ตอนที่ 3
“หือ...ขอโทษ สุดาจะขอโทษผมเรื่องอะไร” ชายหนุ่มถามคนรักด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ใบหน้ายังคงกระจ่างสดใส “ยังตัดสินใจเรื่องที่ผมขอยังไม่ได้ ไม่เป็นไรนะ ค่อย ๆ คิดไปนะ ผมรอสุดาได้เสมอ”
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่เรื่องนั้น คือสุดา...มีเรื่องจะบอกกลางค่ะ”
ไม่เพียงแค่น้ำเสียง หากใบหน้าของรวิสุดาก็ทำให้พีรายุเริ่มจะแปลกใจ จะว่าไปเขารู้สึกว่าช่วงนี้แฟนสาวห่างเหินไป โทรหาก็ไม่ค่อยรับ หรือไม่ก็บอกติดธุระ จะไปหาที่บ้านก็มีจะข้ออ้างบอกว่าไม่ต้องไปเสมอ
“สุดามีเรื่องอะไรจะบอก ถ้าอย่างนั้นก็บอกมาได้เลย” ชายหนุ่มสอดมือประสานกัน ขณะมองตามร่างของรวิสุดาที่เดินไปยังมุมหนึ่งของห้องที่ซึ่งมีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่
“พี่ใหญ่!” พีรายุร้องครางในลำคอ เมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติที่ทำให้เขาเริ่มใจไม่ค่อยดี
“คงไม่ได้หมายความว่า...” พีรายุได้แต่ภาวนาว่าสิ่งที่คิดอยู่คงจะไม่เป็นความจริง ก่อนหัวใจเขาจะแตกสลาย เพราะคำพูดจากปากแฟนสาวที่ไปยืนเคียงข้างกับผู้เป็นพี่ชายร่วมสายเลือดเดียวกับเขาที่รีบโอบกอดอย่างแนบสนิทชิดเชื้อ
“ใช่ค่ะกลาง สุดากับใหญ่...เราจดทะเบียนกันเรียบร้อยแล้ว”
“สุดาล้อผมเล่นแน่เลย สุดาจะจดทะเบียนกับพี่ใหญ่ได้ยังไง ในเมื่อตลอดเวลา...” ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาถูกคนรักและพี่ชายแทงข้างหลัง ทั้งคู่แอบคบกัน ทำไมเขาถึงไม่ระแคะระคายเลย หรือตลอดเวลารวิสุดาเห็นเขาเป็นเพียงแค่...สะพานเพื่อข้ามไปหาพี่ชายเท่านั้น ถึงได้หักหลังอย่างเลือดเย็นอย่างนี้
พีรายุอยากที่จะเอาศีรษะตัวเองไปโขกกับอะไรก็ได้ เพื่อจะได้ลบความทรงจำที่เจ็บปวดออกไปจากสมองเขาเสียที แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ลบภาพรวิสุดาที่ออกไปจากสมองและหัวใจไม่ได้
“...”
ชายหนุ่มแผดเสียงดังลั่น ลูกผู้ชายไม่ควรร้องไห้เสียน้ำตา แต่ตอนนี้น้ำตาเขากลับไหลออกมาไม่ขาดสาย มันเจ็บปวดใจจากการกระทำของคนที่เคยบอกว่ารักเขา...รักมาก ชั่วชีวิตนี้จะอยู่กับเขา แต่งงาน...สร้างครอบครัวที่มีความสุขด้วยกัน แต่ไหนละ...คนที่พูดตอนนี้อยู่ไหน?
ก็แหงละ คนที่พูดตอนนี้ได้ทอดกายให้ชายอีกคนเชยชมเหมือนกับผู้หญิงไร้ค่า เพราะท้องก่อนแต่ง ก็เลยต้องรีบจดทะเบียนสมรส เพื่อให้ลูกที่เกิดออกมาไม่มีปมด้อย
“ฉันขอสาปแช่ง ขอเธอตกนรกหมกไหม้ไปชั่วชีวิตรวิสุดา!”
พีรายุหัวเราะเหมือนกับคนบ้า ช่างน่าขำเหลือเกิน เขาสู้อุตส่าห์ทะนุถนอม ดูแลอย่างที่ริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมมาตั้งห้าปี แต่เพียงแค่พี่ชายกลับมาจากต่างประเทศไม่ทันจะข้ามปี รวิสุดาก็ดันไปมีความสัมพันธ์กันลึกซึ้งลับหลัง จนตอนนี้มีไอ้ตัวมารหัวขนอยู่ในท้องแล้วสองเดือน ทั้งคู่เลยต้องรีบแต่งงานกันโดยที่ทุกคนต่างก็เห็นดีเห็นงามไปด้วย
“ทำไมพี่...ทำไมพี่ถึงทำกับผมแบบนี้” สายสัมพันธ์ของความเป็นพี่น้องไม่มีค่าเลยหรือไงกัน พี่แท้ ๆ ถึงได้หักหลังน้องอย่างเลือดเย็นแบบนี้
ทำไม! พีรายุทุบอกตัวเองแรง ๆ
ทำไม! ถึงไม่มีใครคิดถึงหัวอกเขาบ้าง ผู้ชายคนนี้จะเจ็บช้ำแค่ไหน เขาไม่ดีตรงไหน ทำไมแฟนที่คบกันมาหลายปี ถึงได้นอกใจไปมีคนอื่น
ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน เขาคงไม่เจ็บช้ำถึงขนาดนี้ แต่นี่...เป็นพี่ชายที่คลานตามกันมา อยากจะรู้นัก ใจของสองคนนั้นทำด้วยอะไร ถึงได้ทำร้ายกันอย่างเลือดเย็นอย่างนี้
“กับผม คบกันมาห้าปี ยังหักหลังกันได้ลงคอ แล้วกับพี่ที่ เพิ่งจะคบกันได้ไม่นาน มีหรือที่จะไม่หักหลัง หมดผลประโยชน์เมื่อไหร่ พี่ก็เหมือนหมาตัวหนึ่งนั่นแหละ ผมจะคอยดูวันที่พี่เจ็บ”
ชายหนุ่มลุกขึ้นจากพื้นอย่างทุลักทุเล เดินเอียงซ้ายเอียงขวาไปเปิดประตูห้องนอน จุดหมายปลายทางคือบาร์เหล้าที่อยู่ด้านล่าง แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่า เหล้าที่มีอยู่ในบ้านหลังนี้ ถูกเขาขนมาดื่มจนหมดแล้ว
“โว้ย!” พีรายุคุมสติตัวเองเอาไว้ไม่ได้ เขาอาละวาดใส่ข้าวของจนพลัดตกลงมากระจัดกระจาย ก่อนจะเดินไปยังนอนบนเตียงนอนที่อยู่ไม่ไกลอย่างคนหมดอาลัยตายอยาก แต่แล้วเขาก็พลาด เท้าเหยียบไปบนขวดแก้วสีใสกลมๆ ที่กลิ้งไปกลิ้งมา
โครม!!
ร่างหนาล้มลงนอนแผ่ แม้ศีรษะจะกระแทกกับพื้นพรมแต่ชายหนุ่มก็ดูเหมือนจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย กลับมีเสียงหัวเราะอย่างข่มขื่น น้ำตาหยดไหลออกจากสองตา
“สุดา” ในคอเขายังคงร้องเรียกรวิสุดาที่มาพร้อมกับภาพของอดีตคนที่เคยรักลอยวนอยู่เหนือหัวทำให้ต้องหลับตาหนี...และเขาก็เผลอหลับไปโดยไม่ทันจะรู้ตัว
เสียงดังจากด้านบนของบ้านทำเอาบุษกรถึงกับสะดุ้งเฮือก เธอแหงนหน้าขึ้นมองด้านบนโดยอัตโนมัติ ขณะหัวใจก็วูบหล่นไปกองอยู่ที่ปลายเท้า ขณะร่างกายก็เย็นเฉียบอย่างกะทันหัน
หญิงสาวเกือบจะปล่อยกระบอกไฟฉายหลุดออกจากมือ แต่ดีว่าดึงสติเอาไว้ได้ทัน แต่กระนั้นความตกใจก็ทำให้เธอเผลอก้าวไปด้านหลัง
ปึก!!
“โอ้ย!” บุษกรรีบยกมือปิดปากเมื่อรู้ว่าเผลอร้องออกไป แต่ความเจ็บที่ส้นเท้าก็ทำให้เธอถึงกับนิ่วหน้า จนต้องรีบยกเท้าขึ้นมาจับดู ก่อนจะโล่งอก เพราะไม่ได้เจ็บตัวอะไรมากมาย แต่...
