8

1234 Words
“ใครมาส่งลูก” กานดาถามเมื่อพิชชาพรเดินเข้ามาภายในบ้าน “เจ้านายค่ะน้าดา” “น้าไม่เคยเห็นใครมาส่งทรายเลยนะ...คนนี้มีอะไรพิเศษหรือเปล่า” ที่กานดาถามเพราะอยากให้ลูกเลี้ยงของนางมีความสุขเหมือนกับผู้หญิงคนอื่น ที่ทิ้งอดีตที่เจ็บปวดแล้วยอมเปิดรับสิ่งดีๆ และสิ่งไม่ดีเข้ามาในชีวิตบ้าง เพื่อให้หัวใจชุ่มช่ำและเบิกบาน ขจัดความทุกข์และความโศกเศร้าที่อยู่ในใจให้หมดไป “ไม่มีอะไรพิเศษหรอกค่ะน้าดา...ผู้หญิงที่สกปรกอย่างทรายไม่คู่ควรกับใครทั้งนั้นค่ะ ทรายจะอยู่กับน้าดาไปตลอดชีวิตเลยค่ะ” คำพูดนี้กานดาได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาตลอดสี่ปี “ทำไมทรายไม่ลองเปิดใจดูล่ะลูก...เรื่องมันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว” “ทรายลืมไม่ได้หรอกค่ะ...ทรายกลัวว่าหากทรายเปิดใจรับใครสักคน แล้วคนคนนั้นมารู้ตอนหลังว่าทรายเคย...เคยขายตัวมาก่อน ทรายกลัวว่าเขาจะรับไม่ได้และจากทรายไป ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทรายคงทนไม่ได้ สู้ทรายปิดกั้นตัวเอง จมอยู่กับอดีตที่เจ็บปวดดีกว่าค่ะ...น้าดา” พิชชาพรพูดทั้งน้ำตา กานดาแม่เลี้ยงวัยสี่สิบสี่ปีกอดร่างของเธอไว้แนบแน่น ปลอบประโลมพิชชาพรเหมือนทุกครั้งที่ความทุกข์ถาโถมใส่หัวใจที่บอบบางของเธอคนนี้ เพราะพิชชาพรไม่เหลือใครที่พอจะพึ่งพิงได้ มีนางเหลืออยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น กานดานึกถึงเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเมื่อสี่ปีก่อน หลังจากที่พิชชาพรเดินทางกลับมาจากไร่พายุภัทร ลูกเลี้ยงของนางเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง ร้องไห้เป็นพักๆ ในสัปดาห์แรกจนกระทั่งสภาพจิตใจ ของพิชชาพรเริ่มดีขึ้น และมากพอที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง เธอจึงยอม ออกมาจากห้อง บัวตูมมีปากเสียงกับกานดาเรื่องเงิน เพราะจับได้ว่าบัวตูมแอบขโมยเงินของนางอยู่บ่อยครั้ง แต่ยังจับไม่ได้คาหนังคาเขา จนกระทั่งวันหนึ่งกานดาเดินมาเห็นบัวตูมกำลังหยิบเงินที่อยู่ในกระเป๋าของนางพอดี จึงไล่บัวตูมออกจากบ้านทันที บัวตูมได้สมัครเข้าทำงานกับบ้านของเอกวัฒน์ เพื่อนบ้านของนางนั่นเอง แถมยังเอาเรื่องในบ้านของกานดาไปเล่าให้กับทางเจ้านายใหม่ฟัง อรกมลซึ่งเป็นลูกสาวของเอกวัฒน์รู้เรื่องที่เกิดขึ้น จึงมาเยาะเย้ยถากถางพิชชาพรถึงที่บ้าน เพราะเธออิจฉาที่พิชชาพรเป็นที่ชื่นชอบของคนละแวกนั้น และยังให้บัวตูมไปป่าวประกาศเรื่องที่พิชชาพรเอาตัวเข้าแลก เพื่อรักษาบ้านหลังนี้ไว้ด้วย ความชื่นชอบของเพื่อนบ้านที่มีต่อบ้านของกานดาเปลี่ยนไป เสียงซุบซิบ นินทาตามมาอย่างไม่ขาดสาย ทำให้พิชชาพรอับอายและเสียใจเป็นอย่างมาก จึงหมกตัวอยู่แต่ในห้องอีกครั้ง แต่มีบ้านอยู่หลังหนึ่งที่ไม่เคยพูดจาดูถูกเหยียดหยามหรือรังเกียจบ้านของกานดาเลย มีแต่คำพูดที่เปี่ยมไปด้วยกำลังใจ คือบ้านของกวีนายแพทย์หนุ่มอนาคตไกล ที่มีจิตใจดีทั้งบิดาและมารดา และเหตุการณ์ที่ทำให้พิชชาพรต้องเสียใจและโศกเศร้าเป็นอย่างมาก ถึงขนาดไม่กินไม่นอนเอาแต่นั่งร้องไห้ด้วยความเสียใจคือ พิพัฒน์บิดาและกิจจาน้องชาย เกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตระหว่างเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปส่งน้องชายที่หอพักที่อยู่ในมหาวิทยาลัยรัฐบาลชื่อดัง ที่กิจจาสอบเข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ได้สำเร็จ พิชชาพรโศกเศร้าเสียใจอย่างหนัก ดีที่ว่ากวีนักศึกษาแพทย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิด และใช้วิชาแพทย์ที่ร่ำเรียนมา คอยเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำของพิชชาพรจนดีขึ้น และกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง หญิงสาวและกานดาจึงตัดสินใจขายบ้านที่บิดารัก เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในกรุงเทพ จำนวนเงินที่ได้มาจากการขายบ้าน เมื่อรวมกับจำนวนเงินที่พายุให้มา รวมแล้วประมาณสามล้านห้าแสนบาท หากแต่โชคร้ายยังไม่หมดไปเนื่องจากคนที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอย่างพิชชาพรและกานดา ถูกเจ้าของโครงการบ้านจัดสรรกำมะลอ หลอกเงินค่าซื้อขายบ้านไปกว่าสองล้านบาท เสียทั้งเงินแถมไม่ได้บ้านตามที่ต้องการ กวีจึงเดินทางมาหาทั้งสองที่ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ชายหนุ่มพาพิชชาพรและกานดาไปเช่าบ้านหลังเล็กอยู่ ระหว่างที่รอหาซื้อบ้านหลังใหม่ แต่จำนวนเงินที่มีไม่มาก ทำให้ความตั้งใจเดิมที่จะหาบ้านในกรุงเทพฯ ชั้นใน ต้องกลายเป็นแถบชานเมืองแทน และในที่สุดพิชชาพรตกลงใจซื้อบ้านหลังนี้ แม้จะอยู่ไกลหากแต่ร่มรื่นตามที่เธอและกานดาต้องการ โดยมีแขกประจำที่ชื่อกวีมาเยี่ยมเยียนอยู่บ่อยครั้ง เช้าวันใหม่พิชชาพรเตรียมตัวเดินทางไปทำงานตามปกติ หากแต่วันนี้เธอมีผู้มาเยือนคนใหม่ที่ไม่ใช่กวี หากแต่เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ ยืนพิงตัวรถด้วยความสบายใจ เป็นผู้ชายที่ทำให้หัวใจดวงน้อยเริ่มสั่นคลอน “คุณภู” หญิงสาวพูดเหมือนคนละเมอ ไม่คาดคิดว่าเขาจะมายืนอยู่ตรงนี้ “ผมมารับทราย...พอดีเป็นทางผ่าน” ภูริภัทรโกหกคำโต เพราะระยะทางจากบ้านเขาถึงบ้านของหญิงสาวห่างไกลกันมาก หากแต่ความจริงจังที่มีต่อหญิงสาว ทำให้เขาขับรถมารับเธอที่บ้านตามความตั้งใจที่แน่วแน่ตั้งแต่เมื่อคืน “บ้านคุณภูอยู่แถวนี้หรือคะ” เธอถามด้วยความสงสัย “ใช่!!...รีบไปเถอะเดี๋ยวสายนะ” ชายหนุ่มเปิดประตูรถยนต์ทางด้านข้างคนขับ เพื่อไม่ให้เธอปฏิเสธความตั้งใจของเขา “ไปเถอะลูก...เจ้านายทรายอุตส่าห์มารับ ถ้าไม่ไปน่าเกลียดแย่” กานดาที่เดินออกมาส่งหญิงสาวดั่งเช่นทุกวันกระซิบบอกที่ข้างหูของพิชชาพร ร่างบางจึงเดินไปขึ้นรถยนต์อย่างขัดไม่ได้ ภูริภัทรพนมมือไหว้กานดาเป็นการทักทายและเอ่ยลาตามธรรมเนียมปฏิบัติของชาวไทย ซึ่งเขาเองไม่รู้ว่านางเป็นใครและเกี่ยวข้องอะไรกับพิชชาพร แต่ดูท่าทางที่พิชชาพรเคารพและเชื่อฟังคำพูดของกานดา ทำให้เขารู้ว่าสตรีวัยกลางคนที่เขาพนมมือไหว้ ต้องเป็นบุคคลสำคัญของหญิงสาวแน่นอน “ผู้หญิงคนที่ออกมาส่งทรายเป็นใครเหรอ” ภูริภัทรถามเมื่อเข้ามานั่งประจำที่คนขับแล้ว “น้าดาค่ะ เป็นแม่เลี้ยงของทรายเอง” “เมื่อกี้ก็ลืมไปสวัสดีคุณพ่อของทราย จะเสียมารยาทหรือเปล่าก็ไม่รู้” คำพูดที่เป็นเชิงถามความคิดเห็น ทำให้ดวงตาหวานใสคลอด้วยหยาดน้ำตาเมื่อนึกถึงบิดา ภูริภัทรหันมาเห็นใบหน้าของพิชชาพรที่หยาดน้ำตาเกลือกกลิ้งอยู่ที่ ใบหน้าพอดี เขาจึงจอดรถริมข้างทาง และหันลำตัวมาหาเธอ “เป็นอะไรทราย...เป็นอะไร...บอกผมสิ” ชายหนุ่มหยิบผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงมาซับหยาดน้ำตาที่ไหลรินลงมาไม่ขาดสาย พร้อมกับเสียงสะอื้นที่ดังไปทั่วรถ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD