หลังจากซื้อของเสร็จแล้วก็รีบกลับบ้าน โดยอาศัยเกวียนเทียมคันใหม่ที่จะผ่านหมู่บ้าน อาจเพราะขากลับไม่ใช่เวลาที่คนจะกลับกันจึงมีคนบนเกวียนเทียมน้อยมาก
ซิ่วอิงแอบฟังที่ลุง ๆ ป้า ๆ นินทาเรื่องต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูลไปด้วย ไม่แน่อาจมีประโยชน์ต่อตัวเองในอนาคต หลังลงจากเกวียนมาก็รีบเดินลัดเลาะไปตามชายป่าเพื่อกลับบ้านสกุลเว่ย
กลับมาถึงบ้านโชคดีที่ไม่มีใครเห็น เพราะอย่างที่กล่าวเอาไว้คนบ้านรองนั้นชอบขลุกศึกษาหนังสืออยู่ในห้อง ส่วนย่าเว่ยก็ยังไม่กลับมาจากไปฝอยอยู่บ้านอื่น
เว่ยซิ่วอิงมองซ้ายมองขวาแล้วแอบเดินเข้าห้องเล็กของครอบครัวตัวเองไป ปิดประตูลงตามหลังแล้วจึงพรูลมหายใจออกจากปาก
“โชคดีที่ไม่มีใครเห็นนะ ดูเหมือนจะแอบออกไปบ่อย ๆ ไม่ได้ แต่ภายในหนึ่งอาทิตย์นี้ต้องหาทางออกจากบ้านสกุลเว่ยอีกให้ได้!”
ตอนนี้เว่ยจิงจิงอยู่ในร่างของเว่ยซิ่วอิงแล้ว และต้องใช้ชีวิตในฐานะเว่ยซิ่วอิงต่อไป นี่คือโอกาสมีชีวิตอีกครั้ง เธอไม่ยอมปล่อยมือไปง่าย ๆ และจะทำให้มันดียิ่งขึ้น
กลับเข้ามาในห้อง เธอเงี่ยหูฟังเสียงคนในบ้าน เมื่อแน่ใจว่าจะไม่มีใครมาหาเรื่องก็เอนหลังลงบนที่นอน
วูบ~
ทันใดนั้นทั้งร่างก็มาโผล่ในร้านเครื่องสำอางแล้ว
ซิ่วอิงมองไปรอบ ๆ เห็นว่าของที่ซื้อมากองอยู่บนพื้นพร้อมถุงใส่เงิน หญิงสาวเดินไปหยิบพวกนั้นมาวางบนโต๊ะ ลากเก้าอี้มานั่ง เปิดอาหารออกกิน
“อาหารของที่นี่ก็ใช้ได้ หรือเราเจอร้านอร่อย” นึกถึงร้านซาลาเปากับร้านบะหมี่ที่เจ้าของเอาอาหารมาขายในตลาดมืด ก็แอบจดจำใบหน้าของพวกเขาเอาไว้ในใจ
คนค้าขายในตลาดมืดเมื่อเปิดเสรีการค้าส่วนใหญ่มักจะลงทุนเปิดร้านค้าหรือบริษัทเป็นของตัวเอง รู้จักคนไว้เยอะ ๆ ก็ไม่เสียหายอะไร
ขณะที่เคี้ยวอาหารตุ้ย ๆ มือก็หยิบกระเป๋าผ้ามาเทเงินออกบนโต๊ะ เริ่มใช้นิ้วเรียวนับอย่างช้า ๆ
“ไหนดูซิ ขายของวันนี้ได้สี่ร้อยหยวน ซื้อข้าวของหมดไปร้อยหยวนเลยเหรอ” คงเพราะกว้านซื้อพวกเครื่องปรุง ข้าวสารอาหารแห้ง เนื้อสัตว์ ผักผลไม้จากในตลาดมืดมาจำนวนหนึ่ง เลยใช้เงินไปไม่น้อยทีเดียว จากตอนแรกกำหนดว่าจะใช้แค่ยี่สิบหยวนก็ไม่เพียงพอ แล้วยังใช้เงินมือเติบไปขนาดนั้นอีก
“นี่เท่ากับค่าใช้จ่ายในบ้านนี้สองสามเดือนเลยนะ” ค่าใช้จ่ายในบ้านส่วนใหญ่มาจากการซื้อเครื่องปรุงและเนื้อสัตว์เล็กน้อยเพื่อบำรุงคนในครอบครัว แม้จะไม่ค่อยมีตกถึงท้องครอบครัวซิ่วอิงบ้างก็ตาม
