ชายหนุ่มจอดรถเรียบร้อยก็ตรงไปกินข้าวที่โรงอาหาร ปกติเขากินข้าวเช้าและเที่ยงที่นี้เป็นประจำ วันนี้เป็นห่วงเด็ก เอ่อ ไม่ใช่สิ ลูกสาวของเพื่อนแม่อยู่บ้าน แต่คนมาอยู่หอคนเดียวคงดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว แต่พอนึกถึงหน้างัวเงียของเธอแล้วเขาก็เผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว
“อะไรกัน แค่กินข้าวนี้ต้องยิ้มหน้าบานเลยเหรอ”
เสียงเพื่อนร่วมงานทักทำให้ตุลาขมวดคิ้ว เขายิ้มตอนไหนกันล่ะ?
“รอบนี้น้ำท่วมหนักเลย มีคนลางานหลายคนเพราะไม่สะดวกมาทำงาน” เพื่อนอีกคนพูดขึ้นแล้วนั่งกินข้าวข้างกัน
“ดูจากคลิปที่แชร์กันมา ถนนตัดขาดหลายเส้น ถ้าเขื่อนยังไม่หยุดการระบายน้ำ คงน้ำท่วมกันอีกเป็นอาทิตย์เลย”
“ให้ครึ่งเดือนเลยรอบนี้ เอาเฉพาะแถวมหาวิทยาลัยนะ พวกพื้นที่รับน้ำนานเป็นเดือนแน่ๆ เสียดายที่นาเสียหายหนักเหมือนกัน ข้าวกำลังออกรวงเลย”
“ว่าแต่ได้ยินว่าโรงงานเราก็จะไปมอบถุงยังชีพอะไรด้วยนะ”
“ก็ดีสิ ช่วยๆกันไป”
ตุลานิ่งไปครู่หนึ่ง เขาไม่ได้ตามข่าวละเอียดนัก ข่าวโทรทัศน์ช่องหลักแทบไม่มีอยู่แล้ว ต้องติดตามจากข่าวช่องท้องถิ่น เขาหยิบมือถือมาเปิดอ่านข่าวดูแล้วก็อดเป็นกังวลไม่ได้ ยัยเด็กนั้นเอาเป้มาใบเล็กนิดเดียว คงเอาเสื้อผ้ามาแค่ไม่กี่ชุด ถ้าต้องอยู่บ้านเขาจนน้ำลด เสื้อผ้าคงไม่พอใส่ ถ้างั้นซื้อของสดเข้าบ้านไว้หน่อยดีกว่า เอ...ทำกับข้าวเป็นไหมนะ หรือเขาควรจะโทรสั่งให้ไปส่งที่บ้านดี
“ทำหน้าเครียดจัง หรือที่บ้านโดนน้ำท่วมไปด้วย”
“บ้านผมไม่โดน แต่คนรู้จักโดน” เขาตอบแล้วรีบจัดการข้าวราดแกงของตัวเองให้เสร็จ ต้องไปแจ้งขอลาหยุดงานอีก
“อ้าว จะรีบเข้าโรงงานแล้วเหรอ”
“พอดีจะไปฝ่ายบุคคล ว่าจะขอลางานวันศุกร์นะ” ตุลาเอ่ยตอบแล้วรีบลุกขึ้นไปทันที เพื่อนแผนกเดียวกันมองแผ่นหลังของคนตัวสูงแล้วก็หันมาคุยกันเอง
“เป็นลูกเจ้าของโรงงานต้องลางานด้วยเหรอวะ กูนึกว่าอยากทำอยากหยุดวันไหนก็ได้”
“เฮ้ยๆ อย่าพูดดังไป ไอ้คุณตุลย์มันไม่ชอบให้ใครมองว่าเป็นลูกเจ้าของโรงงานแล้วได้อภิสิทธิ์เหนือคนอื่นอยู่”
เพื่อนร่วมแผนกพยักหน้าให้กันแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย ใครจะมีอภิสิทธิ์ยังไงไม่รู้ แต่งานดีเงินดี แถมสวัสดิการก็ดีอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้ต้องกอดไว้แน่นๆ เลยทีเดียว.
...
นิ้วเรียวเลื่อนหน้าจอมือถือนั่งอ่านเรื่องราวด้วยสีหน้าเป็นกังวล ดูเหมือนว่าน้ำท่วมครั้งนี้จะหนักหนาสาหัสมากกว่าที่คิดไว้ เธอยังโชคดีที่ได้มีที่ซุกหัวนอนไม่ต้องลำบากเหมือนหลายครอบครัว รวมถึงบรรดาสัตว์เลี้ยงทั้งที่มีเจ้าของและขาจร บางแห่งน้ำท่วมสูงถึงหลังคา
เสียงประตูรั้วเลื่อนเปิดออกทำให้ขวัญข้าวได้สติ เธอนึกขึ้นว่าอยู่บ้านคนอื่นรีบลุกขึ้นไปเปิดประตู แต่ก็นึกได้อีกว่าอุ้มแมวอยู่ในอ้อมกอด รีบหมุนตัวเอาแมวเข้ากรงอย่างรวดเร็วเพราะเจ้าของบ้านย้ำนักหนาว่าไม่อนุญาตให้แมวเพ่นพ่านในบ้าน
“ฟูฟูทำตัวเป็นเด็กดีนะ อย่างอแงล่ะ” ขวัญข้าวบอกเจ้าแมวอวบแล้วเดินมาเปิดประตูบ้านเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูเปิดออก ร่างเล็กจึงเสียหลักเข้าไปในแผ่นอกของอีกฝ่ายทันที
ตุลายืนนิ่งไปอย่างทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่าไขกุญแจบ้านเปิดประตูออกจะมีคนโผเข้าซบอกอย่างนี้ และสองมือของเขาถือของพะรุงพะรังอยู่จะทำอะไรก็ทำไม่ได้ ปล่อยให้เธอเป็นฝ่ายยันแผ่นอกของเขาแล้วเงยหน้าขึ้นอย่างลนลาน
“ขอโทษค่ะ!”
“ทำอะไรของเธอ”
“คือ...ข้าวจี่รีบมาเปิดประตูให้ค่ะ แต่ไม่คิดว่าพี่ตุลย์จะเปิดออกก่อน ก็เลย...”
“ช่างเถอะ มาช่วยถือของเข้าไปก่อน”
“ค่ะ”
ขวัญข้าวทรงตัวได้แล้วก็ยื่นมือไปรับถุงข้าวของที่เขาหิ้วมา เธอถือเข้าไปในครัวในขณะที่คนตัวโตอมยิ้มน้อยๆ ก้มลงถอดรองเท้าผ้าใบแล้วเดินเข้ามาในบ้าน หางตามองไปทางกรงแมวอ้วนหันก้นอวบๆให้ทำเหมือนไม่อยากเห็นหน้ากัน ทำให้เขาส่ายหน้าไปมาแล้วเดินตามคนตัวเล็กเข้าไปในครัว
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะคะ” ขวัญข้าวถามอย่างเกรงใจ ทั้งที่เห็นว่าตรงหน้าคือกับข้าว ขนมและของสดใส่ตู้เย็น
“ก็ของกินไง” ตุลาตอบแล้วเดินไปล้างมือที่อ่างล้างจาน “อยู่บ้านคนเดียวกลัวอดข้าวเลยซื้อของกินมาไว้ ทำกับข้าวกินเองได้ไหม หุงข้าวเป็นหรือเปล่า”
“เป็นค่ะ” ขวัญข้าวทำหน้างอ ทำไมคิดว่าเด็กหออย่างเธอดูแลตัวเองไม่ได้นะ “ทำกับข้าวกินเองง่ายๆได้ค่ะ”
“ถ้างั้นก็หุงข้าว เอาของสดเข้าตู้เย็น พี่จะขึ้นไปอาบน้ำก่อนเดี๋ยวลงมากินข้าวเย็นด้วย”
“เอ่อ...ค่ะ...”
