“ไม่ต้องห่วง ยังมีเรืออีกสองลำแยกไปรับคนอีกตึก พวกเรารับกลุ่มนี้แล้วออกได้เลย” อาร์มตบไหล่เพื่อนแล้วหันไปบอกเจ้าหน้าที่อีกคน “ผมจะลงไปจูงเรือไปที่บันไดนะ อยู่บนเรือระวังหัวด้วย”
อาร์มค่อยๆ ลงจากเรือลงไปยืนในน้ำแล้วจูงเชือกลากเรือเข้าไปใกล้ นักศึกษาชายสองคนดูอิดโรยไม่น้อย ส่วนนักศึกษาสาวสีหน้าเป็นกังวลอยู่บ้านแต่ก็เห็นว่ายิ้มออกมา
“ส่งของมาก่อน” ตุลาพูดแล้วยื่นมือไปรับสัมภาระจากน้องๆ ที่สะพายขึ้นหลังกันมา มองผ่านๆ ก็เดาได้ว่าเป็นโน้ตบุ๊คกับเสื้อผ้า หญิงสาวคนเดียวได้ขึ้นเรือพร้อมตะกร้าแมว เธอเดินมานั่งใกล้ตุลาที่นั่งอยู่ท้ายเรือแล้ววางตะกร้าลง ตั้งใจจะยื่นมือไปช่วยเพื่อนอีกสองที่กำลังลงเรือ แต่ตุลาส่งเสียงดุเสียก่อน
“นั่งนิ่งๆไปเลย นั่งยุกยิกเรือโคลงเคลงลำบากคนอื่น”
ขวัญข้าวหรือข้าวจี่หันขวับไปมองคนที่มารับ ดูเขาไม่ค่อยพอใจนัก ซึ่งก็พอเข้าใจได้ แต่จริงๆ เขาไม่ต้องเข้ามารับถึงที่นี่ก็ได้นี่นะ ที่คุยกันเมื่อวานเธอแค่หาทางไปให้ถึงถนนใหญ่ก็พอ แต่เป็นเขาที่จู่ๆ ก็ส่งข้อความว่าจะเข้ามารับเอง
“ไม่มีอะไรแล้วนะ พวกเราจะกลับออกไปเลย” อาร์มถามน้องๆ ที่พยักหน้าหงึกหงัก สองคนลอบถอนหายใจโล่งอกที่ได้ออกมาจากหอพักเสียที พวกเขาน่าจะเป็นกลุ่มสุดท้ายแล้ว
“เมี๊ยวววว”
“ใจเย็นๆ เจ้าฟูฟู เราจะนั่งเรือเล่นกันนะ อีกประเดี๋ยวก็ได้ออกจากตะกร้าแล้ว อดทนหน่อย”
คนพูดทำเสียงเล็กเสียงน้อยแต่ดูเข้ากับใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารัก ปากนิดจมูกหน่อย น่าเอ็นดูไปหมด อาร์มหันมายักคิ้วให้เพื่อนซี้ที่ทำหน้าตึงเพราะเป็นคนไม่ชอบแมว ใครจะคิดว่าผู้ชายตัวโตมาดเข้มอย่างเขาจะไม่ถูกกับแมวเพราะเคยถูกแมวกัดจนต้องเย็บแผลมาแล้ว
ขวัญข้าวปลอบเจ้าแมวในตะกร้าแล้วตั้งใจจะพูดขอบคุณลูกชายของเพื่อนแม่ที่อุตส่าห์มารับถึงที่ แต่พอเห็นหน้าบึ้งตึงแล้วเธอก็หุบยิ้มไปทันที
ไม่เต็มใจมาแล้วมาทำไมเนี้ย!
ขวัญข้าวจำได้ดีว่าเจอหน้าลูกชายของเพื่อนแม่กี่ครั้ง เจอกันครั้งแรกตอนที่เธออายุสิบขวบ เขายื่นหน้ามาใกล้แล้วใช้มือดึงแก้มสองข้างแรงๆ จนเธอร้องไห้จ้าไปฟ้องแม่ เจอครั้งต่อมาก็กระตุกผมเปียของเธอ เจออีกครั้งก็บีบจมูก กลายเป็นว่าทุกครั้งที่เจอ เธอจะหลบอยู่หลังแม่หรือไม่ก็น้ารัศมีไม่ให้เขามารังแกได้อีก
หลังจากย้ายบ้านก็ไม่ค่อยได้เจอกันอีก เธอไม่ค่อยได้พบ ‘พี่ตุลย์’ บ่อยนัก เพียงแต่แม่กับน้ารัศมีนัดเจอกันที เธอก็พลอยรับรู้เรื่องของเขาไปด้วย เธอไม่ได้อยากติดตามข่าวเขาเลยสักนิด ก็แค่น้ารัศมีชอบเปิดมือถือให้ดูว่าลูกชายคนเดียวโตขึ้นแค่ไหน
เรือท้องแบนพาผู้โดยสารมาถึงปากซอยอย่างปลอดภัย นักศึกษาชายสองคนแยกย้ายไปตามทางของตน ตุลาลงจากเรือก่อนแล้วฉวยสัมภาระของหญิงสาวมาถือไว้เองเพื่อให้เธอได้ก้าวลงจากเรือได้อย่างสะดวก แต่ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นห่วงตะกร้าแมวมากกว่าตัวเอง เขาบ่นพึมพำอย่างหงุดหงิดแล้วเหวี่ยงเป้สีชมพูของขวัญข้าวขึ้นคล้องไหล่เพื่อให้มืออีกข้างว่างยื่นไปรับตะกร้าสีเขียวใส่แมว
“ค่อยๆ ลง เดี๋ยวตกน้ำไปจะลำบากให้คนต้องไปงมขึ้นมา”
อาร์มปรายตามองเพื่อนซี้แล้วกลั้นขำ ไอ้หมอนี้เป็นพวกปากร้ายแต่ใจดี เขาเห็นสีหน้าหญิงสาวไม่ค่อยดีนักจึงยื่นมือไปให้เธอจับเพื่อทรงตัวลงมาจากเรือ
“ไม่ต้องรีบครับ” อาร์มพูดอย่างอารมณ์ดี จับมือนุ่มนิ่มประคองเธอลงมายืนบนพื้นอย่างปลอดภัย
“ขอบคุณค่ะพี่...”
“พี่อาร์มค่ะ เป็นเพื่อนรักของไอ้ตุลย์มัน มีอะไรเรียกใช้ได้นะ ไม่ต้องเกรงใจนะคะ” อาร์มพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน
“ว่างขนาดนั้นเชียว” ตุลาส่ายหน้าไปมาในความหน้ามึนของเพื่อนสนิท
“ถ้าน้องข้าวจี่ต้องการ พี่ก็ว่างได้เสมอ” อาร์มหัวเราะร่วน “ชื่อข้าวจี่ใช่ไหม ชื่อน่ารักดี”
“ค่ะ” ขวัญข้าวพยักหน้ารับแล้วยกมือไหว้ขอบคุณเขาอีกครั้ง
“ชื่อเหมือนหมาข้างบ้าน”
“ไอ้ตุลย์” อาร์มลากเสียงยาว ไหนบอกไม่คิดอะไรแต่นี้มันออกแนวหวงแล้วนะ
“เรียกทำไมกลัวลืมชื่อกูเหรอ” ตุลากระตุกยิ้มที่มุมปาก “ขอบใจมาก เอาไว้คราวหน้าเลี้ยงเบียร์ก็แล้วกัน
“เออๆ ถ้าน้อยกว่าลังไม่ต้องเรียกกูนะ” อาร์มพูดพลางหัวเราะก่อนส่งยิ้มโปรยเสน่ห์ให้หญิงสาวตากลม “แล้วเจอกันนะครับ น้องข้าวจี่”
ขวัญข้าวเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ ตามมารยาท เห็นคนตัวสูงหิ้วตะกร้าแมวเดินนำไปที่รถกระบะโฟร์วิลสีดำที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก เธอก็รีบวิ่งตามทันที เขาเปิดประตูแล้วแล้ววางเป้กับตะกร้าแมวไว้ที่เบาะนั่งด้านหลัง แต่หญิงสาวรีบคว้าตะกร้าไว้ก่อน
“ขอนั่งกับแมวได้ไหมคะ”
“ถ้าเธอนั่งข้างหลังพี่ก็กลายเป็นคนขับรถนะสิ” ตุลาขมวดคิ้ว
“แล้ว...” หญิงสาวทำตาปริบๆ ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี
“นั่งหน้าสิ” ตุลาโคลงศีรษะไปมาแล้วเดินอ้อมไปฝั่งคนขับ เขามองหญิงสาวร่างผอมบางอย่างแปลกใจ ทำไมตอนเด็กๆ ถึงได้อ้วนนักนะ ตอนนี้เจ้าก้อนกลมๆ หายไหนหมด
หญิงสาวจัดแจงวางตะกร้าแมวตรงพื้นด้านล่าง รถของเขากว้างมากสามารถวางตะกร้าได้สบายๆ เธอปลอบใจเจ้าแมวที่ส่งเสียงร้องแทบตลอดเวลาแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเกรงใจ
“มันจะร้องแบบนี้ตลอดทางหรือเปล่า”
“ขอโทษนะคะ น้องคงกลัว” ขวัญข้าวหน้าเสียกลัวเขารำคาญและไล่แมวไป
“ช่างเถอะ” เขายักไหล่แล้วสตาร์ทรถ “ถนนเส้นหลักถูกน้ำท่วม เราต้องอ้อมไปอีกเส้นนะ ไกลหน่อยแต่ไม่ต้องฝ่ารถติดและน้ำท่วมเข้าเมืองกัน”
“ค่ะ”
“หิวหรือเปล่า กินอะไรมาหรือยัง” ตุลาขับรถออกมาใช้ด้วยความระมัดระวัง ถนนบางช่วงมีน้ำขัง บางช่วงแห้งสนิท เมื่อเช้าเขาขับรถอ้อมอีกอำเภอหนึ่งเลยทีเดียวแต่ก็ดีกว่าเสียเวลากับรถติดที่ต่างคนต่างพยายามจะไปจุดหมายของตน
“ตอนเช้ากินขนมปังกับนมมาแล้วค่ะ”
“ถ้างั้น พ้นเส้นน้ำท่วมแล้ว เจอร้านอาหารจะแวะกินข้าวก็แล้วกัน พี่อยู่บ้านคนเดียวที่บ้านเลยไม่ค่อยมีของสดอะไร เอ่อ...เมื่อวานแม่พี่ก็โทรมาบอกตอนพี่เลิกงานพอดี พี่ยังไม่ได้ทำความสะอาดห้องให้เราเลย”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวข้าวจี่ทำเองได้” เห็นเขาพูดดีด้วย หญิงสาวก็เริ่มผ่อนคลายลง แต่เจ้าแมวยังคงส่งเสียงร้อง เธอจึงเปิดฝาตะกร้าแล้วยื่นมือลูบหัวแมว
“ฟูฟู เป็นเด็กดี อย่างอแงนะ หรือว่าเจ็บแผล”
“แมวเจ็บเหรอ” ตุลาถามพลางปรายตามองแมวในตะกร้า
“ค่ะ น้องหางเป็นแผลค่ะ น่าจะเป็นมานานแล้วจนติดเชื้อ”
“หือ? ไม่ใช่แมวของเราเหรอ” เขาถามอย่างแปลกใจ หญิงสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ
“แมวหนีน้ำท่วมมาติดอยู่ที่หอค่ะ” เธอตอบแล้วปิดฝาตะกร้าลง “คนอื่นๆ ย้ายออกไปแล้ว จะทิ้งแมวไว้ก็เป็นห่วง เลยต้องเอามาด้วยค่ะ แต่...ข้าวจี่บอกคุณน้ารัศมีแล้วนะคะ คุณน้าก็อนุญาตให้พาแมวไปด้วยได้ค่ะ”
“ไม่เห็นแม่พูดสักคำว่ามีแมวมาด้วย” ตุลาบ่นงึมงำ แม่ก็รู้ว่าเขาเคยถูกแมวกัดแผลลึกต้องเย็บตั้งสามเข็ม แล้วนี่ให้เขามาดูแลทั้งคนทั้งแมวอีก แม่หนอแม่ เห็นเขาว่างมากหรือไงนะ
“แต่ข้าวจี่บอกคุณน้าแล้วจริงๆนะคะ” เธอยืนยันกลัวว่าอีกฝ่ายจะคิดว่าโกหก
“อื้ม รู้แล้ว” เขาพยักหน้ารับ “มิน่าถึงบอกว่าหาโรงแรมที่พักไม่ได้ ที่แท้มีแมวมาด้วย”
“โรงแรมอะไรหรือคะ” คราวนี้หญิงสาวงุนงง อาทิตย์ที่แล้วเริ่มมีประกาศเตือนเรื่องการระบายน้ำออกจากเขื่อน เธออยู่ที่นี่มาสองปีแล้ว ปีที่แล้วก็ประกาศแบบนี้แต่น้ำไม่ท่วมหนักขนาดนี้ ที่จริงก็คิดจะออกมาหาห้องพักรายวันอยู่แต่ติดปัญหาที่เธอทิ้งเจ้าแมวฟูฟูไม่ลง เธอปรึกษากับแม่หลังจากนั้นคุณน้ารัศมีก็โทรมาพูดคุยสอบถาม และตกลงให้เธอไปพักที่บ้านในตัวเมืองชั่วคราวจนกว่าทุกอย่างจะเป็นปกติ ซึ่งเธอคิดว่าคงไม่กี่วัน