ขณะเดียวกันที่ลินินมาทำงานด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยซึ่งอาจจะเกิดจากการนอนพักผ่อนไม่เพียงพอก็เป็นได้ คดีความของเจ้าของบทเพลงเมื่อคืนดูท่าเธอจะอ่านไม่เสร็จตามกำหนด พรุ่งนี้ก็สามวันแล้ว หญิงสาวคิดว่าถ้าไม่ทันจริง ๆ ก็คงต้องขอความเมตตาจากเขา แต่คนอย่างอัทธากรจะยอมเธอง่าย ๆ ก็คงไม่ใช่ และตอนนี้เจ้าตัวยังนึกไม่ออกว่าควรบอกเขาอย่างไรดี
“เห้อ...เมื่อไรโชคชะตาจะเข้าข้างฉันสักที” ลินินเอ่ยตัดพ้อกับตัวเอง ตั้งแต่เกิดจนโตเธอไม่เคยประสบความสำเร็จอะไรสักอย่าง ทำงานก็ไม่ดีแถมยังจะโดนไล่ออกอยู่รอมร่อ และขณะนั้นเอง
กริ๊ง กริ๊ง~
“อ๊ะ!....บ้าชะมัด” หญิงสาวหันไปต่อว่าโทรศัพท์ของสำนักงานที่อยู่ ๆ ก็กรีดร้องออกมาทำให้เธอสะดุ้งด้วยความตกใจ ลินินพ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะยกโทรศัพท์ขึ้นรับ
“สวัสดีค่ะ...”
[…]
“คุณอัทธ์คะ ฉันกำลังทำงานอยู่นะคะ...” ลินินอยากเดินเข้าไปถามเขาที่ห้องทำงานเสียจริงว่าเป็นอะไรกับเธอ ทำไมถึงโทรมาหาแล้วชอบเงียบ แต่แล้ว
[เมื่อเช้า ทำไมเธอไม่บอกฉันว่าจะกลับ] เขาก็เอ่ยพูดขึ้นหลังจากที่เงียบอยู่นาน
“ฉันนึกว่าโทรศัพท์เครื่องนี้มีไว้คุยเรื่องงานซะอีก...” ลินินเอ่ยพูดประชดประชัน ทว่าพอคนถือสายได้ยินอย่างนั้นก็นึกโมโหขึ้นมา
[แต่ฉันเป็นเจ้านายของเธอ จะโทรไปตอนไหนก็ได้] พอได้ยินอย่างนั้นแล้วลินินก็อยากจะวางโทรศัพท์ใส่เขาเสีย แต่ก็ทำได้เพียงตอบรับอย่างจำยอม
“ค่ะ ขอโทษค่ะ”
[เธอยังไม่เธอตอบฉัน...เรื่องนั้น]
“คุณอัทธ์คะ ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวเกินกว่าที่เราจะคุยกันค่ะ] หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงปกติ เพราะเป็นความจริงที่เธอไม่จำเป็นที่จะต้องบอกเขา แต่แล้วอยู่ ๆ เสียงของเขาก็เงียบไป ก่อนจะตามมาด้วยเสียงตัดสายที่ดังขึ้น
“อะไรของเขา...” หญิงสาวพึมพำออกมาก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ตามเดิมโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นไม่พอใจมากเพียงใด อัทธากรโยนแก้วชาเขียวทิ้งลงถังขยะทั้งสองแก้ว ก่อนที่เขาจะส่ายศีรษะเบา ๆ และกล่าวโทษตัวเองในใจว่าตัวกำลังเป็นอะไร
“บ้าชะมัด...” เขาสบถออกมาก่อนจะหันหน้ากลับมาสนใจงานตรงหน้าอีกครั้ง ขณะเดียวกันที่ลินินไม่เข้าใจเขา ท่าทีของชายหนุ่มนั้นทำให้เธอคิดไปเป็นอย่างอื่นหลายอย่าง แต่พอเขาพูดทีไรมันก็ทำให้เธอรู้สึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก
“เห้อ...รอดไหมเรา” เธอพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะค่อย ๆ เก็บเอกสารให้เข้าที่ อัทธากรกำลังเข้ามาปั่นป่วนในใจจนไม่เป็นอันทำอะไร หญิงสาวไม่อยากคิดอะไรเกี่ยวกับเขาแล้ว...เธอรู้สึกหวั่นไหวกับเขาแบบนี้ไม่ได้
ข่าวไหนจะน่าสนใจเท่าข่าวของไฮโซลูกสาวนักการเมืองชื่อดัง จินนี่อาบน้ำแต่งตัวสวยมาที่ภัตตาคารหรูยามเที่ยงตรง อันที่จริงเธอคิดจะเล่นตัวมาสายเล็กน้อยจะได้น่าสิเน่หา ทว่าพอมาเลทเวลาแล้วชายหนุ่มผู้นั้นก็ยังไม่มาหาเธออยู่ดี
“จิ๊!” ริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีชมพูอ่อนเม้มเข้าหากันหลังจากจิ๊ปากออกมาด้วยความหัวเสีย เธอยกนาฬิกาเรือนหรูขึ้นมาดูเวลา ก่อนจะกดโทรศัพท์เพื่อโทรออกไปหาชายหนุ่มผู้นั้นอีกครั้ง ทว่า
สายตาของเธอก็มองเห็นเขาที่กำลังเดินมาหาเธอเสียก่อน...
