"แม่คะ เรากลับบ้านสวนกันดีมั้ยคะ"
เสียงของเด็กหญิงเอ่ยอย่างสั่นพร่ายามเดินตามมารดาอยู่กลางซอยแห่งหนึ่ง แม้เวลาตอนนี้เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว แต่ก็พอมีรถราผ่านไปมาอยู่ตลอด ไม่ได้เงียบเหงาวังเวงเท่ากับจิตใจของเด็กหญิงที่กำลังแบกรับความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยท้อแท้ ยามต้องเดินตามมารดาที่คอยแต่เฝ้ามองหาเคหาสน์สถานของใครคนหนึ่ง
ใครคนนั้นที่ผู้เป็นแม่บอกกับเธอว่า พอจะเป็นที่พึ่งสุดท้ายของแม่และเธอได้
ดวงตาของเด็กหญิงทอดมองขึ้นบนท้องฟ้า เห็นประกายฟ้าแลบเป็นเส้นสายเหนือศีรษะของเธอและแม่ อีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ฝนคงต้องตกลงมาแน่ ยิ่งทำให้เธอใจคอไม่ดี ทว่า มารดานั้นไม่มีท่าทางสะทกสะท้านกับเรื่องของฟ้าฝนที่ทำท่าจะตก มือข้างหนึ่งข้างหนึ่งของท่านยังคงลากกระเป๋าที่เสื้อผ้าตามหลัง ส่วนมืออีกข้างยังถือกระดาษแผ่นหนึ่งที่ระบุที่อยู่ของใครคนหนึ่งในนั้น
แพรพิศคิดว่ามารดาต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะมองหาบ้านหลังดังกล่าว เพราะแถวนี้ บ้านหลังใหญ่ๆ หลังไหนก็คล้ายๆ กันไปเสียหมด
เมื่อรู้สึกเริ่มอ่อนล้า เด็กหญิงก็ส่งเสียงเรียกมารดาอีก
"แม่คะ เรากลับไปอยู่บ้านสวนกันเถอะ หนูปลูกผัก ปลูกผลไม้ได้แล้วนะ ตากับยายสอนหนูหมดแล้ว"
"แพร" คนเป็นแม่หันกลับมาเรียก ก่อนจะเดินมาคุกเข่าลงตรงหน้าลูกสาว เห็นผมยาวของลูกแนบลู่ไปกับแก้มเนียนใสยิ่งรู้สึกท้านใจจนไม่อาจระงับ คนเป็นแม่จึงถอนหายใจยามแล้วเอ่ยต่อ
"เชื่อแม่นะ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าสิ่งที่แม่จะทำให้แพรอยู่นี่อีกแล้ว เพราะที่ที่แม่จะพาหนูไป จะเป็นที่ที่ดีที่สุด แพรจะไม่ต้องเหนื่อย แพรจะปลอดภัย หากวันหนึ่งไม่มีแม่อยู่แล้ว"
เอ่ยจบ สองแม่ลูกสบตากันทันทีด้วยน้ำตาที่คลอออกมาเกือบพร้อมกัน มารดาระบายรอยยิ้มที่ดูแห้งแล้ง บนดวงหน้าแห้งตอบ แพรพิศมองท่านผ่านม่านน้ำตาที่คลอขัง เห็นสภาพของมารดาที่สะท้อนความจริงตรงหน้า ยิ่งตอกย้ำว่า เวลาในชีวิตของท่านเหลืออีกไม่มากแล้ว เพราะภายในเวลาไม่กี่ปี ร่างกายของแม่ได้ทรุดโทรมลงอย่างน่าใจหาย ด้วยโรคร้ายที่ค่อยๆ กัดกินสังขารของท่านอยู่ทุกวัน
ผู้เป็นแม่ค่อยๆ ลุกยืนอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยกับลูกสาวเป็นการตัดบท "ไปกันเถอะ "
จากนั้นก็ยื่นมือข้างหนึ่งให้ลูกสาวจับ แล้วพากันเดินตามไปเส้นทางที่จะพาคนทั้งสองไปยังคฤหาสน์หลังหนึ่งในละแวกนี้ทันที