะ ซิ่วหลินจึงหันไปพูดกับลูกสาวว่า
“ระหว่างรอเปิดเทอม แม่ว่าให้โฟล์กไปเรียนร้องเพลง เรียนดนตรีก่อน หรือจะเรียนพิเศษภาษาเพิ่มก็ดีนะลูก โตไปยังไงก็ต้องใช้ ดีมั้ยครับโฟล์กหลานยายจะได้เก่ง ๆ ไงครับ อยากเรียนอะไร ดนตรีมั้ยลูก”
“โฟล์กอยากเล่นกับน้าอวิ๋นครับคุณยาย”
“โถลูก ยังไงก็ได้เล่นกับน้าอวิ๋นทุกวันอยู่แล้ว เรียนเสร็จกลับมาก็ได้เล่น”
“แต่โฟล์กอยากอยู่กับน้าอวิ๋นทั้งวันเลย”
ว่าแล้วเจ้ารถเต่าก็วิ่งเข้าไปแทรกตัวอยู่ระหว่างขาชายหนุ่มที่นั่งอยู่ เขารวบร่างนั้นขึ้นมานั่งตักทันที ในขณะที่ผู้เป็นยายทำหน้าเหนื่อยใจ
“แต่ยายอยากให้โฟล์กเรียนดนตรี เหมือนคุณตาไง คุณตาของโฟล์กเล่นกีตาร์เก่งแล้วก็เท่มากเลยรู้มั้ย”
เด็กชายทำหน้ายู่ แหงนมองหน้าน้าชายอย่างขอความช่วยเหลือ อินทิราถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้นว่า
“อย่าเพิ่งให้โฟล์กเรียนอะไรเลยค่ะคุณแม่ หนูอยากให้ลูกได้เล่นไปตามวัยก่อน ไม่อยากบังคับ”
“เอ้า แล้วแบบนี้เปิดเทอมไปจะตามเด็กคนอื่นทันได้ยังไง รู้มั้ยว่าลูกคนอื่นเขานอกจากเรียนแล้วยังมีความสามารถพิเศษอื่นอีกตั้งหลายอย่างนะ แม่ว่าเริ่มเรียนตั้งแต่เล็กจะดีกว่า”
“ผมเห็นด้วยกับพี่อวี้นะครับ อย่าเพิ่งให้โฟล์กเรียนอะไรมากเลย เด็ก ๆ เรียนรู้จากการเล่นแล้วมีผู้ใหญ่คอยแนะจะดีกว่า” อินทวิชญ์ที่นั่งฟังอยู่เอ่ยขึ้นบ้าง
ซิ่วหลินถอนหายใจค้อนลูกทั้งสองอย่างขัดใจ “เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยนะสองพี่น้อง แม่ไม่มีความหมายแล้วสิ”
“โถ คุณแม่ครับใครจะคิดแบบั้น”
ขณะที่สามแม่ลูกคุยกันยังไม่จบเสียงเรียกเข้าจากสมาร์ตโฟนของอินทวิชญ์ก็ดังขึ้น เป็นนิ่มอนงค์ที่โทร. มา มือหนาหยิบมือถือขึ้นมากดรับสาย ทว่าสีหน้าเรียบเฉย
“ครับน้องนิ่ม”
“พี่อวิ๋นแผลเป็นไงบ้างคะ นิ่มเป็นห่วง”
เขาหลุบสายตามองปลาสเตอร์ที่ติดไว้กลางฝ่ามือแล้วตอบเสียงนุ่ม
“อ๋อ ไม่เป็นไรแล้วครับ”
“แล้ววันนี้พี่อวิ๋นว่างมั้ยคะ นิ่มอยากชวนออกมาหาอะไรทานแล้วก็เดินเล่นที่อัคราด้วยกันค่ะ”
คำขอนี้ส่งผลให้ดวงตาคมตวัดมองหน้ามารดาและพี่สาว ก่อนจะก้มมองศีรษะทุย ๆ ที่ขยับยุกยิกอยู่ในผ้าเช็ดตัวที่คลุมอยู่ ในฐานะคู่หมั้นที่แสนดี เขาควรจะออกไปเจอแฟนสาวไม่ใช่หรือ
“ครับ”
^
^
^
****โปรดติดตามตอนต่อไปนะค้า สุขสันต์วันลอยกระทงค่า