เว่ยซิ่วอิงหยิบผ้าคลุมผืนใหญ่ที่พ่อแม่ซ่อนไว้ให้เธอใช้ในยามฤดูหนาวเพื่อนำมาห่มคลุมกายไม่ให้ใครเห็น เธอเดินเนียน ๆ ไม่ได้ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ แม้จะสวมผ้าคลุมกันแดดไว้ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าใครที่เดินผ่านไป
จนกระทั่งมาถึงจุดขึ้นรถหรือเกวียน มีรถเข้าเมืองแค่วันละสองเที่ยวไปและกลับซึ่งไม่ทันแล้ว แต่เกวียนจากหมู่บ้านใกล้ ๆ ขับอยู่ทั้งวันรอไม่นานก็มาถึง
“ไปเมืองค่ะลุง”
“สามเฟิน” คนขับเกวียนเหลือบมองแล้วบอกราคาเมื่อเห็นว่าเป็นเพียงเด็กสาวตัวน้อย
เม่ยซิ่วอิงคนเดิมไม่กล้าแอบเก็บเงินมีหรือจะมีเงินจ่าย โชคยังดีที่พ่อมอบเงินให้เป็นของขวัญอยู่ไม่กี่เฟินในช่วงหลายปี และเว่ยซิ่วอิงก็ยืมมาใช้ทั้งหมด
แม้จะมีคุณค่าทางจิตใจจนอยากเก็บเอาไว้ แต่ความเป็นอยู่ของบ้านขึ้นอยู่กับการเดินทางครั้งนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องจ่ายไปก่อน
ซิ่วอิงขอโทษผีเจ้าของร่างเดิมอยู่ในใจ
นั่งเกวียนไม่นานก็มาถึงเมือง แต่กระโดดลงจากเกวียนก็เซแทบล้ม ก้นก็เหน็บกิน อีกทั้งยังวิงเวียนกลิ่นข้าวของผสมกลิ่นเหงื่อชาวบ้านบนเกวียนอีกด้วย
“ไหวไหมเนี่ยนังอิงอิง” ป้าที่นั่งข้าง ๆ มาตลอดเอ่ยถาม
“ไหวค่ะ ขอบคุณป้า”
“ไหวก็ดีแล้ว” เห็นเด็กสาวสบายดีแกก็เดินจากไป ไม่ได้รั้งรออีก
เว่ยซิ่วอิงมองหน้าคนใจดีจดจำไว้ในใจ ก่อนจะเดินเข้าเมืองมุ่งหน้าไปยังตลาดมืดโดยปิดหน้าปิดตาเอาไว้
กว่าจะเดินมาถึงตลาดมืดต้องผ่านร้านอาหารมากมาย มีทั้งหมั่นโถว ซาลาเปา บะหมี่ อาหารมากมายส่งกลิ่นหอมยั่วยวน ราวกับต้องฝ่าด่านอันแสนอันตรายเพื่อหักห้ามใจไม่แวะแล้วมุ่งตรงไปยังเป้าหมาย
เว่ยซิ่วอิงแทบเป็นลมเมื่อมาต่อแถวเข้าตลาดมืด เพราะไม่ได้กินของอร่อยนานแล้วร่างกายจึงประท้วงขึ้นมา ช่วยไม่ได้ร่างนี้ช่างน่าสงสารจริง ๆ แทบไม่เคยลิ้มรสของอร่อยเลยด้วยซ้ำ
“รหัส!” เสียงเข้มของคนเฝ้าดังขึ้น ทำให้ซิ่วอิงได้สติ รีบกล่าวรหัสออกมาทันทีตามคนหน้า
“เข้าไปได้ ระวังตัวเอาเอง เกิดอะไรขึ้นเราไม่รับผิดชอบ” นี่เป็นกฎของตลาดมืดอยู่แล้ว หญิงสาวเพียงพยักหน้ารับ
จากนั้นก็เริ่มเดินดูตลาดไม่ได้รีบร้อนเอาของออกมาขาย เห็นมีคนเอาครีมของสหกรณ์ออกมาขายเป็นครีมทาหน้าขาวตลับเล็ก ขายอยู่สิบหยวน มีอยู่สิบตลับเท่านั้น
ทีแรกก็มีคนมุงแล้วยืนลังเลไม่กล้าซื้อ แต่เมื่อมีคนหนึ่งซื้อ คนต่อไปก็เริ่มซื้อเพราะกลัวว่าของจะหมด และสุดท้ายมันก็หมดจริง ๆ ขณะที่หลายคนมีท่าทางเสียดายที่ไม่ได้ของ
ซิ่วอิงเห็นอย่างนั้นก็ตาเป็นประกาย ถือโอกาสตอนที่ไม่มีใครสังเกตหยิบกล่องลังไม้แถวนั้นมาตั้งเป็นชั้น เปิดถุงสะพายออกมา นำครีมของตนออกมาวางเรียงไว้บนนั้น
“แม่อิงอิง ขายครีมทาหน้าขาวเหมือนกันหรือ ไม่เห็นเหมือนของทางการเลย”
“ก็นี่เป็นสูตรใหม่ ของบริษัทใหม่น่ะสิ” เว่ยซิ่วอิงหันไปตอบกลับคุณป้าคนนั้น
“โอ๊ย แล้วจะเชื่อถือได้หรือ ไม่ใช่ใช้แล้วหน้าพังหรอกนะ”
“เพราะอย่างนั้นฉันเลยมีให้ทุกคนทดลองก่อนนี่ไง เอา ๆ ใครอยากลองก็เข้ามาลอง ลองไปป้ายที่ข้อพับแขนดูก่อน รอสักพักถ้ายังไม่มีผื่น แสบร้อน หรือคันก็แปลว่าไม่แพ้ ใช้ได้”
เว่ยซิ่วอิงเอ่ยปากห้วน ๆ เหมือนคนในยุคนี้ ทำให้คนที่พลาดจากครีมของสหกรณ์เมื่อครู่เริ่มหันมาสนใจ
“ฮึ” เจ้าของร้านที่ขายครีมสหกรณ์ยังไม่จากไปไหน แต่เฝ้ารอดูความสนุกที่ด้านข้าง
เว่ยซิ่วอิงไม่ยอมแพ้ เมื่อเห็นคุณป้าคนนั้นจะจากไปก็เริ่มโฆษณาสรรพคุณ
“ครีมนี้ใช้แล้วหน้าขาวใสไร้สิว เนียนนุ่มขึ้นหลังใช้ในเจ็ดวันเลยนะ เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ฉันยังมีให้ทดลองได้ ใครที่อยากลองทาหน้าก็ได้แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นฉันไม่รับประกันนะ”
ซิ่วอิงเห็นคนยังไม่สนใจก็เริ่มกังวล เลยหันไปคุยกับป้าคนแรกที่มาถาม
“คุณป้าลองใช้ทาที่แขนพับดูก่อนสิ ไม่ซื้อฉันไม่ว่า” ว่าแล้วก็ใช้ไม้ไผ่ควักครีมออกมาใส่มือของป้าคนนั้น นางเลยต้องทาครีมอย่างช่วยไม่ได้
สักพักก็เริ่มมีคนเข้ามาขอลองบ้าง แต่เพราะรอดูผลเลยจากไปเพื่อซื้อของที่ตนต้องการจริง ๆ ก่อน เว่ยซิ่วอิงจึงยังไม่ได้ลูกค้าสักคน
“เธอบอกว่าลองใช้กับหน้าได้ใช่ไหม” หญิงสาวคนหนึ่งถามขึ้น เดินเข้ามาใกล้แล้วยื่นมือให้
“ใช่แล้ว พี่สาวหน้ามีรอยสิวถ้าใช้อาจจะรู้สึกแสบ ๆ เย็น ๆ หน่อย แต่ไม่เป็นไร ถ้าแสบร้อนถึงจะเป็นอาการแพ้”
“ฉันรู้ เพราะฉันเคยแพ้ครีมปลอมที่คนคนนั้นขายยังไงล่ะ” ว่าแล้วหญิงสาวก็หันไปชี้ทางคนที่ขายครีมจากสหกรณ์เมื่อครู่
“จริงเหรอ!” หลายคนที่เฝ้ารอดูความสนุก คือลูกค้าที่เพิ่งซื้อครีมของคนนั้นไป
“จริงสิ ดูหน้าฉันสิ” ตอนแรกหญิงสาวคนนั้นสวมผ้าคลุมหน้าเลยดูไม่ออก แต่ตอนนี้เมื่อถอดผ้าคลุมหน้าออกก็เผยให้เห็นใบหน้าเป็นตุ่มเป็นรอยสิวจริง ๆ
“จับมันไว้!” สิ้นคำสั่งของเธอ ผู้ชายสองคนก็เข้าไปจับคนขายคนนั้นเอาไว้โดยที่เจ้าตัวไม่ทันได้หนีหรือร้องขอความเมตตาด้วยซ้ำ
