Excuse Me คุณครับมารักกันไหม? 9

2594 Words
Excuse Me คุณครับมารักกันไหม? 9 “ตอนเย็นพี่เข้ามาหาผมด้วยนะครับ ไปรับแฟนด้วยกัน” “...” “นะครับ” “ได้เดี๋ยวเข้ามารับ” “ขอบคุณครับ ตั้งใจทำงานนะครับ” น้องกราฟรอกระทั่งฉันขึ้นไปนั่งบนรถและรอปิดประตูรถให้ มองจากกระจกหลังน้องยืนรอกระทั่งฉันเลี้ยวรถออกจากสตูดิโอถึงได้ยอมเดินกลับเข้าที่ทำงาน ตลอดการทำงานช่วงเช้าในหัวฉันเอาแต่ขบคิดสิ่งที่ได้ยินทั้งจากพี่ลิลลี่แม่บ้านตัวเอง จากคุณครูที่โรงเรียนแฟน และตอนนี้ก็เริ่มที่จะหันกลับมามองสิ่งที่คนอื่นๆ ทักแล้วเช่นเดียวกัน ที่บอกว่าคุ้นตากราฟและเกรย์ฉันก็เริ่มกลับมาสังเกตแล้วว่าคุ้นตาเพราะเคยเจอหรือพวกเขาหน้าเหมือนลูกชายตัวเอง “น้องฟินเค้กช็อกโกแลตหมดแล้วนะ” “ค่ะพี่บุษ เดี๋ยวหนูทำเลย มีอย่างอื่นหมดด้วยนะ” “บราวนี่ก็ใกล้หมดแล้วค่ะ” “เดี๋ยวทำทีเดียวเลยค่ะ” “ได้ค่ะ” ฉันก็บของที่โต๊ะทำงานจากนั้นก็เดินออกจากห้องทำงานไปที่ห้องอบขนม ดีที่ว่าเรามีแม่ครัวอยู่แล้วเลยไม่ได้วิ่งวุ่นเข้าออกในห้องครัวอีก นอกเสียจากว่าลูกค้าเยอะหรือออเดอร์เยอะ ๆ จนป้าทำไม่ทันนั่นแหละฉันถึงจะได้เข้าไปช่วยในห้องครัวบ้าง “ของจะหมดอีกเหรอเนี่ย” มองดูอุปกรณ์ทำขนมก็ต้องพึมพำกับตัวเองเสียงเบา กลิ่นหอมเนยลอยคลุ้งทั่วห้องอบ ฉันชอบกลิ่นแบบนี้ที่สุดเลยล่ะมันรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก จัดการอบเค้กเพื่อรอแต่งหน้าฉันก็จัดการเอาคุกกี้ที่อบเสร็จแล้วมาพักให้เย็นแล้วจัดใส่กล่องเตรียมวางหน้าร้านส่วนที่เหลือก็แยกออกมาให้น้องที่ร้านได้กิน น้องบางคนเข้ามาทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่ตั้งแต่เรียนปีหนึ่งก็มีตอนนี้ปีสองปีสามก็ยังอยู่ด้วยกัน นั่นถึงทำให้ฉันรักน้อง ๆ เพราะเราทำงานมาด้วยกันนานพอสมควรยังไงล่ะ เที่ยงครึ่งฉันที่เพิ่งทำขนมเสร็จเดินออกจากห้องอบพร้อมกับเค้กปอนด์ใหม่ ทยอยเอาเค้กออกมาวางพักที่หลังตู้โชว์เสร็จก็เดินกลับไปยกถาดคุกกี้กับบราวนี่มาไว้เช่นเดียวกัน ฉันมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำขนมยิ่งมีลูกค้าที่ชอบขนมจากทางร้านฉันยิ่งมีความสุขที่จะทำ “น้องฟินคะ คุณวรามารอแล้วนะคะ รอที่ห้องทำงานน้องฟิน” “อ้อ ค่ะพี่” ฉันเดินไปล้างมือก่อนจะเดินกลับเข้ามาที่ห้องทำงานที่มีเพื่อนนั่งรออยู่แล้วมีเพียงวราที่มาส่วนสิระที่ทำงานอยู่ไกลมาไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราก็ได้ไปเที่ยวด้วยกันแล้วล่ะ “รอนานไหมอบขนมอยู่น่ะ” เดินเข้าห้องก็เอ่ยทักเพื่อนที่นั่งรอที่โซฟาทันที ฉันเดินเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับวราพร้อมกับบ่นให้ตัวเองเบา ๆ “รู้สึกแก่เลยอะ ปวดหลัง” “แกปวดตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วฟิน” วราหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยินฉันบ่น “ฉันสั่งกับข้าวไปแล้วรอพนักงานเอามาให้ ส่วนแกมาคุยกับฉันเดี๋ยวนี้แกรู้ไหมช่วงเช้าฉันทำงานไม่รู้เรื่องเลยให้ตายสิ” วรบ่นยาว ๆ ราวกับว่าสิ่งที่เก็บไว้ภายในใจตอนนี้ไม่สามารถเก็บไว้ได้อีกต่อไปแล้ว “ผู้ชายคนเมื่อเช้าเป็นใคร” จู่ ๆ วราก็พุ่งคำถามเข้าใส่ทันทีโดยไม่ให้ได้ตั้งตัวกันเลยทีเดียว “จะพูดยังไงดี เจอครั้งแรกเขามากินข้าวที่ร้าน แล้วจากนั้นก็สั่งมื้อเที่ยงกับเครื่องดื่มให้ไปส่งที่ทำงานเขาบ่อย ๆ จากนั้นก็มารู้ว่าบ้านเขาอยู่ห่างจากบ้านฉันแค่หนึ่งหลัง” “แล้วทำไมเขาไปส่งหลานฉันได้” “น้องกับแฝดน้องชอบแฟนมากเลยนะวรา ทั้งซื้อของเล่นมาให้ ซื้อขนมมาฝาก แล้วเมื่อวานเป็นครั้งแรกที่เขาไปรับแฟนเพราะเราปวดท้อง เลยวานให้เขาไปรับแฟนแทน” “ทำไมเขาดูเข้าหาแฟนแบบนั้นกัน” วราตั้งแต่ข้อสังเกต ฉันเองก็คิดตามสิ่งที่เพื่อนบอก “เราก็ไม่รู้ แต่เขาก็ไม่ได้ทำให้อะไรให้เราไม่สบายใจนะ” “แล้วสังเกตไหมว่าเค้าโครงเขากับแฟนเหมือนกันมากจนน่าตกใจ” นี่เป็นอีกเรื่องที่ฉันเองก็ยังไม่เข้าใจ เพราะไม่เคยสังเกตมาก่อนเลย ถ้าบอกไปเพื่อนจะด่าไหมนะ “เราไม่ได้สังเกตเลย...” สุดท้ายก็ตอบเพื่อนกลับไปเสียงอุบอิบ เพื่อนมองฉันตาโตคงไม่คิดว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้ “ฟิน! แกไม่สังเกตสักนิดเลยเหรอว่าแฟนกับเขาเหมือนกันมากขนาดที่รอยยิ้มยังเหมือนเลย ครูที่เห็นครั้งแรกคิดว่าเป็นพ่อแฟนไปแล้ว” “ขอโทษเราไม่ได้สังเกตหน้าตาเขาไง เราดูแค่ว่าเขาจะมาทำอะไรลูกเราหรือเปล่า” จริง ๆ นะฉันดูแค่นั้นจริง ๆ ไม่ได้ดูอย่างอื่นเพิ่มเติมเลย “เฮ้อ จะเป็นลม” วราเอนหลังพิงโซฟาหยิบยาดมขึ้นมาจ่อจมูกตัวเอง อยากจะขำกับท่าทางของเพื่อนนะแต่ถ้าขำออกไปจริง ๆ คงโดนเพื่อนงอนอีกแน่ ๆ ฉันที่มีความผิดอยู่จึงนั่งอยู่เงียบ ๆ แทน “อ้อ อีกอย่างทำไมแฟนถึงเรียกเขาว่าป๊าล่ะ” “เราไม่รู้ว่าไปคุยอะไรกัน แต่เราบอกแล้วว่าไม่ให้แฟนเรียกเขาว่าป๊า แต่น้องกลับบอกว่าเรียกได้ให้เรียกว่าป๊าได้เลย” อันนี้ฉันฟ้องเพื่อนล่ะ ลูกชายไม่ฟังฉันเลย ทันทีที่ได้ยินว่าเขาให้เรียกป๊าได้เจ้าตัวเล็กของฉันก็ดีใจใหญ่จนฉันไม่กล้าจะห้ามลูกอีก “มันน่าสงสัยมากเลยนะ นานแค่ไหนที่รู้จักกับเขาแล้วเขาเข้ามายุ่งกับหลานกับแก” “เกือบสองเดือนได้แล้วนะ” “เอาละ ๆ คิดแล้วปวดหัว กินข้าวกันกว่าดีกว่า” แม้ปากจะบอกว่าพอแล้วไม่คิดแล้ว แต่สายตาของวรากลับเหมือนกำลังกรุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ภายในใจ “เอาขนมไปกินด้วยนะเพิ่งอบเสร็จใหม่ ๆ เลย” “อื้อ เดี๋ยวจะสั่งเครื่องดื่มด้วย” “กินเยอะ ๆ” ฉันบอกเพื่อนจากนั้นเราก็นั่งกินข้าวด้วยกันพร้อมกับคุยเรื่องทริปของเราไปด้วย แน่นอนว่าที่พักฉันจองไปแล้วรวมถึงการเช่าเรือยอชต์และพนักงานบริการบนเรือไว้แล้วหมายถึงแม่ครัวกับผู้ช่วยนั่นแหละ พี่ชายฉันอยากลงเรือไปพักผ่อนชิล ๆ เพราะถ้าอยู่บนฝั่งหากมีคนตามเจอแน่นอนว่าความเป็นส่วนตัวหายวับไปทันทีเลยล่ะ “อ้อ เดี๋ยวฉันต้องบินขึ้นไปเชียงใหม่ อยากได้อะไรไหม” ระหว่างที่เดินออกมาส่งวราที่หน้าร้านเพื่อนก็เอ่ยบอกเมื่อนึกขึ้นได้ “ไส้อั่วกับแคบหมู” “ได้ จัดให้ เอาละกลับแล้วนะมีอะไรโทรมาเลย แล้วก็เริ่มสังเกตได้แล้ว ไม่ก็ถามออกไปตรง ๆ เลยเชื่อฉัน” “อื้อ ถ้ายังไงจะบอกอีกที” บอกเพื่อนหวังให้คลายความกังวลใจลงไปบ้าง “ไปแล้วนะ” ช่วงบ่ายฉันนั่งทำบิลของที่ร้านรวมถึงสั่งของเข้าร้านเพิ่มเติม ตั้งใจไว้ว่าหากไปรับแฟนเสร็จแล้วฉันจะแวะเข้าไปเอาของที่ร้านอุปกรณ์ทำขนมจากนั้นก็ค่อยกลับเข้ามาที่ร้าน แต่ติดตรงที่ว่าจะมีคนไปด้วยนี่สิถ้าเข้าไปเอาของเลยเขาจะไม่สะดวกหรือเปล่า แต่เอาไว้ค่อยถามเขาอีกทีแล้วกันถ้าไม่สะดวกฉันจะกลับมาส่งเขาที่สตูดิโอจากนั้นค่อยกลับออกไปเอาของก็ยังทัน เกือบบ่ายสามฉันบอกพี่บุษว่าจะเข้าไปรับลูกและไปเอาของที่สั่งไว้ จากนั้นก็ขับรถมาที่สตูดิโอของน้องกราฟที่บอกว่าอยากไปรับแฟนด้วยกัน จอดรถที่หน้าสตูดิโอแล้วโทรเรียกคนที่บอกว่าอยากไปด้วยให้ออกมา ฉันไม่อยากเข้าไปฉันรู้สึกแปลก ๆ กับสายตาของคนในนั้นที่ชอบมองมาอย่างซุกซนและรอยยิ้มแปลก ๆ รอไม่นานร่างสูง ๆ ของกราฟก็เดินออกจากสตูสิโอ น้องรีบเดินเข้ามาใกล้รถก่อนจะเดินวนมาฝั่งคนขับ น้องเคาะกระจกเบา ๆ สองสามทีฉันจึงเลื่อนกระจกลง “เดี๋ยวผมขับให้ครับ” น้องรีบบอก ฉันพยักหน้าก่อนจะเลื่อนกระจกขึ้นและเปิดประตูลงจากรถ กราฟขึ้นมานั่งฝั่งคนขับส่วนฉันย้ายมานั่งเบาะด้านหน้าข้างคนขับแทน เวลาที่จะไปไหนมาไหนกับกราฟเขาจะไม่ยอมให้ฉันขับรถเองเลยเพราะเขาอาสาจะขับให้เสียทุกครั้งไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ แต่ทุกครั้งที่น้องบอกจะขับให้ฉันยอมเสียทุกครั้งเช่นเดียวกัน “รอนานไหมครับ ผมมัวแต่คุยกับลูกค้าอยู่” “ไม่นาน แต่ว่ารับแฟนเสร็จพี่ต้องเข้าไปเอาของที่ร้าน