แต่ส่วนที่ใหญ่จริง ๆ กลับเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียนของเด็ก ๆ ทั้งสามคนในบ้าน เว่ยหยางหลานชายคนโตของบ้าน อายุห่างจากเธอเพียงไม่กี่เดือน อายุสิบแปดแล้วแต่ยังเรียนไม่จบมัธยมปลายเลย
ถึงอย่างนั้นกลับถูกตามใจให้ไปเรียน เมื่อเรียนจบย่าก็ตั้งใจจะซื้อตำแหน่งพนักงานโรงงานในเมืองให้ ต้องใช้เงินอีกมาก ชีวิตแตกต่างจากซิ่วอิงอย่างสิ้นเชิง
เว่ยหนานเป็นเด็กสาวที่วางตัวเป็นผู้ดีเพราะตามเอาใจลูกสาวคนมีเงินในเมืองเลยได้อานิสงส์หลาย ๆ อย่าง ปากหวานก้นเปรี้ยวแต่ก็เข้ากับผู้อาวุโสได้ดี จึงเป็นหลานรักอีกคนที่ถูกตามใจและได้รับอนุญาตให้เรียนต่อ
เว่ยจุนหลานชายคนสุดท้องยิ่งเป็นที่รักและหวงแหน ใช้เงินไปกับการเรียนมากที่สุดเพราะเรียนเก่ง ถึงแม้ในความทรงจำจะไม่ค่อยได้ข้องเกี่ยวกันแต่ซิ่วอิงคิดว่าคนคนนี้เป็นคนที่เย็นชาและโหดร้ายที่สุดในบ้าน เพียงแต่ฉลาดมากเท่านั้นเอง
สรุปแล้วบ้านรองมีเพียงอารองที่ใช้แรงงานโดยทำงานในทุ่ง ถึงอย่างนั้นก็เป็นงานสบายกว่ามาก เพราะเมื่อสิบปีก่อนพ่อถูกแย่งตำแหน่งนั้นไป
นี่เป็นตำแหน่งที่อารองอาศัยความกตัญญูของพ่อเพื่อแย่งชิงไป แม้หัวหน้าหมู่บ้านและเลขานุการคอมมูนจะต้องการเลื่อนระดับให้พ่อ แต่ตำแหน่งนั้นเขาจะมอบให้ใครต่อก็เป็นสิทธิ์ของเขา ดังนั้นจึงทำอะไรไม่ได้อีกเมื่อเป็นแบบนี้
พ่อของซิ่วอิงช่างโง่เขลาเหลือเกิน เขาตกอยู่ภายใต้หลุมลึกที่ไม่สามารถเติมได้เต็ม โดนควบคุมด้วยคำว่าเป็นลูกชายคนโตต้องดูแลครอบครัว แล้วยังต้องกตัญญูต่อพ่อแม่
ซิ่วอิงต้องหาวิธีทำอะไรสักอย่าง บางทีหลังจากนี้เธออาจจะต้องคุยกับพ่อแม่ตรง ๆ
เธอเข้าใจได้ว่าทำไมเว่ยตงจึงไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรให้เด็ดขาดเสียที ข้อแรกเขาเป็นลูกชายคนโต ตามกฎแล้วพ่อแม่จะอยู่กับลูกชายคนโตจนแก่เฒ่า ข้อสองเขาไม่มีลูกชายจึงไม่สามารถแยกบ้านได้ตามกฎ และหากต้องการแยกบ้านออกไปเองก็จะผิดกฎข้อแรกและโดนกล่าวหาเรื่องอกตัญญูได้ง่าย ๆ
ข้อที่สามคือ การแยกบ้านจะได้รับที่ดินจากหมู่บ้านตามจำนวนสมาชิกชายในครอบครัว ผู้หญิงเด็กและคนแก่จะไม่นับเว้นแต่จะบุกเบิกเอาเอง และในยุคนี้กฎหมายข้อนี้เป็นโมฆะไปชั่วคราว
ข้อสุดท้าย พ่อรู้ดีว่าด้วยความโหดเหี้ยมของย่า พวกเขาจะถูกไล่ออกจากบ้านตัวเปล่า ย่าไม่ยอมแบ่งทรัพย์สินอย่างเป็นธรรมแน่ ดังนั้นหากออกไปอยู่กันเองก็เท่ากับพาลูกเมียออกไปอดตาย
คนเราถ้ามีหนทางรอดอย่างไรก็ต้องอยากหลุดออกจากกรงขังอยู่แล้ว โดยเฉพาะกรงที่อัตคัดอย่างนี้ ใช่ว่าเว่ยตงไม่อยากทำอะไรเลย เขาเคยลองหลายครั้ง จนรู้ว่าพูดกับพ่อไปก็เปล่าประโยชน์ พ่อของเขาให้แม่จัดการแทบทุกเรื่อง
ยิ่งตอนนี้ปู่เริ่มล้มป่วยจนไปทำงานในทุ่งได้แค่เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยิ่งทำให้อำนาจในบ้านตกไปอยู่ในมือของย่าเกือบทั้งหมด
หวังซื่อครอบงำตระกูลนี้มาหลายสิบปี จนปู่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารายรับรายจ่ายของบ้านเป็นอย่างไร คงไม่รู้ว่าครอบครัวอาใช้เงินไปเท่าไร และบ้านใหญ่หาเงินเข้าบ้านได้เท่าไร
บางทีถ้าคิดในมุมที่ปู่เฉยเมยขนาดนั้น เผลอ ๆ ย่าอาจเป่าหูและพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับพ่อต่อหน้าปู่ได้ นี่จึงเป็นเรื่องยากที่จะจัดการกับผู้อาวุโสในบ้าน
แต่ตอนนี้ปัญหาที่เว่ยตงกังวลจะไม่เกิดขึ้น แม้ออกจากบ้านนี้ไปตัวเปล่า เธอก็มั่นใจว่าจะพาพ่อแม่อยู่รอดไปจนแก่เฒ่าได้ รุ่งเรืองและร่ำรวยในฐานะแม่ค้าจากอนาคต!
ดังนั้นเว่ยตงผู้เป็นพ่อก็ควรเปลี่ยนความคิด และมีหนทางเดียวเท่านั้น คือการบอกความจริงออกไป
แต่จะบอกอย่างไรล่ะ…
ร่างบอบบางเก็บขยะรวมในถุง ก่อนที่จะทันได้ทำอะไร ถุงขยะนั้นก็สลายหายไปต่อหน้าต่อตา
“ดีเหมือนกันนะ ไม่ทิ้งขยะไว้เป็นมลพิษ” หรือบางทีขยะที่หายไปอาจถูกนำมาใช้ซ้ำเป็นบรรจุภัณฑ์พวกนั้นที่ระบบสร้างขึ้นก็ได้
แกรก!
เสียงความเคลื่อนไหวดังขึ้น ประตูเปิดออก ซิ่วอิงจึงลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนตัวเอง หันไปด้านข้างเห็นแม่มองมาด้วยความเป็นห่วง
“แม่ กลับมาทำอาหารเย็นเหรอคะ”
“แม่ทำเสร็จแล้ว อิงเอ๋อร์ลุกไหวไหมลูก ออกไปกินข้าวกัน”
“พ่อล่ะคะ” มองไปด้านหลังเห็นพ่อเดินเข้ามาพอดี
“กลับมาแล้วเหรอคะ” แม่เองก็รับรู้ได้ หันไปช่วยพ่อมานั่งลง หาน้ำมาให้ดื่ม นั่งสักพักพ่อก็พูดออกมา
“ซิ่วอิง เป็นยังไงบ้างลูก ดีขึ้นบ้างไหม”
“ดีขึ้นนิดหน่อยค่ะ”
มองใบหน้าที่ยังซืดเผือดของลูกสาว ใจของเว่ยตงยังหวาดกลัวไม่หาย ก่อนหน้านี้อาการแย่จนเกือบตาย โชคดีที่ผ่านพ้นมาได้ คนเป็นพ่อรู้สึกผิดจนทำอะไรไม่ถูก
“พ่อ แม่… ปิดประตูดี ๆ เถอะค่ะ อิงอิงมีเรื่องจะปรึกษา”
“อิงเอ๋อร์มีอะไรเหรอลูก” ผู้เป็นแม่เอ่ยถาม หลังปิดประตูหน้าต่างดีแล้ว ตรวจสอบแน่ใจว่าไม่มีคนมาแอบฟัง
แน่นอนว่าตอนนี้ไม่มีใครมาแอบฟังเพราะทั้งบ้านคงกำลังกินข้าวโดยไม่ได้สนใจเลยว่าบ้านใหญ่จะไปกินหรือไม่ อย่างไรก็นั่งกันคนละโต๊ะอยู่แล้ว