ขวัญข้าวมองเจ้าของบ้านเดินออกไปแล้วก็ยังแปลกใจอยู่บ้าง แต่เธอเป็นคนอาศัยนี่นะ เขาให้ทำอะไรก็ต้องทำอยู่แล้ว หญิงสาวโคลงศีรษะไปมา จัดการหุงข้าวให้เรียบร้อย แล้วมาดูถุงอาหารและของสดที่เขาซื้อมา แยกเอาเนื้อสัตว์ไปล้างแล้วหาตลับใส่ตู้เย็น ส่วนผักก็เอาไว้ที่ช่องเก็บผัก ส่วนกับข้าวสำเร็จเธอก็เอามาใส่ถ้วยชามเตรียมรอคุณชาย เอ๊ย พี่ตุลาลงมากินข้าวข้าว
ตุลาใช้เวลาอาบน้ำไม่นานนัก แต่ไม่คิดว่าคนตัวเล็กจะจัดการของที่เขาซื้อมาเรียบร้อยทุกอย่าง เหลือแค่รอข้าวสุกก็พร้อมกินได้ทันที เขาหยิบลูกชิ้นปิ้งขึ้นมากัดแล้วพยักหน้าให้เธอ
“กินเล่นรองท้องก่อนก็ได้”
“ทำไมพี่ตุลย์ชอบกินอะไรรองท้องก่อนทั้งที่รู้อยู่แล้วอีกประเดี๋ยวก็จะได้กินข้าว” เธอขมวดคิ้วแต่ก็หยิบลูกชิ้นปิ้งมากินเหมือนกัน น้ำจิ้มรสเด็ดกับผักสดนี่มันช่างเป็นรสชาติที่โหยหาจริงๆ
“รองท้องก็คือรองท้องไง มันจะต้องมีเหตุผลอะไรมากไปกว่าการรองท้อง” เขายักคิ้วด้วยท่าทียียวน
“ถ้าหิวข้าวมาก ทำไมไม่โทรมาบอกก่อนล่ะคะ จะได้หุงข้าวรอหรือพี่ตุลย์กินข้าวก่อนเข้าบ้านก็ได้”
“ถ้าอยู่คนเดียวก็กินข้าวก่อนเข้าบ้านทุกทีนั้นแหละ แต่ตอนนี้มีเด็กกับแมวอยู่ในบ้านก็เลยต้องกลับมากินข้าวที่บ้านไง”
“เด็กที่ไหนกัน” ทั้งที่รู้ว่าเขาพูดถึงเธอแต่ก็อดบ่นพึมพำไม่ได้ ไฟเตือนหม้อหุงข้าวเปลี่ยนสีแล้ว เธอลุกขึ้นไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำมารินใส่แก้วแล้ว หยิบจานข้าวตักข้าวเปล่ามาสองจานแล้วยกมาให้เขาและของเธอเอง
“อยู่บ้านเป็นไงบ้าง แล้วเมื่อคืนนอนในห้องไม่สบายเหรอถึงมานอนข้างนอก” เขาถามพลางกินมื้อเย็น ไม่ได้กินข้าวในบ้านตัวเองเป็นครั้งแรกเสียหน่อย แต่ทำไมรู้สึกแปลกๆ ชอบกล หรือเพราะมีคนช่างบ่นมานั่งกินข้าวด้วยนะ
“เปล่าค่ะ...คือ...แค่เป็นห่วงเจ้าฟูฟูเลยออกมาดูแล้วไม่รู้หลับไปตอนไหน”
“จริงๆ โซฟามันปรับเป็นเตียงนอนได้ เป็นโซฟาเบด เผื่ออยากนอนหน้าโทรทัศน์”
“ข้าวจี่ไม่ได้ติดโทรทัศน์นะคะ ไม่ดูก็ได้”
“พี่พูดตอนไหนว่าห้ามดู แค่บอกว่าปรับโซฟาเป็นเตียงนอนดูโทรทัศน์ได้” เขาทำหน้าดุแต่ตักคอหมูย่างใส่จานข้าวให้คนตรงหน้า “แล้ววันนี้เรียนออนไลน์เป็นไง สัญญาณเน็ตมีปัญหาอะไรไหม”
“ไม่มีค่ะ”
“ไม่มีนี่คืออะไร ไม่มีปัญหาเรื่องเรียนหรือไม่มีปัญหาสัญญาณเน็ต”
“เอ่อ...ทั้งสองอย่างค่ะ”
‘แม่ยังไม่ถามขนาดนี้ ทำไมอีตานี่ถามจัง แต่คอหมูย่างนี่อร่อยแฮะ’