คนที่ซื้อของแล้วรีบเอาของไปคืนแล้วมาขอลองของที่ร้านซิ่วอิงแทน ขณะที่หญิงสาวคนนั้นมองซิ่วอิงตาแข็ง
“แน่ใจนะว่าลองที่หน้าได้ ถ้าฉันแพ้ ชะตากรรมของเธอก็เหมือนคนนั้น”
ซิ่วอิงมองตามมือที่หญิงสาวชี้ และเห็นเพียงคนคนนั้นถูกชายสองคนกดลงกับพื้น หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ แต่ยังมั่นใจในสินค้าของตัวเอง
ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าลองสร้างสูตรครีมหลายสูตร ไม่แน่ถ้าผูกมิตรกับคนแบบนี้ไว้อาจจะดี คิดแล้วก็หยิบเอาตัวยาที่ช่วยเรื่องแพ้สารในครีม และครีมที่ช่วยลดรอยสิว ลดสิวโดยตรงออกมาด้วย
“พี่สาวลองครีมนี้ก่อนได้เลย ไม่แพ้แน่นอน แล้วถ้าพี่สาวซื้อครีมนี้ฉันยินดีแถมสามตัวนี้ให้ไปทดลองใช้ฟรีด้วย ตัวนี้ช่วยลดอาการแพ้ของคุณ ส่วนนี่ช่วยเรื่องลดรอยสิวที่เป็นอยู่”
“ดี!” ผู้คนร้องเฮเช่นเดียวกับหญิงสาวคนนั้น เธอรับครีมที่ซิ่วอิงป้ายให้ไปลองทาที่คางก่อน เมื่อพบว่ามันไม่แสบร้อนจึงเริ่มทาทั่วหน้า
แม้หน้าจะไม่ขาวขึ้นทันทีแต่ก็รู้สึกสบายหน้าแตกต่างจากครีมก่อนหน้านี้ หญิงสาวมองซิ่วอิงอย่างขอบใจ ก่อนจะก้มลงมองของที่จะได้แถมมาอย่างคาดหวัง
“ฉันเอาสองตลับ ไม่สิ ห้าตลับไปเลย ขายยังไง”
“ตลับละ…สิบหยวน” ขนาดตลับพอ ๆ กับครีมของทางการแถมไม่ต้องใช้ตั๋ว “แต่ถ้ามีตั๋วมาแลกลดให้ได้ตามราคาตั๋วในตลาด” ซิ่วอิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฉันเอา” หญิงสาวจ่ายเงินแล้วรีบรับของแถมทั้งสาม ถามวิธีใช้และขอการติดต่อไว้เรียบร้อย
แน่นอนว่าซิ่วอิงยังไม่ได้ให้แต่ขอการติดต่อของอีกฝ่ายแทน และเป็นอย่างที่คาดเอาไว้ ผู้หญิงคนนี้ถึงกับให้เบอร์โทรศัพท์ พร้อมบอกชื่อแซ่เรียบร้อย กล่าวว่าหากมีของใหม่ ๆ ก็สามารถโทร.ไปแนะนำได้
ซิ่วอิงขายครีมเพียงสี่สิบตลับ โดยเหลือจากที่ขายให้ผู้หญิงคนนั้น เพียงพอขายให้อีกห้าคนเท่านั้น ทำให้ผู้คนที่เดินซื้อของขณะรอดูอาการแพ้ต้องพลาดจนร้องโอดครวญด้วยความเสียดาย
หญิงสาวจึงนัดวันที่จะมาขายอีกครั้งเป็นเจ็ดวันหลังจากนี้ขอให้ทุกคนมารอได้ จากนั้นก็กลับบ้านไป เธอคิดจะนำเงินนี้ไปเก็บไว้เพื่อใช้เป็นต้นทุนสำหรับทำหลาย ๆ อย่าง
โดยเฉพาะแผนการหลักที่จะต้องหาทางนำครอบครัวสามคนของเว่ยซิ่วอิงออกจากบ้านสกุลเว่ยให้ได้
ซิ่วอิงเก็บเงินไว้ในมิติไม่ต้องกลัวว่าจะโดนค้นเจอ จากนั้นก็นำเงินส่วนเล็ก ๆ สองสามหยวนมาซื้อพวกอาหารแห้ง เครื่องปรุงเล็ก ๆ น้อย ๆ รวมถึงอาหารต่าง ๆ เอาไว้ไปแบ่งพ่อแม่กินในตอนเย็น