ตอนที่ 8
‘เข้มแข็งสิบัว...ร้องไห้ไม่ได้นะ ถ้าแม่เห็นเข้าจะต้องใจเสีย อาการป่วยที่เป็นอยู่จะหนักลงไปอีก’
“บัวได้งานแล้วเหรอลูก คงจะไม่ใช่...”
“แม่คิดมากอีกแล้ว บัวไม่ทำอะไรไม่ดีอย่างที่แม่คิดหรอกจ้ะ เป็นงานร้านอาหาร เก็บโต๊ะเก็บจานไปล้าง แต่เวลาทำงานช่วงบ่ายจนถึงค่ำค่อนไปทางดึก เขาให้เริ่มทำวันจันทร์ที่จะถึงนี่แหละจ้ะ”
“มันจะเสี่ยงเกินไปไหมบัว” พรพรรณถามอย่างเป็นห่วงแกมไม่เชื่อว่าบุษกรจะทำงานอย่างที่ว่าได้ ก็เป็นคนปากไว ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ผิดก็ว่าไปตามผิด แต่ถ้าหากไม่ผิดจะเถียงจนหัวชนฝา
“ก็ต้องอดทนแหละจ้ะแม่ เราจำเป็นต้องใช้เงินมารักษาแม่นี่นา” บุษกรบีบมือเล็กเบา ๆ เขาบอกว่าถ้าเริ่มโกหกเมื่อไหร่ จะต้องโกหกต่อไปเพื่อไม่ให้ถูกจับได้
“บัวจะอดทน จะไม่ทำให้แม่ผิดหวังจ้ะ” ถึงใบหน้าบุษกรจะหม่นหมอง แต่ก็ฉายแววแห่งการสู้ไม่ถอย
เธอจะต้องหางาน หาเงินมารักษาแม่ให้หายให้จงได้!
“ขอบใจนะบัว” พรพรรณลูบผมบนศีรษะบุษกรด้วยความรักและเต็มตื้นในหัวใจ “แม่เชื่อว่าหนูทำได้”
“ใช่แล้ว...บัวเก่งอยู่แล้วนี่นา เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เชื่อมือกินได้เลย จะต้องผ่านไปได้แน่นอน” จะกังวลใจแค่ไหน แต่เพียงคำพูดให้กำลังใจพรพรรณ เธอก็พร้อมจะสู้ แต่...เงินรายได้จากการขายส้มตำไก่ย่างที่บางวันก็ขายดีบางวันก็เกือบจะขายไม่ได้ พอหักต้นทุนแล้วแทบไม่เหลือกำไร อย่าว่าแต่ค่ายาเลย แค่จะเอาไปซื้อข้าวสารกรอกหม้อก็ยังแทบจะไม่พอเลย บุษกรล้วงมือไปสัมผัสถุงที่ซุกซ่อนเอาไว้อย่างดี ก็พอจะอุ่นใจไปเล็กน้อย
โทรศัพท์และนาฬิกาน่าจะนำไปเปลี่ยนเป็นเงินได้หลายพัน...อาจเลยหมื่นก็เป็นไปได้ ส่วนแหวนทั้งสองวงเก็บเอาไว้ก่อน เอาไว้ขายยามจำเป็นจริง ๆ
“เป็นเพราะแม่แท้ ๆ เลย ทำให้หนูต้องมาตกระกำลำบากแบบนี้ แทนที่จะได้เรียนสูง ได้ทำงานดี ๆ แต่งตัวสวย ๆ อย่างกับผู้หญิงอื่นเขา กลับต้องมาวิ่งเข้าออกโรงพยาบาล แต่ตัวก็มอซอ”
“แม่อย่าพูดอย่างนั้นสิจ๊ะ ถึงเราจะยากจน หาเช้ากินค่ำ แต่เราก็มีความสุขกันนี่จ้ะ อีกอย่าง...คนเราไม่แก่เกินเรียน ถ้ายังรักที่จะศึกษาหาความรู้ วันหนึ่งโอกาสจะต้องเป็นของเรา บัวเชื่ออย่างนั้นคะ แม่อย่าคิดมากนะจ๊ะ” บุษกรตบมือพรพรรณเบา ๆ
“แม่กลัวว่าบัวจะเหนื่อยเกินไปนะสิ”
“แม่ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ แค่นี้เล็กน้อย บัวทนได้”
