Excuse Me คุณครับมารักกันไหม? 2

1741 Words
Excuse Me คุณครับมารักกันไหม? 2 2 ปีต่อมา “ม๊า หนูขอกินหนม” เสียงเล็กเอ่ยเรียกคนเป็นแม่อย่างออดอ้อน ฉันหันไปมองลูกชายที่วิ่งเข้ามาในห้องพักด้วยความรู้สึกเอ็นดู ลูกชายฉันชื่อแฟนฉันตั้งชื่อลูกให้คล้องจองกับชื่อตัวเอง “กินขนมอะไรครับ?” เอ่ยถามลูกชาย มือก็วางปากกาลงบนโต๊ะ ใส่ใจสิ่งที่ลูกชายอยากจะพูด “หนม ดุ๊กกี้” “คุกกี้ครับ ไหนเรียกใหม่” “กุ๊กกี้” แฟนยังพยายามเอ่ยเรียกตามสิ่งที่เพิ่งสอน “คุกกี้” “ไม่เอาแล้วเหนื่อย” ลูกชายปฏิเสธที่จะพูด แต่เดินเข้ามากอดแขนอ้อนแทน “ถึงเวลากินข้าวแล้วนอนกลางวันแล้วนะครับ” เอ่ยบอกลูกมือก็ยกขึ้นเช็ดเหงื่อตามกรอบหน้าออกให้ “กิงกุ้ง” แม้จะสองปีแล้วแต่ลูกชายก็ยังพูดยังไม่ชัดเท่าที่ควรแต่ก็ยังถือว่าสื่อสารได้ “ได้ครับ กินกุ้งนะเดี๋ยวมะม๊าให้ป้าแม่ครัวทำให้นะครับ” “ครับ” ร้านอาหารกึ่งคาเฟ่เป็นร้านที่ฉันสร้างขึ้นมาตั้งแต่เริ่มเรียนมหาวิทยาลัย ถามถึงครอบครัวตอนนี้ทั้งญาติทั้งพ่อแม่ฉันเหลือแค่พี่เทลคนเดียว พ่อแม่เราทั้งสองเสียชีวิตไปแล้วเสียเพราะอุบัติเหตุหลังจากไปทำบุญ ฉันเขวไปหลายเดือนเลยเช่นเดียวกันกว่าจะทำใจและกลับมาตั้งหลักได้แบบนี้ ตอนนี้ผ่านมาหลายปีแล้วก็รู้สึกดีขึ้นบ้างแต่ความคิดถึงไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย ที่นี่เป็นร้านอาหารส่วนบ้านพักจริงๆ ฉันอยู่ที่หมูบ้านxx ที่เพิ่งเก็บเงินซื้อได้เมื่อสองปีก่อน ที่ร้านถือว่าทำรายได้ได้ดีเลย เพราะที่ร้านมีส่งเดลิเวอรี่ให้กับลูกค้าที่อยู่ห่างจากร้านไม่เกินห้ากิโลเมตรด้วยนะ “ป้าคะ ช่วยทำข้าวกุ้งกระเทียมให้หน่อยนะคะ” “ได้ค่ะคุณฟิน” “พี่ฟิน มีลูกค้าจองเค้ก” “เดี๋ยวพี่เดินไป” ที่ร้านอาหารคาวฉันจ้างแม่ครัวส่วนของหวานฉันทำเอง ก็ทำจำพวกเค้กขนมเบเกอรี่เพื่อวางขายที่หน้าร้าน ผลตอบรับนับว่าดีมากเช่นเดียวกัน ใช้เวลาคุยกับลูกค้าไม่นานก็กลับเข้ามาในห้องทำงานตัวเองหลังเคาน์เตอร์ที่มีแฟนนั่งแกว่งขาไปมารออยู่บนโซฟา เมื่อได้ข้าวฉันก็นั่งเฝ้าลูกกินข้าว ดีที่ว่าลูกชายไม่ค่อยงอแงเหมือนเด็กวัยเดียวกัน ติดจะขี้อ้อนเท่านั้น ฉันให้ลูกเรียนที่โรงเรียนของเพื่อนแต่วันนี้ตรงกับวันหยุดเลยพามาที่ร้านด้วย วิ่งซนช่วยพี่ๆ ที่ร้านทำงานไม่หยุด “ม๊าครับ พี่แฟนง่วงแล้ว” หลังจากกินข้าวเสร็จแฟนที่นั่งนิ่งๆ เงยหน้าบอกฉันอย่างจำยอม ฉันรู้ดีว่าลูกอยากจะเล่นต่อแต่เพราะฝืนความง่วงไม่ไหวจำต้องเอ่ยบอกมาแบบนี้ “ครับ มาหาม๊ามา” อ้าแขนรอคนตัวเล็กวิ่งเข้ามากอดจากนั้นก็อุ้มลูกกลับไปยังโซฟาที่ปรับเป็นที่นอน มีผ้าห่มนุ่มๆ ปูรองไว้รวมถึงหมอนใบเล็กและผ้าเน่าของเจ้าตัววางอยู่ กล่อมลูกให้นอนกลางวันได้สักพักใหญ่ผู้จัดการร้านก็เดินเข้ามาพร้อมกับบิลที่ออกจากเคาน์เตอร์ร้าน “วางไว้ในกล่องนะคะ” พี่บุษผู้จัดการร้านเอ่ยบอกฉันพร้อมกับรอยยิ้ม ฉันพยักหน้ารับเพราะกลัวว่าลูกชายจะตื่นเลยใช้นิ้วชี้ไปยังแฟ้มบนโต๊ะที่ทำเสร็จแล้ว “จัดการเลยนะคะ” พี่บุษถามอีกครั้ง ฉันพยักหน้าตอบกลับไป พี่บุษยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องทำงาน กระทั่งมั่นใจว่าลูกหลับสนิทฉันถึงได้เดินกลับมานั่งทำงานต่อ ตอนนี้ทั้งชีวิตฉันมีเพียงแฟนและพี่เทล และเพื่อนรักฉันอีกสองคน ถามว่าพ่อน้องแฟนอยู่ไหน ฉันคงทำได้แค่ยิ้มและเงียบแทนการตอบคำถามนั้น ฉันเองก็ไม่รู้ว่าพ่อแฟนเป็นใคร มันอาจจะฟังดูตลกถ้าถามว่าทำไมไม่เอาเด็กออกตั้งแต่รู้ตัวทั้งที่ก็ยังไม่รู้ตัวว่าพ่อของเด็กคือใคร ที่ฉันไม่เอาเด็กออกเพราะเด็กเขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลยทำไมต้องทำลายชีวิตเด็กคนหนึ่งเพียงเพราะความผิดพลาดด้วยล่ะจริงไหม ฉันเลี้ยงได้และตอนนี้ฉันเองก็รักเขา พร้อมดูแลเขาในทุกๆ เรื่องเพราะเขาเป็นลูกของฉัน เกือบสองทุ่มฉันพาลูกชายออกจากร้านเพื่อเดินทางกลับบ้าน ที่จริงร้านนี้ปิดสามทุ่มครึ่ง ครัวและบาร์เครื่องดื่มปิดตอนสามทุ่ม เพราะกลัวลูกจะเพลียเลยตั้งใจจะพาลูกกลับบ้านไปกินมื้อเย็นและกินข้าวที่บ้านแทนการกินข้าวที่ร้าน บ้านจัดสรรสองชั้นเป็นบ้านที่ฉันตัดสินใจซื้อหลังจากย้ายออกจากคอนโดเมื่อรู้ตัวว่ากำลังมีเจ้าตัวเล็กในท้องโดยได้รับการสนับสนุนบางส่วนจากพี่เทลที่ชายที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ หากพี่เทลว่างจากงานและกลับมาพักผ่อนที่ไทยก็จะมาพักที่นี่เช่นเดียวกันแต่ก็น้อยครั้งมากเพราะแฟนคลับรุมไม่ยอมปล่อยให้พี่เทลมีเวลาส่วนตัวเลย ดังนั้นทางสังกัดเลยต้องให้พักที่โรงแรมและใช้การ์ดดูแลความเป็นส่วนตัวบริเวณห้องพัก “คุณฟินกลับมาแล้วเหรอคะ" แม่บ้านต่างชาติเอ่ยทักทายเมื่อกำลังช่วยปิดประตูรั้วบ้าน “กลับมาแล้วค่ะ พี่ลิลลี่กินข้าวหรือยัง” ฉันถามแม่บ้านกลับพร้อมกับเปิดประตูรถและอุ้มแฟนจากคาร์ซิท “ยังค่ะ รอคุณฟิน” “น่ารักจังเลย งั้นฝากพี่ลิลลี่อุ่นกับข้าวหน่อยนะคะเดี๋ยวฟินลงมากินกับลูกค่ะ” “ได้ค่ะ” พี่ลิลลี่ภาษาไทยเริ่มชัดบ้างแล้วนะ ระหว่างรอพี่ลิลลี่อุ่นกับข้าวฉันก็พาแฟนเข้าบ้าน ไปล้างมือเพื่อเตรียมกินข้าวเย็นด้วยกัน “ม๊าครับ” เจ้าตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยเรียกเสียงอ้อน มือถือส้อมพลาสติกจิ้มกุ้งตัวโตเอาไว้ “ครับลูก” ขานรับพร้อมกับมองลูกชายด้วยรอยยิ้ม “ป้อนครับ” พูดจบ มือข้างที่ถือส้อมก็ยกขึ้นส่งกุ้งตัวโตของโปรดตัวเองมาป้อนถึงปาก ฉันอ้าปากรับพร้อมกับทำท่าทางเอร็ดอร่อย “หือ อร่อยมากๆ เลย ขอบคุณนะ” “เย้! ม๊ากินเยอะๆ นะ” “ครับ พี่แฟนเองก็กินเยอะๆ นะลูก” “ครับ!” ใบหน้ามีความสุขของลูกชายทำให้ฉันยิ้มตาม ระหว่างกินข้าวกันอยู่นั้นโทรศัพท์ฉันก็มีเสียงเรียกเข้าเป็นไลน์ของพี่เทลที่วิดีโอคอลมาในเวลานี้ “ลุงเทลโทรมา” หันหน้ากลับมาบอกลูกชาย “เย้! ลุงเทล” “ม๊ารับสายละนะ” บอกลูกมือก็รับสายที่วิดีโอคอลเข้ามา จากนั้นก็ยกโทรศัพท์ไปวางพิงกับแก้วน้ำขยับให้กล้องจับภาพลูกชายไว้ (ทำอะไรกันอยู่สองแม่ลูก) ปลายสายเอ่ยทักทายพร้อมกับจัดจานกับข้าวมาตรงหน้าเช่นเดียวกัน “กินข้าวกันอยู่ค่ะ พี่ทำอะไร” (กำลังกินข้าวเหมือนกัน เพิ่งกลับถึงบ้าน ทางนั้นมีอะไรกินบ้าง) “มีอะไรบ้างลูก ลุงเทลถาม” “กุ้งครับ!” ยืนยันคำพูดด้วยการชูกุ้งให้คนเป็นลุงดู (ลุงไม่มีกุ้งเลย พรุ่งนี้ลุงจะไปกินกุ้งเหมือนน้องแฟนดีไหม) “ดีครับ! กินกุ้งอร่อย” (ฮ่าๆๆ ชอบจริงๆ สินะกุ้งเนี่ย เออนี่ฟิน พี่เคลียร์คิวกลับบ้านแล้วนะวันครบรอบครอบครัวเรา แอบไปเงียบๆ) “ไหวนะ กลัวพี่โดนรุม” (ไหว เราก็ไปวัดเช้ามืดทำบุญแล้วก็กลับมาบ้าน อ้อ ผู้จัดการต้องไปด้วยนะพักบ้านเราเหมือนกันสองคนเดี๋ยวพาไปทะเลด้วยเลย) นับว่าดีมากๆ ที่บ้านเรามีหลายห้องนอน พี่ลิลลี่พักที่ห้องด้านหลังตอนที่มาดูบ้านพี่เทลให้ทำห้องพักคนงานไว้สองห้องพอดี ส่วนบ้านใหญ่มีห้องนอนด้านล่างหนึ่งห้อง ห้องนอนด้านบนอีกสามห้อง ห้องน้ำมีในห้องนอนทุกห้องและด้านล่างหนึ่งห้อง บ้านหลังใหญ่แบบนี้ควรจะจ้างแม่บ้านแล้วจริงๆ ใช่ไหมล่ะเพราะฉันดูแลคนเดียวไม่ไหวจริงๆ “ได้ค่ะ ที่พักดูหรือยังให้จองเลยไหม” (จองเลย เผื่อผู้จัดการพี่ด้วยนะ) “ได้ค่ะ วันเดิมที่เราคุยกันใช่ไหม” (ใช่เลย แต่พี่อยากกินกุ้งอะทำไงดี) “อดทนก่อนกินเยอะแก้มออกนะพรุ่งนี้น่ะ” (เฮ้อ ก็ได้ แต่กลับไทยพี่จะกินทุกอย่างเลยคอยดู) “ลุงเทล” (ครับ ว่ายังไง) พี่เทลขานรับเมื่อหลานเรียก “คิดถึงครับ” (คิดถึงเหมือนกัน อีกหนึ่งเดือนลุงเทลจะไปหานะ) “ครับ รอครับ” (ครับ เอาละก่อนที่พี่จะร้องไห้คิดถึงหลานพี่วางสายก่อน รีบนอนดูแลตัวเองกับหลานดีๆ นะ) คนเป็นลุงทำหน้าตาท่าทางน่าสงสาร เมื่อได้ยินหลานบอกว่าคิดถึง อยากจะหัวเราะนะแต่กลัวพี่ชายจะงอนนี่สิ “ค่ะพี่” (ฝันดีครับ) “ฝันดีค่ะ พี่แฟนบอกฝันดีลุงเทลหน่อยลูก” “ฝันดีครับลุง” (ฝันดีครับ) หลังจากกินข้าวเสร็จก็พาลูกขึ้นไปบนชั้นสองเพื่ออาบน้ำเตรียมเข้านอนตอนนี้สามทุ่มครึ่งเห็นจะได้และลูกชายฉันเองก็มีท่าทีง่วงงุนอยู่มาก พออาบน้ำแปรงฟันเสร็จก็เดินโซซัดโซเซขึ้นเตียงนอนดึงผ้าห่มจนถึงคออย่างน่ารัก “ม๊าครับ ฝันดีครับ” “ฝันดีค่ะ” บอกฝันดีพร้อมกับก้มหน้าลงต่ำกดริมฝีปากลงบนหน้าผากเล็ก ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าแฟนจะสงสัยบ้างไหมเรื่องพ่อของเขา ถ้าหากจู่ๆ ลูกถามถึงพ่อเขา ฉันเองก็ไม่รู้จะตอบยังไงให้เจ้าตัวเล็กเข้าใจเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ฉันกังวลแต่เหมือนกับลูกจะไม่ได้สนใจมากนักเพราะไม่มีคำว่าพ่อหลุดออกมาเลย ถามแม่บ้างก็ได้นะลูก แม่อยากบอกหนูให้เข้าใจเหมือนกัน
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD