ตอนที่ 7
“แม่จ๋า...แม่เป็นยังไงบ้างจ๊ะ เจ็บตรงไหนบ้าง แม่บอกบัวมานะ เดี๋ยวบัวเป่าให้ เพี้ยงเดียวแม่ก็หายแล้วจ้ะ” เพียงเห็นนางพรพรรณที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ บุษกรก็โถมตัวเข้ากอดอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้แม่บุญธรรมได้เห็นน้ำตาแห่งความปวดร้าวที่ซุกซ่อนเอาไว้ไม่มิด
“บัว...ทำไมหน้าตามอมแมมเหมือนแมวคราวอย่างนี้ล่ะลูก” พรพรรณถามลูกสาวเสียงแหบและเบา จนคนที่เอาหูแนบอกเพื่อฟังว่าหัวใจยังเต้นอยู่หรือเปล่าแทบจะไม่ได้ยิน ไร้เรี่ยวแรงกระทั่งยกมือขึ้นลูบผมบนศีรษะบุษกรก็ไม่ได้ น้ำตาเอ่อล้นคลอหน่วยตา ด้วยรู้ตัวเองดีว่าคงจะอยู่กับสาวน้อยแสนน่ารักคนนี้อีกไม่นานแล้ว เมื่อโรคร้ายที่รุมเร้าอยู่ดึงเอาเรี่ยวแรงไปจนหมด
“หนูไปทำอะไรมาหรือลูก”
ดวงตาที่ซ่อนอยู่ภายใต้หนังตาเหี่ยวย่นมองบุตรบุญธรรมอย่างสงสัย ทำไมใบหน้าที่เคยขาวนวลด้วยเลือดฝาดถึงได้กระด่างกระดำเป็นหย่อม ๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ายับย่นและขะมุกขะมอมเหมือนกับไปฟัดกับหมาที่ไหนมา อีกทั้งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งลอยโชยมาเป็นระลอก ทำเอาร่างเล็กที่ผอมจนเหลือเพียงแค่หนังหุ้มกระดูกถึงกับเกิดอาการม้วนในท้อง ของเสียเริ่มตีขึ้นจากกึ่งกลางของท้องและเรื่อยไปจนถึงลำคอ
“บัว...”
หลังจากระงับสติที่กระเจิดกระเจิงและหวาดกลัวให้สงบลง เพราะยังได้ยินเสียงหัวใจของแม่เต้น ได้ยินเสียงนุ่มหวานเป็นเครื่องยืนยันว่าแม่ยังมีชีวิตอยู่ บุษกรยันกายลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับยกมือขึ้นซับน้ำตา จากนั้นก็ปั้นหน้าให้เป็นยิ้มแย้มแจ่มใส เธอกุมมือของแม่ไว้
“บัวไปหางานทำมาจ๊ะแม่”
“ไปทำงานอะไรทำไมถึงได้กลับมาขะมุกขะมอมแบบนี้ละลูก เหมือนกับไปฟัดกับใครมายังงั้นแหละ”
บุษกรถึงกับสะดุ้งโหยง คำพูดแม่พรพรรณช่างเหมือนกับไปยืนอยู่ในเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปสด ๆ ร้อน ๆ อย่างนั้นแหละ บุษกรยิ้มแหยง ๆ เธอยกมือขึ้นดมว่ามีกลิ่นหรืออะไรผิดปรกติหรือเปล่า ก่อนจะก้มลงมองดูตามร่างกาย หญิงสาวถึงกับตกตะลึงตาเบิกกว้าง เมื่อเห็นเลือดกระจายเป็นหย่อม ๆ ทั่วตัวเสื้อ สมองน้อยก็รีบหมุนอย่างฉับไว เพื่อสร้างเรื่องที่น่าจะทำให้แม่ผู้เฉลียวฉลาดเชื่อ
“โธ่...แม่จ๋า บัวไปหางานทำมาจริง ๆ จ้ะ” บุษกรนวดแขนเรียวออดอ้อนและประจบประแจงอย่างเต็มที่
“แต่เผอิญระหว่างทางกลับเห็นคนถูกวิ่งราว แม่ก็รู้นี่จ้ะ บัวอยู่ในคนประเภทที่ว่าเห็นคนเดือดร้อนไม่ช่วยไม่ได้ ก็เลยวิ่งเข้าไปช่วย เผอิญคนร้ายมันดวงซวยนะจ๊ะ เผลอล้มลงไปกระแทกเข้ากับอะไรไม่รู้ เลือดไหลออกมาแดงไปหมดเลย” บุษกรเล่าอย่างสนุกสนานและตื่นเต้น แต่พอสบกับสายตาไม่ค่อยเชื่อจากมารดาที่เลี้ยงดูมา หญิงสาวก็ยิ้มแหย ๆ
“จริง ๆ นะจ๊ะแม่จ๋า บัวไม่ได้โกหกสักนิดเดียวเลยจ้ะ” บุษกรผงกศีรษะเป็นจังหวะ ทำหน้าตาจริงจัง
“จริงเหรอ ไม่ใช่ว่าหนูไปหาเรื่องใครเขามาอีกนะบัว” พรพรรณถามอย่างไม่ค่อยเชื่อในคำพูดของบุษกรสักเท่าไหร่ เพราะรู้กิตติศัพท์ความร้ายกาจของลูกสาวเพื่อนคนนี้ดีว่า เป็นคนไม่ยอมคน ใครร้ายมาก็ร้ายตอบและจิกกัดไม่ปล่อย แต่ในเมื่อไม่มีหลักฐาน อีกทั้งคนที่ทำผิดก็ยังยืนยันเสียงแข็ง นางก็จำต้องปล่อยไปก่อน รอให้มีพยานและหลักฐานแล้วค่อยสอบถามเค้นเอาความจริงจากคนปากแข็ง
พรพรรณถอนหายใจออกด้วยความหนักอกหนักใจ เตือนบุษกรอยู่บ่อยครั้งเรื่องปากไวและนิสัยไม่ยอมคน แต่บุตรสาวบุญธรรมก็ทำเพียงแค่รับปากส่ง ๆ ไป พอลับหลังก็ยังชอบไปเรื่องกับพวกนักเลงหัวไม้ที่ขับมอเตอร์ไซด์รับจ้างอยู่ที่หน้าปากซอยบ่อยๆ ด้วย จนกลัวว่าวันหนึ่งหญิงสาวจะต้องลำบาก เพราะความที่มีนิสัยไม่แพ้คนเช่นนี้
“โธ่แม่ก็...เห็นลูกสาวเป็นพวกชอบหาเรื่องคนอื่นไปได้” บุษกรหันหน้าไปด้านที่ไม่มีใบหน้าของพรพรรณอยู่ พลางผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าแม่ไม่สงสัยในเรื่องที่เธอไปทำมา ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าถูกจับได้ ผลจะเป็นยังไง แม่คงโกรธจนไม่พูดด้วย ไม่แม้แต่จะมองหน้าเลยทีเดียว
“แล้วมันจริงไหมล่ะ” พรพรรณสวนขึ้นทันที
“ไม่จริงสักหน่อย ถึงบัวจะเกเรไปบ้าง แต่ก็ไม่ทำอย่างที่แม่ว่าเลยสักครั้ง...มีแต่คนอื่นนั่นแหละที่คอยมาหาเรื่องบัว” บุกษรเถียง ถ้าขืนยังเถียงอยู่แบบนี้ เธอคงจะกลายเป็นจำเลยให้ทนายความนามพรพรรณซักจนต้องยอมแพ้ บอกความจริงไป
“แม่ดีขึ้นแล้วใช่ไหมจ๊ะ หมอบอกหรือเปล่า แม่เป็นโรคอะไรกันแน่ ทำไมถึงได้ป่วยไม่ยอมหายสักที” หญิงสาวถามอย่างเป็นงานเป็นการ
ตอนเข้ามา เธอได้แวะไปถามพี่พยาบาลคนสวยที่อยู่เวรแล้ว แต่กลับได้รับคำตอบให้รอถามคุณหมอในตอนเช้า แม้จะไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับสักเท่าไหร่ แต่บุษกรก็จำต้องพยักหน้ารับ ด้วยรู้ดีว่าตัวเองทำผิดกฎของโรงพยาบาลหลายอย่าง
ตอนแรกเธอก็สงสัย ทำไมโรงพยาบาลแห่งนี้ถึงได้มีกฎข้อห้ามบางอย่างที่ไม่เหมือนกับที่อื่น จนได้รับคำตอบว่า โรงพยาบาลแห่งนี้รองรับทั้งแขกฝรั่งที่มาท่องเที่ยวและชาวบ้านทั่วไป จึงมีการดูแลเรื่องความปลอดภัยของคนไข้และคนเฝ้าไข้อย่างเคร่งครัด เพื่อความสะดวกและปลอดภัย เธอจึงพยายามปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ถูกวางไว้เท่าที่จะทำได้
แต่บางอย่างก็มีข้อยกเว้น เช่นการเข้ามาเพื่อเฝ้าดูแลแม่พรพรรณในยามค่ำคืนดึกดื่นจนเลยล่วงขึ้นวันใหม่เช่นคืนนี้
“แม่...ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงใช่ไหมจ๊ะ” บุษกรถามด้วยความกังวลใจ จำไม่ได้แล้วว่าแม่พรพรรณเริ่มป่วยตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้เพียงแต่ว่ามีเหตุให้ต้องเข้าออก รวมถึงกินนอนในโรงพยาบาลราวกับเป็นบ้านหลังที่สองมาเกือบจะห้าปีแล้ว
“คิดมากอีแล้วนะบัว แม่ไม่เป็นอะไรสักหน่อย น้าปูนไม่น่าจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่แบบนี้เลย แม่แค่สำลักและไอติด ๆ กันแค่ไม่กี่ที ก็คิดว่าอาการป่วยกำเริบ เลยรีบพามาส่งโรงพยาบาล เปลืองเงินเปลืองทองโดยใช่เหตุ เดี๋ยวพรุ่งนี้หมอก็อนุญาตให้แม่กลับบ้านได้แล้วละ” พรพรรณพูดยาวปลอบใจตัวเองและบุษกร
“แม่จะยังอยู่กับหนูไปอีกนาน บัวไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ”
พรพรรณยกมือขึ้นลูบผมบนศีรษะทุยอย่างสงสาร บุษกรไม่น่าจะต้องมาลำบากเช่นนี้ ถ้าเธอตัดสินใจส่งเด็กหญิงตัวกลมป้อมแก้มยุ้ยเป็นสีแดงเหมือนผลชมพูไปให้กับพ่อและย่าแท้ ๆ ของแกเลี้ยงดู แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ผู้เป็นแม่ของบุษกรได้รับ ก็ทำให้ส่งไปไม่ลง กลัวไปต่าง ๆ นานา จนสุดท้ายแม้จะอดอยากและแร้นแค้นแค่ไหน ก็สู้เลี้ยงดูหญิงสาวเป็นอย่างดี
“แม่จะอยู่จนบัวมีแฟน...มีหลานให้แม่เลี้ยงหลาย ๆ คนเลยจ้ะ”
พรพรรณยังฝืนยิ้ม แม้หัวใจจะถูกกดทับด้วยของหนัก ๆ เพราะโรคร้ายที่กัดกินทำลายระบบภายในของร่างกายอยู่ทุกวินาที ถ้าไม่รับการรักษาด้วยยาและหมอเฉพาะทาง ตีความจากคำพูดของหมอที่ทำการรักษาก็เป็นไปได้ว่าการเข้ามานอนในโรงพยาบาลครั้งนี้ เธออาจจะไม่มีวันได้กลับออกไปดูโลกแสนสวยภายนอกอีกแล้วก็เป็นไปได้
“ดีเลย พรุ่งนี้บัวจะทำอาหารอร่อย ๆ ที่แม่ชอบมาให้แม่ทาน ออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่ บัวจะให้แม่พักผ่อนอยู่บ้าน ไม่ต้องไปขายส้มตำอีกแล้วละ บัวคิดว่าจะลองหางานอื่นที่ได้เงินเยอะกว่านี้ทำ” บุษกรพูดปลอบใจตัวเอง
‘แม่จะต้องหาย...จะต้องอยู่กับเธอไปอีกนาน’
แต่...ใบหน้าแม่ซีดเซียวเหลือเกิน มือก็เย็นจัดจนเหมือนกับเธอกำก้อนน้ำแข็งเอาไว้ จนไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลารักษาตัวไปอีกนานแค่ไหน เพราะเธอแท้ ๆ ที่ทำให้แม่เป็นแบบนี้ บุษกรเงยหน้าเพราะไม่อยากให้น้ำตาที่เอ่อล้นคลอเบ้าไหลลงมา