กลางวันขายส้มตำไปจนถึงตอนเย็น เสริมด้วยการหาอะไรไปขายที่ตลาดนัดตอนเย็นถึงค่ำ น่าจะทำพอมีเงินหมุนเวียนมาเป็นค่ายารักษาแม่ รอให้ผ่านไปสักอาทิตย์ ก็นำเงินจากการขายของที่ไปขโมยนำมาใช้ บอกว่าเป็นรายได้จากการทำงาน แค่นี้แม่พรพรรณก็ไม่สงสัยแล้วละ
“ก็ตามใจนะ แม่แค่ไม่อยากให้บัวหักโหมงานมากจนเกินไป เดี๋ยวจะไม่สบายไปอีกคน มันจะยิ่งแย่นะลูก แม่ไม่เป็นอะไรมากหรอก เดี๋ยววันสองวันก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วละ”
บุษกรโน้มหน้าไปหอมแก้มพรพรรณ “แม่พักผ่อนเถอะ บัวจะไปขอผ้าห่มกับหมอนพี่พยาบาลคนมานอนใกล้ ๆ แม่” หญิงสาวพากายหลบฉากเข้าไปในห้องน้ำ
“ตายแล้ว! อย่างนี้เอง แม่ถึงได้ไม่ค่อยเชื่อในคำพูดของเรา เพราะอีตาบ้านั่นแท้ ๆ เชียว อย่าให้เจออีกนะ แม่จะเอาไม้หน้าสามทุบหัวให้แตกอีกรอบเลย” บุษกรก่นด่าอย่างหงุดหงิดและเจ็บใจ
หญิงสาวยื่นมือไปกดและรับน้ำมาซับตามเรือนกายที่มีหยดเลือดติดอยู่เป็นหย่อม ๆ ให้ลดน้อยลง เพราะกลัวว่าแม่พรพรรณจะสงสัย เธอหายไปเอาผ้าและหมอนที่ไหน ทำไมถึงใช้เวลานานมากนัก จึงรับน้ำมาล้างดินโคลนสีดำที่เปื้อนบนใบหน้าออกอย่างรวดเร็ว เลยยังเหลือร่องรอยสีดำเปื้อนบนใบหน้าเป็นหย่อม ๆ ก่อนจะไปทำตามคำพูดที่บอกกับพรพรรณ
พีรายุเดินหน้าบึ้ง ออกจากหน้าห้องรับจ่ายยาอย่างคนที่ยังเหลืออาการมึนงงและอ่อนเพลียอยู่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความมึนเมาจากฤทธิ์สุราที่ยังคงมีอยู่ในกระแสเลือด อีกส่วนก็มาจากร่างกายที่สูญเสียเลือดเพราะถูกฝาดด้วยขวดเหล้าที่เขาดื่มเข้าไปนั่นแหละ
“อย่าให้ฉันเจอตัวนะยายตัวแสบ” พีรายุกัดฟันพูด แม้ตอนนั้นสติจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยังหลงเหลือเค้าลางภาพสาวน้อยใบหน้ากระด่างกระดำอยู่ในหน่วยตาได้
นาฬิกาข้อมือที่แฟนเก่า! ซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดที่หายไป เขาไม่เสียดายเลยสักนิด ยินดีเสียอีกที่หายไปจากสายตา แต่โทรศัพท์ก็มีเบอร์คนสำคัญอยู่หลายคน แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าแหวนสองวงซึ่งคุณย่ามอบให้ไว้กับมือตอนก่อนจะเสียชีวิต สั่งให้เขาเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี เพื่อจะได้มอบให้กับคนที่จะร่วมชีวิตด้วย สำคัญพอที่เขาจะทำให้เขาต้องตามล่าหาตัวยายตัวแสบนั่นให้เจอให้จงได้!