“ไม่! แกจะกลัวอะไรนักหนาฮึบัว บ้านไม่มีคนอยู่เป็นเดือนเกือบจะเป็นปีแบบนี้ คงมีหนูมาก แมวมันเลยเข้ามาวิ่งไล่จับก็เท่านั้น”
หญิงสาวพยายามคิดว่าสิ่งที่ทำเสียงดังเมื่อครู่เป็นแค่สัตว์ ไม่ใช่คนหรือสิ่งที่ไม่มีตัวตนอย่างที่คนทั่วไปเขาเรียกกันว่า ผอสะอี...ที่ถูกเรียกกันว่าผี!
“ใช่...ผีไม่มีในโลก ไอ้ที่ทำเสียงดังตะกี้มันก็แค่แมวไล่จับหนู” คิดได้ดังนั้นความกล้าก็เข้ามาแทนที่ความกลัว หญิงสาวส่องไฟฉายไปตามส่วนต่าง ๆ ของบ้านอย่างระมัดระวัง แล้วต้องเบะหน้ากับสิ่งที่ได้เห็น ข้าวของเครื่องแต่งบ้านล้วนแล้วแต่สวยงาม ดูมีราคา แต่ก็ชิ้นใหญ่ยากที่เธอจะขนออกไป อีกทั้งเธอก็ไม่รู้แหล่งที่ขายด้วย เอาไปรังแต่จะเป็นภาระและอาจจะส่งผลให้ถูกจับได้ง่าย ๆ ด้วย สิ่งของที่จะนำไปเป็นค่ายารักษาแม่พรพรรณ ควรจะเป็นชิ้นที่พกพาได้ง่ายแต่ราคาสูง จะได้คุ้มกับการเสี่ยงเข้ามา
หญิงสาวย่องขึ้นไปบนชั้นสองบ้านอย่างช้า ๆ “ฮื้ออื้อ...มีตั้งหลายห้องแนะ แบบนี้ฉันจะเข้าห้องไหนดีละนี่ ถึงจะได้เจอของมีค่ามีราคาพอจะขายได้เป็นหมื่นบาท” บุษกรบ่นพึมพำ เมื่อตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเริ่มต้นที่ห้องไหนดี
“เอาวะ...เสี่ยงดู” แต่ห้องที่เธอเลือกกลับติดล๊อค “บ้าจริง คนยิ่งรีบ ๆ อยู่ ลางก็ไม่คอยดีแล้ว จะทำต่อหรือกลับบ้านดีละเรา” แต่อาการป่วยของแม่พรพรรณก็ทำให้บุษกรยังต้องตัดสินใจ…เป็นแม่หัวขโมยอย่างเดิม
“เจ้าบ้านเข้าเรือนเจ้าขา ลูกไม่ได้คิดมาขโมยนะคะ แค่จะมาขอยืมไปชั่วคราว มีเมื่อไหร่จะรีบมาใช้คืน สาธุ...ขอให้ลูกเจอของที่ต้องการด้วยนะคะ” บุษกรยกมือไหว้ท่วมหัว ก่อนรีบรุดไปเปิดประตู แต่ทุกห้องกลับติดล๊อคจนหมด
“โว้ย! แล้วจะเอาไงละทีนี้ ห้องโน้นก็ไม่ได้ ห้องนี้ก็ติดล็อกเสียอีก” หญิงสาวสบถอย่างเสียอารมณ์ เธอยกมือขึ้นเท้าสะเอว ความหวังว่าจะได้ของไปแลกเงินและนำไปรักษาแม่พรพรรณสุดที่รักเริ่มริบหรี่ลง เค้าหน้าสวยที่เคยรื่นเริงก็เริ่มบูดบึ้ง
“ยังไงก็มาแล้ว ขอเสี่ยงอีกสักตั้งละกัน” หญิงสาวมองไปยังห้องสุดทางเดินอันเป็นที่พึ่งสุดท้ายในค่ำคืนนี้ ถ้าไม่ได้...เธอก็คงต้องลงไปเอาของข้างล่างแล้วล่ะ ถึงชิ้นจะใหญ่ไปสักหน่อย ผลตอบแทนที่ได้ก็ไม่มาก เธอคงจะต้องกลับเข้ามาเอาใหม่ซ้ำในคืนต่อไป เงินที่ได้นำไปรวมกับค่าขายส้มตำไก่ย่างตอนกลางวัน คงจะพอเป็นค่ายาของแม่พรพรรณไปสักระยะหนึ่ง