ทวนทองสองกำโผล่ไม่เกินจริง
รั่วตงอวิ๋นตื่นขึ้นมาในห้องที่มีกลิ่นแปลกๆ หอมอยู่หรอก แต่บรรยากาศอบอวลด้วยกลิ่นอายบุรุษเข้มข้น และไม่ใช่แค่คนเดียว เพราะมันหนาหนักจนอึดอัด
พอนางขยับตัว ก็เจ็บแปลบที่ศีรษะ ทั้งรู้สึกมวนท้อง แต่นอกเหนือจากนั้น ข้อเท้าข้างหนึ่งมีโซ่ล่ามไว้ ทั้งเสื้อผ้าเป็นเพียงเอี๊ยมบังทรงกับกางเกงขาสั้น เปิดเผยเนื้อหนัง ทั้งที่อากาศในห้องนี้ค่อนข้างเย็น
เกิดสิ่งใดขึ้น ร่างกายอ่อนเพลียเหลือเกิน และทั้งห้องมีเพียงแสงจากเทียนไข มันอึมครึมไปหมด
“อ๊ะ... พี่หาน... ทะ ท่านอยู่ที่ใด”
หญิงสาวร้องเรียกอีกฝ่าย แต่ไม่มีเสียงเขาตอบกลับ พอกวาดตาสำรวจให้ถ้วนถี่ สถานที่นี้ดูคล้ายห้องขัง หรือไม่ก็ห้องสำรับลงโทษผู้คน
เกือบพักใหญ่ เสียงหัวเราะแหลมเล็กก็ดังขึ้น คนที่โผล่หน้ามาคือ ลี่ชุน ด้านหลังนางมีผู้ชายตัวหนาใหญ่สองคน ทั้งคู่วางสีหน้าเหี้ยม มองแล้วรั่วตงอวิ๋นไม่อาจคิดเป็นอื่น หากไม่ใช่ว่า นางถูกจับตัวมา
“พะ พวกท่านทำสิ่งใดพี่หาน จับตัวข้ามาเพื่อเรียกค่าไถ่เยี่ยงนั้นหรือ”
นางคะเนว่า ข่าวที่นางหลบหนีออกจากเรือน คงทราบถึงหูบิดาแล้ว แต่คนอย่างเขาจะสนใจนางได้เยี่ยงไร ปกตินางก็เป็นพวกไม่มีตัวตนอยู่ในสกุลรั่ว บิดาคงไม่คิดจ่ายเงินเพื่อให้ผู้อื่น เพื่อให้นางไปอยู่ขวางหูขวางตาเป็นแน่
“สาวน้อย ไม่มีการเรียกค่าไถ่... นับแต่นี้เจ้าคือบุปผางามของหอวสันต์รัญจวน!”
รั่วตงอวิ่นตกใจ สีหน้านางสลด ริมฝีปากสั่นน้อยๆ แม้ไม่ใช่คนฉลาดเฉลียว มีไหวพริบมาก ทว่าชื่อหอแห่งนั้นเป็นที่โด่งดัง ด้วยมีนักเล่านิทานกล่าวถึงเสมอ และสาวงามอันดับต้นๆ ก็มีค่าตัวดั่งทองคำ ชีวิตพวกนางหากเทียบแล้วก็ประหนึ่งองค์หญิง ผิดแต่ต้องนอนกับบุรุษไม่ซ้ำหน้าเท่านั้นเอง
เป็นสตรีที่ใช้ร่างกายปรนเปรอให้กับบุรุษ หากเรียกง่ายๆ อย่างที่ท่านย่าชอบตวาดใส่มารดานางตอนที่อีกฝ่ายมีชีวิตก็คือ ‘เป็นโสเภณี คือสตรีที่ไร้คุณค่า!’
“พวกท่านเข้าใจผิด ข้าเป็นภรรยาของบบัณฑิตผู้หนึ่ง และเขากำลังจะสอบเข้ารับใช้เป็นขุนนางในสำนักผังเมือง แน่นอนเขาต้องได้เป็นขุนนางขั้นห้าอย่างไม่ต้องสงสัย พี่หานคือคนมีปัญญา ฉลาดเฉลียว สกุลเขาก็เป็นที่รู้จักของผู้คน”
ลี่ชุนมองแม่นางคนงาม ใจอยากหัวเราะเยาะใส่หน้า แต่ตอนนี้ การซื้อใจอีกฝ่าย และผูกมิตรเอาไว้ เพื่อให้นางเชื่อฟัง ย่อมดีที่สุด
“ผู้ชายของเจ้า ติดหนี้ข้าเกือบสองพันตำลึงเงิน คิดดูเถิด...เงินเดือนขุนนางตงฉิน ในหอผังเมืองนั้น หากไม่รู้จักกินใต้โต๊ะ ปีหนึ่งจะได้สักเท่าใด เช่นนี้เขาถึงได้ส่งตัวเจ้ามาให้ข้าดูแล รู้เช่นนี้ คนฉลาดคงเข้าใจทุกสิ่งได้ง่ายๆ อย่าต้องทำให้ตนเองเดือดร้อน หรือร่างกายพิการเลย มันไม่คุ้มหรอก เจ้าเป็นแม่นางที่มีใบหน้าล่มเมือง ทางที่ดี ควรใช้ให้เกิดประโยชน์”
“หากให้ข้าเป็นโสเภณี ชีวิตนี้ขอตายดีกว่า”
รั่วตงอวิ๋นเอ่ยจบ นางก็ถุยน้ำลายใส่หน้าลี่ชุน ภาพของมารดาที่ถูกท่านย่าดูถูก และบิดาทำท่าทีเย็นชาใส่ เป็นแผลในหัวใจนาง และพอมารดจากไป นางก็รับเคราะห์กรรมดังกล่าวไม่ต่างจากอีกฝ่าย
ฝ่ายแม่เล้าที่ทำงานมานาน และเก่งการเจรจา หงุดหงิดจัด แต่นางไม่อยากให้ร่างกายนุ่มนิ่มนี้ได้รับแผล จึงกล่าวเสียงเหี้ยมเป็นการข่มขู่
“มีเวลา 12 ชั่วยาม จงเลือกเอา อยากรับแขกทีละคน หรือต้องการให้ข้าจับเปลือยกายแล้วยัดใส่กรงขังหมูส่งเจ้าไปซ่องในค่ายทหาร คนอย่างลี่ชุน ชอบนักพวกที่คิดลองดีกับข้า”
รั่วตงอวิ๋นไม่ตอบ นางมึนงง และสับสน ภาพในหัวที่ฝันเอาไว้ว่าจะเป็นเพียงภรรยาของคนผู้หนึ่ง ให้กำเนิดบุตรแก่คนๆ เดียว พังทลายลงไม่เหลือชิ้นดีแล้วในยามนี้ และแม้นางพยายามกลั้นก้อนสะอื้นไว้ แต่น้ำตาก็ไหลอาบหน้าจนได้
คืนนั้นอากาศแปรปรวนหนัก ตอนกลางวันฝนตก พอฟ้ามืดก็ร้อนอยู่สักหน่อย กระทั่งต้นยามซวี* (คือ 19.00 – 20.59 น.) อากาศกลับเย็น ค่อนข้างหนาว
หอวสันต์รัญจวนเกิดความโกลาหลเล็กๆ แขกมากันตั้งแต่ช่วงบ่าย พอถึงเวลานี้มีการปิดชั้นบนสุด และคุณชายลึกลับท่านหนึ่ง มีคำสั่งให้คัดเลือกสาวงามไปบริการเขาถึงสิบคน!
คนผู้นั้น เพิ่งกลับมาเมืองหลวงในรอบหลายปี การแต่งตัว ทั้งท่าทางจึงดูดิบเถื่อน ไร้มารยาสักหน่อย
บุรุษที่มีไอสังหารท่วมร่าง สวมหน้ากากที่มีเขาทู่ๆ ด้านบน เป็นแบบครึ่งหน้า ขับให้ดวงตาคมกริบคู่นั้นดูอำมหิต ส่วนริมฝีปากบางสีสด แม้มีรอยหยักสวย ทว่าการส่งเสียงของเขาที่แหบต่ำ สลับการคำรามเป็นระยะๆ ใครที่ได้พบเขาก็อยากวิ่งหนีไปให้ไกล
เขาเป็น เสือรึ... ไม่ใช่หรอก ดูคล้ายหมาป่า ที่พร้อมจะกัดคนอื่นเสียมากกว่า
ลี่ชุนทำใจอยู่หลายหน เพื่อมาพบคนผู้นั้น แต่พอมาถึงห้องรับรอง นางก็เหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้าผาก
“ตอนนี้แขกมากันไม่ขาดสาย เกรงว่าสาวงามที่คุณชายของท่านต้องการอาจไม่พอ แต่อย่าห่วง ข้าขอเวลาสักครึ่งชั่วยาม จะจัดให้พร้อม แล้วถ้าไม่เกรงว่าปีนี้ข้าอายุสามสิบแปด ข้าก็จะเป็นหนึ่งในสาวงามที่ปรนนิบัติคุณชายท่านนั้น”
ลี่ชุนว่าและยิ้มให้จางคังฉิก ที่วันนี้ปกปิดฐานะที่แท้จริงของตนเอาไว้ และคุณชายของเขาที่มาเที่ยวตรอกแห่งนี้ คือองค์ชายเจ็ด โต้วเซ่าเหล่ย
“แม่เล้าลี่ อายุเจ้ามากถึงเพียงนี้ สมควรอยู่บ้าน ให้ลูกหลานบีบนวดร่างกายดีหรือไม่ ยังมีน้ำหน้าจะรับแขก และแขกที่ว่าเป็นถึงคุณชายของข้า!”
จางคังฉิกแยกเขี้ยวใส่ลี่ชุน และนางหน้าเสีย ทั้งฉุนจัด แต่เงินของอีกฝ่ายหนา และจ่ายดีมาก ฉะนั้นย่อมต้องฉีกยิ้มหวานหลอกล่อเอาไว้
“เยี่ยงนั้นขอเวลาสักพัก ตอนนี้ให้สาวงามพวกนี้ปรนนิบัติคุณชายเสียก่อน และข้าจะรีบพาเด็กๆ ที่เหลือมาให้ครบ”
ขณะที่ลี่ชุนเตรียมก้าวจากไป คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ และสวมหน้ากากเทพสงครามแบบครึ่งหน้าที่มีเขาทู่ๆ คำรามขึ้น ก่อนเอ่ยว่า
“เลือกคนที่รับทวนทองขนาดสองกำโผล่มาด้วย หากพวกนางไร้ความสามารถ จงอย่าพามาให้ข้าเห็นหน้า”
ลี่ชุนเข้าใจความหมายที่คนผู้นั้นกล่าว แต่สองกำโผล่ เป็นคำพูดเกินจริงหรือไม่
“ผู้น้อยจะคัดเลือกมาให้ดีที่สุดเจ้าค่ะคุณชาย เพียงแต่ นอกจากสองกำโผล่แล้ว ยังมีสิ่งใดเพิ่มเติมอีกหรือไม่”
โต้วเซ่าเหล่ยพ่นลมหายใจร้อนๆ ออกมาอย่างเบื่อหน่าย และกล่าวเสียงคล้ายกำลังกัดฟันไปด้วย
“กลีบบริสุทธิ์ต้องฉ่ำน้ำ และหวานทั้งตัว... อีกทั้งข้าไม่ชอบสตรีที่ครางเหมือนสุนัข นางต้องงามดูอ่อนต่อโลก แต่กล้าหาญพอที่จะรับทวนทองของข้า อ่อ... เอวเล็ก สะโพกผาย สองก้อนเต้าหู้มีรสหวาน หามาได้ตามนี้ ข้าจะเพิ่มรางวัลเป็นอย่างงาม”