“อย่าให้ฉันเจอนะยายตัวแสบ จะเอาให้จุกพูดไม่ออกเชียว!” ชายหนุ่มยิ้มมาดหมาย ขณะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวยาวที่สามารถนั่งได้ถึงสี่คนในแถวเดียวกัน ด้วยรู้ตัวเองดีว่ายังขับรถกลับบ้านพักไม่ไหว
ชายหนุ่มกวาดตามองไปทั่วโรงพยาบาลประจำอำเภออย่างครุ่นคิดและภาวนาให้คุณย่าดลบัดดาลให้เขาได้เจอกับนังหัวขโมยคนนั้น ก่อนแหวนจะถูกสับเปลี่ยนมือจนยากที่จะหาเจอ
“ฉันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ เพราะเธอแท้ ๆ เชียวสุดา”
ใจพีรายุยังเคียดแค้น โกรธในความโง่ของตัวเองที่มองไม่ออก เลยถูกรวิสุดาหลอกเอา โดยไม่รู้เลยว่าลับหลังแล้วหญิงสาวปล่อยเนื้อปล่อยตัวกับพี่ชายจนถึงขั้นมีเด็กด้วยกัน แต่ก็ยังดีที่ไม่บังคับให้เขารับเป็นพ่อเด็ก คงจะเป็นเพราะอิทธิพลจากครอบครัวของหญิงสาวและหวังผลในการเป็นทายาดของพี่ชายจอมเจ้าชู้ที่ยอมจดทะเบียนสมรสด้วย
เขาควรจะ...ขอบคุณที่พี่ชายทำให้รู้เช่นเห็นชาติรวิสุดาก่อนที่จะตกลงปรงใจแต่งงานด้วยสินะ
พีรายุหยุดคิดถึงเรื่องของพี่ชายกับรวิสุดา เมื่อเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านตาไป
“นั่นมัน...” ชายหนุ่มร้องครางในลำคอ เหมือนมีอะไรสะดุดใจเขาอย่างจัง ซึ่งพีรายุก็ตอบไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม มันเหมือนภาพจาง ๆ ของยายขโมยที่ผ่านแวบเข้ามาในสมอง ซ้อนทับกับภาพของหญิงสาวที่เดินลับหายเข้าไปยังซอกเล็ก ๆ ซึ่งคงจะเป็นห้องน้ำ
เพราะไม่มั่นใจ พีรายุจึงคิดว่าจะนั่งรอให้หญิงคนนั้นเดินออกมาจากห้องน้ำก่อน หากเมื่อเขามองไปรอบ ๆ ห้องที่นั่งอยู่ ก็สะดุดกับชายวัยกลางคนซึ่งเป็นทนายความประจำตระกูล
สงสัยจะตามมาดู เขาไปเมาแล้วตกขับรถตกถนนตายหรือเปล่า ขนาดที่นี่อยู่ห่างไกลจากกรุงเทพตั้งหลายร้อยกิโล แต่หูตาของพ่อและลุงทนายจะไวเป็นพิเศษ ถึงได้ตามมาเร็วและรู้ด้วยว่าเขาอยู่ที่ไหน
“จริง ๆ เลยนะลุง...ไม่คิดจะให้ผมมีเวลาพักรักษาหัวใจบ้างเลยหรือไง กะจะให้ผมล้มหัวใจกลัดหนองจนกระอักกันเลยใช่ไหมเนี่ย” ให้กลับบ้านตอนนี้ เขายังทำใจเรื่องรวิสุดาไม่ได้ จะต้องคอยหาเรื่องต่อยตีกับพี่ชายแน่นอน
เพราะไม่อยากเจอกับลุงทนายในตอนนี้ พีรายุจึงลุกขึ้นเดินเลี่ยงไปหลบมุมที่ซอกซึ่งหญิงสาวร่างเล็กเดินลับหายไป รอยยิ้มแต้มบนมุมปาก เมื่อเห็นชายวัยกลางคนอารมณ์เสียที่ไม่เจอเขาอย่างหวัง
พีรายุมองร่างท้วมของลุงทนายด้วยแววตาแข็งกร้าว เขาไปทำระยำตำบอนที่ไหน ลุงทนายสามารถเอาไปรายงานบิดาและมารดาทุกอย่าง ชนิดที่ไม่มีขาดตกเลย แต่ทีกับเรื่องของพี่ชายและน้องชายที่ไม่ว่าจะทำเลวสักเพียงใด ไม่เคยจะมีสักเรื่องที่จะเข้าไประคายหูบิดาและมารดา ไม่รู้ว่าลุงทนายจงเกลียดจงชังอะไรเขาหนักหนา