เราอยากกลับมาที่สตูฯ ก่อนไหม” ฉันรีบถามน้องอย่างเกรงใจ “ผมว่างแล้วครับ วันนี้ไม่มีงานแล้ว จัดการส่วนของตัวเองหมดแล้ว” “งั้น เสร็จจากรับแฟนพี่ไปซื้อของต่อนะ” “ได้ครับ แต่ขอแวะซื้อกาแฟด้วยได้ไหมครับ ผมยังไม่ได้กินกาแฟเลยวันนี้” น้องบอกพร้อมกับตีไฟเลี้ยวเข้าไปในปั๊มน้ำมันก่อนถึงโรงเรียนแฟน “อ้าว ตอนเที่ยงยังไม่ได้กินเหรอ มีมาส่งอยู่นะ” “เพื่อนมันแกล้งผมไม่ยอมสั่งมาให้ ผมเตะมันไปแล้วล่ะ” “...” เล่นกันรุนแรงจังมีเตะกันด้วย แต่ก็อย่างว่านั่นแหละผู้ชายเล่นกันก็คงจะแบบนี้ “พี่เอาอะไรไหม?” ระหว่างที่จอดรถและน้องเตรียมลงไปซื้อกาแฟ กราฟไม่ลืมหันกลับมามองและถามฉันด้วยความใส่ใจ “เอานมสดเย็นก็ได้ เผื่อให้แฟนด้วย” “ได้ครับ รอแป๊บหนึ่งนะ” กราฟเดินลงจากรถเข้าไปในร้านกาแฟส่วนฉันหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมากดเชื่อมกับบลูทูธรถเพื่อเปิดเพลง ปกติเวลาขับรถฉันไม่เชื่อมเปิดเพลงเพราะกลัวเวลาลูกชวนคุยหรือเล่าอะไรแล้วจะไม่ได้ยินแต่ตอนนี้นึกครึ้มอะไรไม่รู้ถึงได้เปิดเพลงจากแพลตฟอร์มที่แสดงมิวสิควีดีโอด้วย เพลงเล่นจบไปหนึ่งเพลงกราฟก็เดินออกจากร้านพร้อมกับแก้วเครื่องดื่มสองแก้วและถุงขนม “นมสดครับ” “ขอบคุณค่ะเท่าไหร่...” “ไม่ครับ ส่วนนี่แฟนน่าจะกินได้ผมอ่านส่วนผสมแล้วเป็นธัญพืช” กราฟไม่ได้สนใจฉันเท่าไหร่กับสิ่งที่ถามราคาเครื่องดื่มที่จะจ่ายคืนให้ “ไปรับแฟนกันครับ” กราฟบอกหลังจากดื่มกาแฟจากแก้วไปสองสามอึก ฉันปิดเพลงและเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าไว้ดังเดิม ใช้เวลาสักพักก็มาถึงโรงเรียนของแฟนที่ตอนนี้มีผู้ปกครองหลายคนมารอรับลูกและหลานของตัวเอง “ฟินว่าแฟนจะดีใจไหมที่ผมมา” “อืม ต้องรอดูตอนเจอเองว่าดีใจไหม” ฉันตอบ ถึงแม้จะมั่นใจว่าลูกดีใจมาก ๆ ก็ตาม ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วที่ลูกฉันตื่นเต้นดีใจที่กราฟจะมาส่งมารับกลับ “อ้าวคุณพ่อคุณแม่น้องแฟน รอสักครู่นะคะ” เพราะคุณครูจำหน้าได้จึงไม่ต้องแสดงบัตรผู้ปกครอง ฉันชวนกราฟขยับออกจากตรงหน้าเพื่อหลักทางให้ผู้ปกครองคนอื่นมารับลูกหลานตัวเองได้สะดวก “ถ่ายรูปตอนที่แฟนออกมาได้ไหม” กราฟถามฉันพร้อมกับขออนุญาตไปในประโยคเดียวกัน ฉันพยักหน้ารับ แค่เอ็นดูลูกฉันมาก ๆ ฉันก็ขอบคุณเขามากแล้วล่ะแต่เอ๊ะ ทำไมถึงต้องรู้สึกดีใจที่เขาเอ็นดูลูกฉันด้วยล่ะ “มาแล้ว ๆ” กราฟบอกเสียงเบามือก็ถือโทรศัพท์ซูมแฟนที่กำลังเดินออกมาจากห้อง เจ้าตัวเล็กระโดดโหยง ๆ เหยง ๆ เก็บอาการดีใจไว้ไม่อยู่ เมื่อแฟนเดินมาหยุดข้าง ๆ คุณครูที่ยืนอยู่ด้านหน้าเจ้าตัวเล็กก็มองซ้ายขวาคล้ายกับกำลังมองหาฉันและคนที่เขาอยากให้มารับในตอนเลิกเรียน แต่แล้วใบหน้าเล็กก็ยู่ลงเมื่อมองหาฉันและกราฟไม่เจอ “โดนหลอกให้ดีใจเหรอเนี่ย” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของแฟน ฉันจำได้ว่าคน ๆ นี้เป็นพี่เลี้ยงที่ห้องของแฟนไม่ใช่คุณครูประจำชั้น “โม้เสียดิบดีว่ามีพ่อมารับ ไหนละพ่อเธอน่ะ” ฉันตวัดสายตามองหน้าจอโทรศัพท์ที่กราฟถืออยู่แน่นอนว่ากราฟยังคงบันทึกวิดีโออยู่และเสียงฉันมั่นใจว่าได้ยินแน่ ๆ เพราะเธอคนนั้นไม่ได้พูดเสียงเบามากนักถึงแม้จะมีคุณครูอยู่ด้วยและมองเธอด้วยสายตาดุ ๆ “พี่แฟนมีพ่อนะ!” แฟนเถียงกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ “ไหนล่ะพ่อเธอ ไม่มีนี่นา เธอมันก็แค่เด็กที่ไม่มีพ่อ” กราฟกดหยุดบันทึกวิดีโอเก็บโทรศัพท์และเดินตรงไปยังจุดรอรับเด็กด้วยใบหน้านิ่ง ๆ ฉันรีบเดินตามไปเช่นเดียวกัน ผู้ปกครองที่รอลูกอยู่ต่างก็หันไปมองพี่เลี้ยงคนนั้นและแฟนด้วยสายตาที่แตกต่างกันไป “ป๊า!!!” ทันทีที่มองเห็นกราฟ แฟนรีบตะโกนเรียกสะบัดมือออกจากพี่เลี้ยงอีกคนแล้ววิ่งเข้ามาหากราฟทันที เมื่อได้ยินแฟนเรียกกราฟว่าป๊าผู้ปกครองหลายคนที่ฉันคุ้นหน้าก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ ส่วนฉันตอนนี้ยิ้มไม่ออกเดินเข้าไปหยุดข้าง ๆ กราฟที่อุ้มแฟนไว้อย่างต้องการปกป้อง สองแขนเล็กโอบรอบคอกราฟอย่างต้องการที่พึ่ง ส่วนฉันจ้องมองพี่เลี้ยงคนนั้นอย่างไม่คิดจะปิดบังความโกรธภายในใจ “เข้ามาเป็นพี่เลี้ยงได้ยังไง?” “เอ่อ...” “มีสิทธิ์อะไรมาว่าเด็กแบบนั้น ไม่ว่าใครคุณก็ไม่ควรจะมาพูดแบบนี้ใส่ โตแล้วคิดวิเคราะห์หน่อย เด็กทุกคนมีพ่อมีแม่ เขาไม่มารับใช่ว่าเขาไม่มีพ่อแม่” “ขอโทษค่ะ” “ไม่ได้ต้องการคำขอโทษ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกใช่ไหม?” ฉันถามกลับอย่างไม่ยอม “ผู้ปกครองคะ ใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ” คุณครูประจำเวรตอนเย็นเอ่ยเตือนสติฉัน “เราเย็นไม่ได้ค่ะ ทุกครั้งที่กลับบ้านลูกเราจะถามตลอดว่าตัวเขาไม่มีพ่อเหรอ พอถามกลับถึงได้รู้ว่าทั้งครูและพี่เลี้ยงบอกว่าเขาไม่มีพ่อ” “ผู้ปกครอง...” “ถามหน่อยถ้าลูกเราไม่มีพ่อ ลูกเราเกิดจากยอดมะม่วงเหรอ? คิดหน่อย ปากมีไว้ให้พูดก็จริงค่ะแต่สมองก็มีไว้ให้คิดเหมือนกัน เรามั่นใจว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกและก่อนหน้านี้เราทนมาตลอด”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD