ตอนที่ 3 / 1

2393 Words
คืนนี้อัครากลับบ้านเกือบสี่ทุ่ม ตั้งแต่ที่คุยกันเรื่องที่จะให้แพรพิศไปอยู่กับพี่สาวของเขา ชายหนุ่มก็กลับดึกตลอดเกือบทุกคืน เขาเลยไม่ค่อยได้เจอหน้าเด็กนั่นเท่าไหร่                                         เมื่อขับรถกลับเข้ามาจอดที่โรงรถเรียบร้อย ขณะที่จะเดินกลับขึ้นตึก ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา ที่โคมไฟตรงทางเดินข้างหน้า ใต้แสงไฟนวลตานั้นเขาเห็นร่างเล็กสวมเสื้อยืดลายทางสีขาวสลับสีแดง และใส่กระโปรงสีแดงเลือดหมูเข้ม                                                ดวงหน้าเรียวเล็กกับผมยาวที่ถักเปียทั้งสองข้างกำลังส่งยิ้มให้เขาอย่างคุ้นเคย หัวใจของอัครารู้สึกราวกับถูกบีบรัดด้วยความรู้สึกบางอย่าง "อรพิม..." เขาพึมพำชื่อของคนที่คิดว่าใช่ในตอนแรก แต่เมื่อเพ่งผ่านแสงไฟสลัวตรงทางเดินกลับพบว่าไม่ใช่                     "แพรพิศ!"                                                        เด็กหญิงฉีกยิ้มกว้าง ท่าทางของเขาดูตกใจน่าดู ไม่คิดว่าเธอจะเห็นเขาแสดงอาการแบบนี้ได้ ปกติภูเขาน้ำแข็งเช่นเขามีแต่ความนิ่ง และความเย็นเยือก  "ทำไมถึง..." ชายหนุ่มงุนงง เมื่อเดินเข้าถึงร่างเล็กที่ยืนรอเขาตรงนี้ ชายหนุ่มก็พบว่าเสื้อผ้าชุดที่เธอสวมใส่อยู่นี้เป็นของใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่ชุดเดียวกับที่อรพิมใส่ในวันที่เขาเจอเธอครั้งแรกที่สวนผลไม้นั่นแน่นอน                                                                    "แม่ตัดชุดนี้ให้หนูค่ะ เป็นชุดใหม่ เพิ่งตัด" เด็กหญิงตอบแล้วยังยิ้มอีก                                                                                     คิ้วเข้มของอัคราขมวดเข้าด้วยกันทันที "เมื่อกี้เธอบอกว่า... แม่ของเธอตัดชุดนี้ให้ใหม่"                                                      "ค่ะ ก่อนที่เราจะจากบ้านสวนมา แม่พาหนูไปตัดชุดนี้"            อัครางุนงง เป็นไปไม่ได้ ที่จู่ๆ อรพิมนึกอยากจะตัดชุดนี้ให้ลูกสาวใส่ ต้องมีบางสิ่งบางอย่างแฝงเร้นมาด้วยแน่นอน                       "แล้วแม่เธอได้พูดอะไรเกี่ยวกับชุดนี้อีกมั้ย"                             จู่ๆ แพรพิศเม้มก็ริมฝีปากแน่น แล้วรีบก้มหน้าลง             "พูดมาสิแพร แม่เธอสอนอะไรมาอีก"                          ดวงตาหญิงสาวที่ก้มต่ำดูพื้นกำลังกลอกกลิ้งไปมา ขณะนึกหาคำตอบให้เขา "แม่ แม่ เอ่อ"                                          "บอกมา!" เสียงเขาเหมือนตะคอก ทำให้แพรพิศค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาตอบเสียงอ่อยๆ                                                 "แม่บอกว่า ให้ใส่ชุดนี้ให้คุณ...