เพราะแต่เดิมสกุลไป๋เป็นทหารมาร่วมสองร้อยปี บุตรชายจึงอายุสั้นจากการออกไปทำศึกอยู่แล้วจนมาถึงเซี่ยกั๋วกงที่ไม่ตายแต่สุดท้ายก็ให้กำเนิดบุตรชายได้เพียงคนเดียวกลับบาดเจ็บหนักยากจะมีบุตรได้อีก พอสิ้นแม่น้อยไป๋คราวนี้สกุลไป๋จึงจบสิ้นแล้วจริง ๆ
ไทเฮาหรือมารดาของเขาจึงได้เสนอให้ตอบแทนสกุลไป๋ด้วยการรับคุณหนูรองไป๋ให้แต่งเข้าราชวงศ์เป็นไป๋กุ้ยเฟยทันที ส่วนคุณหนูสามไป๋นั้นเนื่องจากแต่เดิมในอดีตสมัยที่มารดาของเขายังเป็นฮองเฮาเคยทาบทามสู่ขอและถึงขั้นหมั้นหมายเอาไว้กับเขาแล้ว เช่นนี้ก็ให้แต่งเข้าตำหนักชินอ๋องเป็นพระชายาเอกของเขาตามสัญญาเก่าไปเสีย ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อต้องการตอบแทนสกุลไป๋จากใจจริงของมารดาเขาและพี่ชาย บุตรสาวสองคนแต่งเข้าราชวงศ์ทั้งหมดต่อไปคนสกุลไป๋ก็จะรู้สึกมั่นคงไปอีกหลายสิบปี
นั่นแหละเขาจึงเพิ่งจะนึกได้ว่าตนเองเผลอลืมคู่หมั้นคู่หมายที่อายุน้อยกว่าเขาถึง5ปีไปเสียสนิท แต่เพราะช่วงนั้นไป๋อวี้นางยังติดสอบจบการศึกษาจากสำนักศึกษาหลวงของซ่งหยวนพิธีสมรสของเขาจึงเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อน แรกพบหน้าของคู่หมั้นนั้นเฉินอี้หานไม่ได้รู้สึกพิเศษอันใด ถึงนางจะนับว่าเป็นโฉมงามผู้หนึ่งก็ตาม
อาจเพราะภายในวังหลวงนั้นมีสาวงามมากมายจะงดงามราวกับเทพธิดาก็เคยเห็นมาหมดแล้ว และนับจากเกิดเรื่องกบฏองค์ชายสามเขาก็ซาบซึ้งแล้วว่าสตรียิ่งโฉมงามกลับยิ่งอันตรายมากไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจนัก เลยไม่หวั่นไหว นอกจากไม่หวั่นไหวเขาออกจะไม่ชอบที่อีกฝ่ายมักทำท่าทางเย่อหยิ่งและเข้าถึงยาก ค่อนข้างไปทางเย็นชา
หากเขาไม่ถามนางก็ไม่พูด เคยมีครั้งหนึ่งเขาถูกเชิญไปดื่มน้ำชาที่จวนเซี่ยกั๋วกงเพื่อจะได้รู้สึกคุ้นเคยจะแต่งงานกัน เขาจำได้ไม่ลืมไป๋อวี้ยังขออนุญาตเขาทบทวนตำราแพทย์เพราะใกล้สอบเต็มทน นางเปิดตำราได้ก็ราวกับหลุดเข้าไปในโลกของตำรา ลืมแม้แต่จะชวนเขาพูดคุยตามมารยาท จนเขาอดทนไม่ไหวลุกขึ้นปึงปังจากมาไป๋อวี้ยังไม่รู้สึกตัว เขาเกิดมาถึงจะเป็นองค์ชายลำดับกลาง ๆ แต่ก็เกิดจากฮองเฮาเช่นเดียวกับองค์ไท่จื่อ ย่อมไม่เคยสักครั้งถูกสตรีเมินเฉยราวกับเขาเป็นอากาศมีอยู่แต่นางกลับมองไม่เห็น
เขาโกรธมาก ไม่ไปพบนางอีกจนถึงวันสมรส ในวันสมรสเขาจึงคิดจะเอาคืนนางโดยทำเป็นไม่ใส่ใจนางบ้าง ช่วงพิธีรับตัวเจ้าสาวจากบ้านเดิมจึงแสร้งไม่ไป ส่งเพียงขันทีบอกพิธีการกับองครักษ์ไปคุ้มกันเท่านั้น พอถึงพิธีกราบไหว้ฟ้าดินและบรรพชนเขาคิดจะส่งไก่ไปอยู่แล้ว แต่คิดได้เสียก่อนว่าออกจะเกินไปสักหน่อยถึงจะโกรธไป๋อวี้แต่เซี่ยกั๋วกงกับสกุลไป๋ก็ไม่เกี่ยวข้องด้วย เขาทำเช่นนั้นออกจะทำร้ายคนสกุลไป๋เกินไป
แต่พอถึงพิธีเข้าหอคราวนี้ได้อยู่กันเพียงลำพังมีหรือเขาจะไม่กลั่นแกล้งแม่สาวน้อยหน้าน้ำแข็งระบายโทสะ ในเมื่อนางชื่นชอบอ่านตำรานัก เขาก็จะจัดการให้นางอ่านอย่างสาสม ตำรากฎเกณฑ์ของสตรีแต่งเข้าราชวงศ์รวมไปถึงคำสอนกฎข้อห้าม สิ่งใดทำได้ สิ่งใดห้ามทำ ไปจนถึงธรรมเนียมปฏิบัติมากมายถูกสั่งให้นำมาในห้องหอ
เขานั่งบนเก้าอี้มีไป๋อวี้ที่แต่งกายด้วยชุดเจ้าสาวแสนจะหนักอึ้งนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นที่ทั้งแข็งและเย็นเฉียบตรงหน้าของนางมีตำราเล่มหนาวางอยู่ ภายใต้แสงเทียนมงคล มีกลิ่นเครื่องหอมกลิ่นพิเศษเอาไว้สร้างบรรยากาศให้คู่บ่าวสาวกลับมีเสียงโทนเดียวดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ท่องกฎเกณฑ์ของตำหนักชินอ๋องก่อนเป็นเล่มแรก
จนถึงวันนี้เฉินอี้หานยังมิอาจลืมเลือนราตรีเข้าหอนั้นได้เลย เพราะแทนที่คุกเข่าและท่องไปพักใหญ่ไป๋อวี้จะวิงวอนออดอ้อนให้เขาใจอ่อนเช่นสตรีอื่นเพราะทนเจ็บหัวเข่าและเหน็บหนาวไม่ไหว แต่ท่องและอยู่ในท่าคุกเข่าจากยามซวีจนถึงยามอิ๋น เสียงแหบเสียงแห้งสุดท้ายแทบไม่มีเสียงจะเปล่งออกมานางก็ไม่ปริปากขอร้องเขาจนสุดท้ายนางก็หมดสติไปเมื่อปลายยามอิ๋นพอดี
…นางช่างเสียสติไปแล้วจริง ๆ …
แน่นอนว่าเพราะนางถูกเขาทรมานไปถึงขนาดนั้นย่อมล้มป่วย เสียงแหบเป็นเป็ดตัวผู้ไปเกือบครึ่งเดือนและมีไข้สูงจนต้องเชิญหมอหลวงมารักษาอยู่ถึง7วัน ทว่าฮ่องเต้รวมไปถึงไทเฮาล้วนไปทราบ เพราะต่างเข้าใจไปกันเองว่าราตรีเข้าหอเขาหนักมือกับพระชายามากไปสักหน่อย ยิ่งขนาดร่างกายของเขากับนางต่างกันมากอย่าเอ่ยถึงฮ่องเต้กับไทเฮาเลย แม้แต่คนในตำหนักยังคิดเช่นนั้น คิดแล้วก็ไม่รู้ขบขันหรือรู้สึกผิดดีที่ตนเองลงมือกับเด็กสาวอายุเพียง16ปีหนักหนาเช่นนั้น
แต่พอเขาเห็นสายตาเมื่อยามเผลอของไป๋อวี้ในยามแอบมองเขาซึ่งนางคงคิดว่าเขาคงไม่เห็นก็เปลี่ยนจากความรู้สึกผิดเป็นอยากจะกลั่นแกล้งนางอีกครั้งและอีกครั้งขึ้นมาทันที สายตาเช่นไรน่ะหรือ?
สายตาที่คล้ายจะเจ็บแค้น แต่ก็แฝงรอยรักใคร่ บางครั้งสายตาของนางมองมายามที่เขาแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นนั้นราวกับอยากตบเขาสักเปรี้ยงไม่ก็หยิบกระบี่มาแทงเขาสักแผลสองแผล แต่อีกประเดี๋ยวก็คล้ายจะเป็นห่วงเป็นใย สลับกันไปมา ผู้อื่นอาจคิดว่าเขาเสียสติแล้วเป็นแน่หากรู้ว่าเขาโคตรจะชอบสายตาของนางในยามเผลอนั้นเป็นบ้า!
เพราะเขารู้สึกว่าสายตาเช่นนั้นต่างหากคือตัวตนแท้จริง ส่วนใบหน้าเย็นชากับสายตาแข็งทื่อที่นางชอบทำเวลาไม่เผลอตัวนั่นมันคือหน้ากากที่นางสวมเอาไว้ให้เขาพึงใจเท่านั้น ดังนั้นนับจากนั้นต่อมาเขาจึงชอบหาเรื่องรังแกนางทุกวันหากมีโอกาส เพราะอยากให้นางเผยตัวตนแท้จริงกับเขาเสียที เช่นไรก็แต่งงานกันแล้ว แถมเป็นสมรสพระราชทานอีกด้วย หากไม่ถึงที่สุดหรือเกิดเรื่องร้ายแรง พี่ชายผู้เป็นฮ่องเต้ย่อมไม่มีวันอนุญาตให้เขากับนางหย่าขาดจบสิ้นวาสนาคู่ครองเป็นแน่ เขาก็แค่อยากให้นางวางตัวเป็นกันเอง ไม่ใช่วางตัวห่างเหินเช่นที่ผ่านมา
แต่ยิ่งเขาหาเรื่องนาง ก็คล้ายกับผลักให้นางยิ่งห่างเหิน จนเมื่อเดือนก่อนเขาจึงคิดว่าตนเองคงจะทำผิด ก้าวพลาดไปตั้งแต่ต้น จึงเริ่มใหม่เพราะรู้สึกตัวแล้วว่าตนเองชอบพอไป๋อวี้ขึ้นมาแล้วจริง ๆ อาจถึงขั้นรักนางไปแล้วด้วย ถึงจะไม่มากแต่นี่ก็ดีมิใช่หรือสำหรับชีวิตคู่ของเขา แต่เพราะไป๋อวี้พูดน้อยเข้าถึงยาก เขาไม่รู้จะเกี้ยวพาราสีพระชายาของตนเองเช่นไร นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้หลิ่วจื่ออิงเข้ามาวุ่นวายในตำหนักชินอ๋องของเขานอกจากนางจะแค่เพียงมาหาไป๋อวี้เท่านั้น
เพราะเขาเห็นว่าหลิ่วจื่ออิงคือสหายเพียงคนเดียวที่ไป๋อวี้สนิทสนมทำตัวติดกันตลอด จึงคิดจะสอบถามข้อมูลต่าง ๆ ของไป๋อวี้ผ่านทางหลิ่วจื่ออิง แต่ใครมันจะคิด สตรีไร้ยางอายผู้นั้นจะคิดไม่ซื่ออยากรวบหัวรวบหางสวามีของสหายรักได้ลงคอ
…สารเลวยิ่งนัก!…