ให้ตายเถอะ ตั้งแต่หอวสันต์เปิดทำการมาตั้งแต่รุ่นยายของลี่ชุน นี่คงเป็นครั้งแรกที่นางได้ยินการร้องขอเช่นนี้จากแขก ปกติแต่หญิงบริสุทธิ์ก็เพียงพอแล้ว เนื่องจากสถานที่นี้ นางนิยมคัดหญิงมากฝีมือ และความงามนั้นต้องเป็นอันดับหนึ่ง
“โอ้ ผู้น้อยขอถามสักเล็กน้อย สตรีที่คุณชายต้องการนั้น หากจะกล่าวไปแล้ว ก็มิต่างจากการคัดเลือกนางสนมที่มีหน้าที่รับใช้ฮ่องเต้เลยนะเจ้าคะ”
ลี่ชุนเอ่ยจบ นางก็รู้สึกได้ว่า ลำคอของตนเย็นวาบ พอใช้หางตาเหลือบมอง ก็แทบจะล้มพับ เนื่องจากมีปลายกระบี่หยกจี่อยู่ที่ลำคอนางนั้นเอง ให้ตายเถิดคนผู้นี้คงไม่ใช่แค่คุณชายเจ้าสำราญ อาจเป็นถึงลูกหลานขุนนางชั้นสูง ไม่ก็องค์ชายแห่งแคว้นเหลียง
“ทุกอย่างที่แจ้งต้องเป็นความลับ สตรีนางใดไม่ผ่านเกณฑ์ อย่าได้พาเข้ามาในห้องนี้” ลี่ชุนพยักหน้ารับ แล้วผลุนผลันออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อนางมาถึงโถงแต่งตัวของเหล่าสาวงาม ก็ต้องเหนื่อยใจหนัก สตรีที่ให้คนจัดหาไว้ ไม่เด็กเกินไป ก็อายุมากโข เป็นหญิงที่ปกติไม่ให้รับแขก เนื่องจากมีไว้สำหรับร้องรำและเล่นดนตรี พวกนางไม่งดงามเยี่ยงหญิงที่รับแขก แต่เมื่อจับแต่งตัวแล้วก็ไม่ขี้เหร่เกินไป
“ให้นางรับแขกเถอะ... มิเช่นนั้น อาจเกิดเรื่องใหญ่แน่”
หมางจูคือหญิงงามอีกคนที่ ได้รับความไว้วางใจจากลี่ชุน ให้ช่วยดูแลน้องๆ ปีนี้อีกฝ่ายอายุย่างยี่สิบหกแล้ว แต่ใบหน้ายังดูไร้เดียงสา
“เจ้าหมายถึงเสี่ยวอวิ๋นเยี่ยงนั้นหรือ... นางดื้อรั้นเพียงนั้น!”
“ก่อนหน้านี้คงใช่ แต่ตอนนี้นางดีขึ้นมาก อีกอย่างข้าเตรียมนางเพื่องานสำคัญ หากคุณชายท่านนั้นให้เงินมากพอ นางคงสบายไปหลายเดือน ไม่ต้องอวดเนื้อหนังในถึงไม้ให้คนชม”
“แต่คนติดตามคุณชาย บอกว่าต้องรับทวนทองสองกำโผล่ได้ แล้วสตรีที่ไม่เคยหลับนอนกับผู้ใด ไฉนนางจะทนทานสิ่งใหญ่โต ข้ากลัวนางจะสิ้นใจตายเสียก่อน”
หมางจูถลึงตาใส่ลี่ชุน อีกฝ่ายคงลืมไปแล้วว่า เมื่อหลายปีก่อน แม่เล้าผู้นี้ ส่งนางไปเป็นเครื่องบรรณาการพวกนอกด่าน ต้องรับนอนกับพวกที่กินกลางดินนอนกลางทราย และขนาดของพวกเขาทั้งยาวใหญ่ ตอนนั้นนางอายุเท่าใดกันสิบห้าปีเท่านั้น แต่รับศึกหนักแทบเอาชีวิตไม่รอด พอกลับมาที่หอวสันต์รัญจวนพักรักษาตัวอยู่เกือบครึ่งเดือน และสุดท้ายจึงรู้ว่า การนอนกับบุรุษที่มีขาที่สามใหญ่โต ไม่ตายแต่ก็ต้องรู้วิธีรับมือ ทั้งต้องเป็นฝ่ายควบคุมอีกฝ่าย
“อาจู เช่นนั้นก็ไปตามนางมาเถิด เฮ้อ... คืนนี้เราต้องใช้งานเสี่ยวอวิ๋นแล้วจริงๆ”