ดู"                                        จู่ๆ มือข้างหนึ่งของเขาก็คว้าหมับที่แขนข้างหนึ่งของเธอ แล้วบีบตาม จนแพรพิศตกใจ "โอ๊ย! คุณบีบแขนหนูทำไมคะ"                          "แล้วมีอะไรที่มากกว่านั้นอีกมั้ย"                                              อัคราเค้นเสียงถาม รู้สึกโกรธขึ้นมาจนไม่อาจระงับ อรพิมกำลังล้อเล่นกับความรู้สึกของเขา และคิดจะทำอะไรสักอย่างโดยใช้ลูกสาวเป็นเครื่องมือด้วยแน่ ไม่เช่นนั้นจะ 'จงใจ' พาลูกสาวไปตัดชุดนี้ก่อนจะมาพบเขาทำไม และยังให้ลูกสาวแต่งตัวทำผมเหมือนเธอเมื่อตอนที่เจอเขาครั้งแรกอีกด้วย ทำไม! แค่คิดว่าอรพิมต้องการจะให้ลูกสาวทำอะไร อัคราก็รู้สึกขยะแขยงความคิดเช่นนี้แล้ว แถมเด็กหญิงตรงหน้าก็ทำท่าจะรู้เห็นกับความคิดของแม่อีกด้วย ถึงได้ยอมทำอะไรอุบาทว์ๆ ตามที่แม่แนะนำเช่นนี้ แพรพิศทำหน้าเหมือนอยากร้องไห้ อัคราจึงได้สติ รีบปล่อยมือจากแขนของเด็กหญิง                                                 "ฉันเข้าใจแล้ว เข้าใจแล้วว่าแม่ของเธอต้องการอะไร และไม่มีทางที่แม่ของเธอได้ดังหวังแน่!"                                        เขากัดฟันพูดแค่นี้ก็รีบเดินผ่านร่างเล็กเข้าไปในบ้าน แพรพิศนิ่วหน้าด้วยความเจ็บกับการที่ฝ่ามือของเขาบีบต้นแขนเธอ ยามก้มดูก็เห็นร่องรอยฝ่ามือใหญ่ประทับอยู่ ก่อนจะหมุนตัว มองตามเขาไปด้วยความไม่เข้าใจ เธอก็แค่ทำตามที่แม่เธอเคยแนะนำ ว่าถ้าหากอยากให้อัครานึกเมตตาเอ็นดู ก็เพียงแต่แต่งตัวให้เหมือนกับที่แม่เธอบอกเอาไว้ แค่นั้น แล้วทำไมเรื่องกับตาลปัตรกลายเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่แม่บอกเอาไว้เล่า เพราะท่าทางเขาจะโกรธกับสิ่งที่เธอทำน่าดู...      ตั้งแต่คืนนั้นแพรพิศก็ไม่ได้พบหน้าชายหนุ่มอีกหลายวัน เพราะว่าเขาได้บินไปทำงานที่ต่างประเทศประมาณหนึ่งสัปดาห์                  ตอนสายของวันหนึ่งสิริพรได้เดินมาเคาะประตูเรียกแพรพิศที่ห้องนอน                                                                                "แพร..."                                                                        "คะ" เด็กหญิงขานรับ พร้อมกับรีบเปิดประตูให้                         "มีคนมาหาแพรน่ะ"                                                        เด็กหญิงขมวดคิ้ว ทำหน้าฉงน ใครกันมาหาเธอ เธอไม่รู้จักใครอีกแล้วในกรุงเทพฯ นี้                                                                      และเมื่อเดินตามสิริพรลงมาพบแขกคนดังกล่าว แพรพิศก็ยิ่งทำหน้าสงสัยหนัก สตรีคนหนึ่งอายุราวสี่สิบปี แต่งตัวดีในลุกของคนทำงานตามออฟฟิศต่างๆ กำลังยืนส่งยิ้มทักทายมาให้ แล้วแนะนำตัวเองว่าเป็นเลขาฯ ของอัครา และที่มาหาแพรพิศในวันนี้ เนื่องจากคำสั่งของเจ้านายหนุ่ม ให้ทำหน้าที่พาเธอไปติดต่อเกี่ยวกับเรื่องเอกสารต่างๆ             "วันนี้เราจะไปทำเอกสารต่างๆ ด้วยกัน"                           "ทำทำไมคะ!"                                                                "เอกสารต่างๆ ที่หนูจะต้องใช้สำหรับไปเรียนน่ะจ้ะ เราจะไปทำเรื่องเกี่ยวกับเอกสารต่างๆ เพราะหนูจะต้องเตรียมตัวเรียนต่อ"  "เรียนที่ไหนคะ เรียนที่เชียงใหม่หรือคะ ตกลงคุณอัครจะส่งหนูไปเชียงใหม่จริงๆ หรือคะ" ในหัวเด็กหญิงเต็มไปด้วยคำถามต่างๆ         "เปล่าหรอกจ้ะ เราต้องไปทำเอกสารต่างๆ และหนูจะต้องไปทำวีซ่าด้วย"                                                                          "อะไรนะคะ! ทำวีซ่า หมายถึงหนูจะต้องไปต่างประเทศหรือคะ" "จ้ะ"                                                                             เธอทั้งแปลกใจและงุนงงขึ้นไปอีก วันก่อนเขายังคุยกับเธออยู่เลย เรื่องที่จะให้เธอไปอยู่กับพี่สาวเขาที่เชียงใหม่ แต่วันนี้กลับส่งเลขาฯ มาบอกว่า เธอจะต้องเตรียมตัวไปเรียนที่ต่างประเทศแทน ให้ไปอยู่ในที่ที่ไกลกว่าเดิมเสียอีก                                                                             "หนูไม่ไปนะคะ หนูไม่..." แพรพิศปฏิเสธ ถ้าให้เธอไปเรียนต่างประเทศ เธอจะไปอยู่กับใคร เธอไม่รู้จักใครสักคนที่ต่างประเทศนั่น     "ไม่ได้หรอก คุณอัครสั่งมาแล้ว หนูจะต้องไปเรียนที่ต่างประเทศนะ"                                                                                                ให้ไปอยู่ต่างประเทศ แย่กว่าการถูกส่งตัวไปอยู่กับพี่สาวของเขาที่เชียงใหม่เสียอีก                                                                        "หนูไม่รู้จักใครที่นั่น แล้วหนูจะไปอยู่กับใคร" แพรพิศก้มหน้าร้องไห้ออกมาอย่างสะอึกสะอื้นจนได้                                       "หนูไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกนะจ๊ะ" มาลินีขยับเข้ามากอดตัวเด็กหญิงคนนี้ไว้ รู้สึกสงสารเธอขึ้นมาอีกมาก ยิ่งตัวเองมีลูกสาววัยใกล้กับเธอด้วย เลขาฯ ผู้ใจดีลูบศีรษะแพรพิศไปด้วย พลางเอ่ยปลอบอีก "คุณอัครได้หาคนที่จะช่วยดูแลหนูที่นั่นแล้ว หนูไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอกนะ หนูแค่ตั้งใจเรียนให้จบ พอจบแล้วก็ค่อยกลับมา" "เด็กนั่นขึ้นเครื่องไปแล้วเหรอ"                                                      เสียงทุ้มของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น ขณะมองชายหนุ่มอีกคนที่นั่งตรงกันข้าม มีเพียงโต๊ะทำงานตัวใหญ่กั้นระหว่างเขาทั้งสองเท่านั้น    แม้จะมีเพียงโต๊ะตัวใหญ่กั้นกลาง ทว่าพิมานกลับยิ่งรู้สึกว่าอัคราเหมือนนั่งห่างจากเขาสักสิบโยชน์ เพราะไม่ว่าพิมานจะพูดหรือถามอะไรเกี่ยวกับเด็กหญิงคนนั้น อัคราก็ทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของเขาเลยอย่างนั้นแหละ                                                                         ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นี้หรี่ลงมากกว่าเดิมเพื่อมองชายหนุ่มตรงหน้าเพราะ ท่าทางที่ดูไม่แยแสกับคำถามของอีกฝ่ายนั้นชวนให้ พิมานรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา ชายหนุ่มจึงอดไม่ได้ที่จะต้องวางกาแฟมือลงกับจานรองจนเกิดเสียงที่ดังเกินปกติ                                             คลิก!                                                                                     ได้ผลดวงตาคู่ดำมืดนั้นค่อยๆ เหลือบขึ้นมา อัคราวางปากกาในมือลงบนแฟ้มเสนอเซ็น แล้วตอบคำถามของพิมานราบเรียบ                        "ใช่ เธอเพิ่งขึ้นเครื่องตอนหกโมงเช้า"                                เห็นพิมานทำหน้าชอบกล อัครารีบเอ่ยอีก                         "นายไม่ต้องห่วงไปหรอกน่า เดี๋ยวเธอถึงที่นั่นก็จะมีคนมารับเธอไปดูแลต่อเป็นอย่างดีอีกด้วย"                                                           "จู่ๆ ทำไมถึงได้ตัดสินใจรีบส่งเด็กนี่ให้ไปเรียนซะไกลเลย"             "ไม่มีอะไรนี่ ก็แค่นึกถึงอนาคตของเธอเท่านั้น"                                พิมานมองอัคราอย่างตรึกตรอง คล้ายกับทำท่าไม่เชื่อเหตุผลเท่าที่อีกฝ่ายว่ามาไหร่นัก                                                         "ทำไมนายไม่เชื่อ" เสียงห้าวกังวานถามอย่างราบเรียบ           "เปล่า" พิมานปฏิเสธ ตอนแรกอัครายังยืนยันที่จะส่งแพรพิศ กลับไปให้พ่อและย่าของเธอเลี้ยง แต่สุดท้ายก็กลับเปลี่ยนใจขึ้นมา                  อัคราเองเห็นพิมานเสสายตาหลบหนีพร้อมกับยกกาแฟขึ้นมาจิบแทน เขารู้ว่าพิมานมีคำถามอยู่ใจอีกเพราะไม่ค่อยเชื่อเหตุผลของเขาเท่าไหร่นัก แต่อัคราก็ไม่เก็บเอามาใส่ใจ ซึ่งก็จริงอย่างที่พิมานรู้สึกนั่นแหละ เพราะสาเหตุจริงๆ ที่เขาส่งแพรพิศให้ไปอยู่ไกลถึงประเทศอังกฤษ คือแค่ส่งเธอไปให้อยู่ไกลสายตา อรพิมป้อนความคิดอะไรใส่หัวลูกสาวเอาไว้บ้าง เป็นสิ่งที่เขารู้สึกคลางแคลงใจมาตั้งแต่วันนั้น เพราะคงไม่มีคนปกติที่ไหนจะทำกันหรอกนะ แม่ให้ลูกสาวแต่งตัวเลียนแบบตัวเองในวันที่ทำให้เขาได้เจอกับเธอเป็นครั้งแรก ทำให้เขาตกลงหลุมรักอรพิมในวัยแรกรุ่นตั้งแต่แรกเห็น เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่า อรพิมคิดจะทำอะไร มันคงเป็นเรื่องที่เขารับไม่ได้เช่นกัน  อรพิมไม่มีวันจะได้สมหวังกับความคิดของเธอแน่นอน!        ตอนแรกอัคราลังเลอยู่ว่าจะส่งแพรพิศไปให้พี่สาวที่เชียงใหม่ช่วยเลี้ยงดูแทนหรือจะส่งไปเรียนที่ประเทศ แต่แล้วเพราะเรื่องในคืนนั้น สุดท้ายก็ทำให้อัคราตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด                                                 อีกอย่างการที่เขาส่งเธอไปเรียนต่อ เขาก็ได้ติดต่อคนที่นั่นให้ช่วยดูแลเธอต่อได้เลยเมื่อเธอไปถึง จะไม่มีเรื่องอะไรที่น่าเป็นห่วงอีกแล้ว จนกว่าแพรพิศจะเรียนจบกลับมา เธอคงดูแลตัวเองได้ แล้วเมื่อวันนั้นมาถึง เขากับเธอก็คงไม่ต้องได้เกี่ยวข้องกันอีกแล้วนั่นเอง        อัคราคิดว่า ตัวเองไตร่ตรองทุกอย่างมาดีแล้ว ถึงได้ตัดสินใจเลือกเส้นทางนี้ให้กับเธอ               เมื่อแพรพิศถึงอังกฤษก็มีครอบครัวชาวอังกฤษมารับ พวกเขารู้จักกับอัคราสมัยที่ชายหนุ่มมาเรียนที่นี่ ชายหนุ่มรู้จักคู่สามีภรรยาคู่นี่ดี ว่าเป็นคนจิตใจดี และรักเด็กที่สำคัญพวกเขาทั้งสองยังไม่มีลูก การได้ช่วยกันดูแลเด็กหญิงคนหนึ่งในช่วงที่กำลังรอคอยทายาท จึงเป็นสิ่งที่ช่วยเติมเต็มชีวิตของคนทั้งคู่ได้ด้วย                                            และแม้สามีภรรยาชาวอังกฤษคู่นี้จะดีกับเธอมากเท่าไหร่ก็ตาม แต่ไม่อาจช่วยบรรเทาเบาบางอาการคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ในช่วงแรกๆ ของการมาอยู่ที่นี่มากนัก เพราะเธอต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ อีกทั้งเรื่องภาษาก็เป็นอุปสรรคของการมาอยู่ในช่วงแรกๆ อีกด้วย    แต่พอเวลาผ่านไปราวครึ่งปี แพรพิศก็ค่อยๆ เรียนรู้ และปรับตัวให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความคิดถึงแม่ คิดถึงบ้านไปได้      พลันก็นึกถึงหัวค่ำวันก่อนที่เธอจะเดินทาง...    เด็กหญิงนั่งเกาะตรงหัวบันไดบ้าน รอคอยเขากลับมา และยามเห็นหน้ากัน อัคราก็ทำเหมือนไม่มีอะไรที่จะพูดกับเธออีก เขาทำท่าจะเดินหนีไป แต่น้ำสียงใสปนสะอื้นนั้นก็ดังขึ้น ทำให้ชายหนุ่มหยุดชะงักไว้แค่นั้น                                                                                            "ทำไมสุดท้ายถึงได้ส่งหนูไปอยู่ต่างประเทศคะ"                              "ก็นั่นจะทำให้เธอมีอนาคตที่ดีขึ้น"                                           อัคราเอ่ยจบก็ได้มุมปากเล็กๆ ยกขึ้น แววตาวาวขึ้นด้วยหยาดน้ำตา                                                                                       "ไม่ใช่ เพราะต้องการส่งหนูไปให้อยู่ไกลหูไกลตาคุณหรือคะ"      "ทำไมฉันจะต้องลงทุนทำถึงขนาดนั้น ถ้าแค่ต้องการให้เธอไปอยู่ไกลสายตา ส่งไปอยู่เชียงใหม่กับพี่สาวฉันก็ได้แล้วมั้ง"                              "คุณก็น่าจะรู้ตัวเองดีนี่คะ ว่าเพราะอะไร อย่าโกหกหลอกลวงแม้กระทั่งตัวเองเลย หนูที่เป็นเด็กยังมองออก"                                  "เธอหมายความว่าไง..."                                                  "แม่เล่าทุกอย่างให้หนูฟังหมดแล้วนี่คะ เพียงเพราะหนูเป็นลูกสาวของผู้หญิงที่เคยทรยศคุณ แม่หนูบอกแบบนี้"  อัคราถอนหายใจเหยียดยาว ดวงตาหลุบต่ำ ไม่สบตากับเด็กหญิงตรงหน้า แล้วเสียงใสๆ ปนสะอื้นยังเอ่ยอย่างตัดพ้ออีก                  "ทำไมถึงชอบผลักไสไล่ส่งหนูนัก หรือแค่เพราะว่าหนูเป็นลูกของคนรักเก่าคุณ และเพราะหนูเป็นเครื่องหมายที่เหยียบย่ำจิตใจคุณมาตลอดว่า แม่หนูได้ทรยศ หักหลังคุณใช่มั้ยคะ"    แพรพิศถามบุรุษตรงหน้า น้ำตาพานจะรินไหล เมื่อต้องถูกเขาส่งไปให้อยู่ไกลหูไกลตา                                                                  เธอมักปรียบว่า เขาเป็นภูเขาน้ำแข็งแห่งไททานิค คงจะไม่ผิดหรอก ภูเขาน้ำแข็งที่ใหญ่ทะมึนและซ่อนตัวอยู่ในความมืด ถูกปกคลุมด้วยเงียบเช่นเขา ทำให้ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเขาต้องพบพานกับความหนาวเหน็บไปด้วย   ที่เขาเย็นชาและไม่อยากไม่อยู่ใกล้เธอก็เพราะ เธอคือเด็กที่เป็นเครื่องหมายของการนอกใจเขาจากแม่เมื่อสิบกว่าปีก่อน                        ...ใช่หรือไม่               
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD