พ่อเป็นยังไงผมก็เป็นแบบนั้นล่ะ... เชื้อมันไม่ทิ้งแถว ลูกไม้ก็หล่นไม่ไกลต้น คำพวกนี้ใช้ได้หมด
ผมไม่เคาะประตูห้องทำงานของพ่อเลยเปิดประตูเข้าไปจึงได้เห็นร่างสูงใหญ่ที่แม้จะอายุห้าสิบสามปีแล้ว ทว่าความหนุ่ม ความหล่อแบบฉบับหนุ่มใหญ่ยังคงอยู่ สายตาของเขาตวัดมองผมขณะกำลังเซ็นเอกสารแฟ้มสุดท้ายและโยนไปบนพื้นข้างตัว “ไม่มีใครสอนมารยาทหรือไงว่าเข้าห้องคนอื่นต้องเคาะก่อน?”
“พอดีแม่ตายก็ไม่เลยไม่มีใครสอน” ตอบกลับและทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา “ส่วนพ่อก็...”
“อะไร?” ผมยักไหล่ไหวพลางหยิบคุกกี้บนโต๊ะมากินและเทชามะลิหอมๆ เพราะตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยนะ “แกผอมลงหรือเปล่า”
“ปกติ” เรียกมาเพื่อมาทักกันแบบนี้เนี่ยนะ “ไม่ต้องกลัวติดโรคหรอก ผมป้องกัน ตรวจสุขภาพทุกเดือน”
“ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนั้น” เสียงถอนหายใจแบบเหนื่อยหน่าย ตามด้วยแว่นสายตาที่ถอดออกก่อนจะยกนิ้วชี้กับนิ้วโป้งนวดไปยังขมับของตัวเอง “แกไปสักอะไรมาเยอะแยะแบบนั้น สกปรกจริงๆ”
“เรื่องของผม ร่างกายผม พ่อเฉยๆ เหอะ” พอไม่รู้จะพูดต่อว่าอะไรผมพ่อก็พยักหน้าแบบเสียไม่ได้ “ว่าแต่ที่เรียกผมมาคือมาให้รู้จักกับเมียใหม่หรือไง?”
“...”
“พ่อรู้ใช่ปะว่าผมไม่ได้ยินดีเลยถ้าพ่อจะมีเมียใหม่หรือมีเมียอีกกี่คน ถ้าจะเรียกมาดูทีหลังแค่บอกก็พอ เสียเวลาไปเรียน” ตะคอกพ่อด้วยสีหน้าหงุดหงิดก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“แกไม่คิดบ้างเหรอว่าที่ฉันเรียกแกมาเพราะว่าเป็นห่วง” ผมชะงักเท้าที่กำลังจะเดินไปหน้าประตู รู้สึกถึงริมฝีปากของตัวเองที่เจ็บและรสชาติฝาดๆ ของเลือด คิ้วของผมกระตุกเข้าหากันก่อนจะหลับตาลงไล่ความรู้สึกนั้นออกไป
“ห่วงเหรอ? นี่อย่าบอกนะว่ากำลังคิดว่าตัวเองอยากจะเล่นบทบาทเป็นพ่อที่ดีขึ้นมางั้นสิ” หันไปมองสบตากับพ่อที่จับจ้องผมไม่วางตา สายตาที่มองผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้ามันเป็นสายตาที่เรียบนิ่งแต่แฝงไปด้วยความห่วงใย ผมรู้สึกแบบนั้นได้ยังไงกันวะ! ไม่ดิ สายตาแบบนั้นมันคือสายตาที่เฉยชาของเขาต่างหาก “หยุดเล่นละครเป็นพ่อดีเด่นสักทีเหอะ”
“...”
“มันน่าสมเพช” แต่ก่อนที่ผมจะเดินออกไปจากห้องผมก็ไม่ลืมที่จะล้วงกระเป๋าเสื้อตัวเองหยิบเอาเช็ดเงินสดไปวางบนโต๊ะคืนให้กับเขา “เอาไปเหอะ ผมไม่ได้ต้องการ”
“แต่แกบอก” ผมเลิกคิ้วขึ้นส่ายหน้าไปมา “แกจะเอายังไงไฟ?”
“ไม่เอาไง” ยกแขนพาดอกยักไหล่ไหวพร้อมด้วยริมฝีปากที่ยกขึ้น “แค่เลิกยุ่งกับผม ให้ผมอยู่ตัวคนเดียวก็พอ”
“แต่แกเป็นลูกฉัน!”
“เพิ่งจะคิดได้หรือไง?!” เป็นผมบ้างที่ตะคอกเขากลับ พ่อลุกขึ้นเท้ามือลงกับโต๊ะสะดุ้งตกใจกับการกระทำของผมบ้าง “เมื่อก่อนทำอะไรไว้บ้าง คิดดิ! แล้วตอนนี้จะยังอยากเป็นพ่ออ่อ ฝันอยู่หรือไงคุณชนะทิศ”
“ไอ้... ไฟ”
“สนใจเมียใหม่ของตัวเองเหอะ” ผมหันหลังเปิดประตูออกไปก็พบเข้ากับร่างบอบบางตรงหน้า เธอคนนี้สวยใช้ได้เลยล่ะแต่อายุก็น่าจะประมาณสามสิบกว่าๆ ยืนจับจ้องผมพลางกลืนน้ำลายลงคอ ข้างกันมีป้าแต้วยืนทำหน้าไม่ดีอยู่ด้วย
“พิม” พ่อเดินแทรกผมไปหาผู้หญิงคนนั้น ภาพตรงหน้าที่เห็นทำให้ผมรู้สึกแค้นใจอย่างมาก... แค้นเขาที่ตอกย้ำภาพเดิมๆ ให้ผมจดจำ เขาไม่เคยสนใจใครหรอกนอกจากตัวเองแม้แต่แม่ของผมก็เถอะ “ชอบห้องของเราไหมครับ?”
ถามกลับแต่ผู้หญิงที่ชื่อพิมไม่ตอบอะไรเอาแต่จับจ้องมองผมที่ยกยิ้มมุมปากพลางเหยียดสายตามองหล่อนตั้งแต่หัวจรดเท้า “เดี๋ยวนี้ตาต่ำถึงขนาดไปคว้าเอาผู้หญิงหากินมาทำเมียแล้วเหรอ?”
“อะ ไอ้ไฟ!” เพราะการเห็นเขาเป็นแบบนี้มันคือความสุขอย่างหนึ่งของผม การได้เอาคืนในสิ่งที่เขาทำไว้กับแม่แค่นี้มันน้อยไปด้วยซ้ำนะ “แก... จะไปไหนก็ไปเลยไป!”
“อะไรของพ่อวะ เรียกมาเสร็จก็ไล่กลับ” ผมเท้าเอวมองเขาอย่างเอาเรื่อง “เรียกมาโชว์เมียใหม่ให้ดูไม่ใช่เหรอ?”
“คุณไฟคะ” ป้าแต้วเดินมาทาบมือลงบนท่อนแขนผม พลางส่ายหน้าไปมาจำต้องเบือนหน้าหนีเพราะอย่างน้อยผมก็เกรงใจป้าแต้วคนของแม่ที่ดูแลผมและแม่เป็นอย่างดีมาตลอด “ไปเรียนนะคะ”
ผมดุนดันลิ้นในโพรงปากก่อนจะเดินหนีพวกเขาออกไป ทั้งที่ใจมันเจ็บหนึบกับการกระทำของเขา ก่อนจะลงบันไดก็หันไปมองกรอบรูปของแม่ที่ยังคงติดอยู่ จึงเบนสายตาไปมองพ่อที่เดินจูงมือเมียใหม่มาผมก็คว้ารูปของแม่ขนาดใหญ่ลงมา “ไอ้ไฟ แกจะทำอะไร?!”
“รูปแม่ จะติดไว้ทำซากไรวะถ้าจะทำตัวแบบนี้อยู่อะ!”
“คุณไฟ อย่านะคะ!”
เพล้ง
บนพื้นเต็มไปด้วยเศษกระจกแตกกระจายละเอียดเต็มพื้น ผมเงยหน้าสบตากับพ่อที่กำมือเข้าหากันสีหน้าแดงก่ำไปด้วยความโกรธ แต่ผมก็ก้มลงดึงรูปภาพของแม่ออกมาม้วนๆ ถือไว้ในมือเพื่อนำไปติดไว้ที่คอนโดของตัวเอง
“น้าพิมคะ” น้ำเสียงใสดังขึ้นจากด้านหลัง ผมค่อยๆ หันหน้ากลับไปมองคนที่มาเยือนอีกคน ทว่า... ร่างบอบบางที่อยู่ในชุดนักศึกษา ผมสีดำยาว ใบหน้าสวยคมแต่กลับไร้ซึ่งความรู้สึก จับจ้องมองไปยังพื้นและเลื่อนสายตามามองผม ดวงตากลมโตก็เบิกกว้างขึ้นไม่ต่างจากผมเลยสักนิด
หัวใจเต้นแรงอยู่แล้ว ณ เวลานี้กลับเต้นแรงขึ้นกว่าเดิมเมื่อได้เห็นหน้าของคนที่มาเยือน
หึ ให้ตายเหอะไฟ... มีอะไรให้เล่นสนุกอีกแล้วสิ!