อัทธากรในชุดสูทที่ดำสนิท กางเกงสแล็คสีเดียวกันลอยขึ้นเหนือข้อเท้าเล็กน้อยด้วยส่วนสูงที่มากเกินพอดี ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้กรอบแว่นนั้นน่าพิสมัยจนเธอมองไม่ละสายตา
วันนี้ชายหนุ่มเซทผมขึ้นเปิดโครงหน้า และผมทางด้านหลังที่ยาวเลยตีนผมเล็กน้อยยิ่งทำให้เขาดูต่างไปจากครั้งแรกที่เคยเจอ จินนี่วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะอาหาร เธอเชิดคอขึ้นยามเขาเดินมาถึง
“ถึงตอนนี้วิ่งหาฉันจ้าละหวั่นเลยนะคะ พอให้มาหาดี ๆ ไม่มา...” จินนี่ว่าพลางสลับเรียวขาไขว่ห้าง เธอมองใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มตรงหน้าด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง
“คุณต้องการอะไร ไม่พอใจที่ผมไม่เดตต่อด้วย? ” ชายหนุ่มไม่รีรอที่จะถามเรื่องที่ตนอยากรู้ เขาไม่ได้นั่งลงบนเก้าอี้ตามมารยาทในทันที เธอผู้นี้เขาไม่ได้ต้องการอยากรู้จักมากไปกว่านี้
“ฉันมีสิทธิ์ที่จะไม่พอใจค่ะ เพราะคุณฉีกหน้าฉัน...” คิ้วหนาย่นเข้าหากันเมื่อได้ยินอย่างนั้น เขาไม่ได้ฉีกหน้าเธอเพียงแต่วันนั้นเขาไม่ถูกชะตากับเธอก็เลยเดินหนีออกมา ขณะที่เธอก็วิ่งตามเขาที่หอศิลป์ทำให้คนโดยรอบหันมามองเธอ ซึ่งเขาไม่ได้จงใจฉีกหน้าเธอแต่อย่างใด
“หึ...จินนี่ คุณกำลังทำให้ผมเกลียดขี้หน้าคุณ” จินนี่อ้าปากเหวอด้วยความตกใจ ไม่มีใครหน้าไหนเคยพูดกับเธอเช่นนี้
“หึ แต่คนที่เกลียดขี้หน้าฉันกำลังยืนมองฉันอยู่ไงคะ” เธอว่าพลางยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นจิบ ใบหน้าสวยเฉี่ยวของสาวลูกครึ่งไม่ได้ทำให้เขาสนใจเลยสักนิด
อัทธากรพ่นลมหายใจออกมาจากปลายจมูกคมก่อนที่เขาจะเลื่อนเก้าอี้นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับเจ้าหล่อน
“ผมมีอะไรจะบอก และอยากให้คุณคิดใหม่ถ้าคุณคิดจะบอกอะไรมั่ว ๆ กับนักข่าว...”
“อะไรคะ...แต่เดี๋ยวค่อยเล่า ฉันยังไม่อยากฟังตอนนี้ พอดีหิว....” เธอตอบกลับเขาอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนที่มือเรียวสวยจะยกขึ้นเรียกบริกร ทว่า
“จริง ๆ ผมมีแฟนแล้ว...”
“ห๊า...” จินนี่เงี่ยหูฟังอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เธออุทานขึ้นมาเสียงดัง นี่เขากะจะใช้แผนนี้กับเธอเลยเหรอ “พูดอะไรคะ...ฉันไม่ตลกด้วย”
“หึ ผมไม่ได้ล้อเล่น ถ้าคุณพูดกับนักข่าวก็มีแต่คุณที่เสียหาย....” รอยยิ้มมุมปากปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา ขณะที่จินนี่หน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัด
“หึ อย่าหลอกฉันเลยค่ะ เก็บไว้หลอกเด็กสามขวบน่าจะดีกว่า”
“ผมไม่ได้หลอก หรือคุณอยากเจอ” จินนี่ยกยิ้มมุมปาก แม้ในใจจะชอกช้ำเพราะนาน ๆ จะได้เจอผู้ชายตรงสเปก แต่เขาผู้นี้กลับเดตมั่วซั่วแถมยังมีแฟนแล้วอีก
“ก็มาเจอกันหน่อยดีไหมล่ะคะ...” อัทธ์กระตุกยิ้มเบา ๆ เธอคนนี้ร้ายเกินจะเล่นด้วยจริง ๆ
“ตอนนี้คงไม่ได้ เธอทำงานอยู่”
“อ้อ งั้น...วันหลังดีไหมคะ” หญิงสาวคิดว่าถ้าเขาไม่พาแฟนมาเจอ...เธอก็ไม่คิดจะหยุดหรอก “แต่ตอนนี้คุณอยู่กับฉัน ทานข้าวหน่อยเป็นไงคะ อย่างน้อยก็จะได้ดูไม่เป็นการเสียมารยาท”
จินนี่เอ่ยปากตัดบทสนทนา ขณะเดียวกันที่ชายหนุ่มกำลังคิดไม่ตกกับเรื่องนี้ ซึ่งตอนนี้จินนี่มีสีหน้าครุ่นคิดก่อนที่เธอจะเอ่ยถามเรื่องที่เธอใคร่รู้
“แฟนคุณชื่ออะไรคะ สวยได้ครึ่งหนึ่งฉันหรือเปล่า ถ้ามีแฟนแล้วก็อย่าให้น้อยหน้าฉัน เพราะมันจะทำให้คุณดู...ตาต่ำ”
“หึ มินตราครับ สวยกว่าคุณ...แน่นอนว่าผมไม่เคยตาต่ำ” จินนี่ถึงกับอ้าปากค้าง เขากำลังบอกว่าไม่เคยตาต่ำเลยไม่สนใจเธออย่างนั้นใช่ไหม...
ขณะเดียวกันที่ลินินนั่งสัปหงกที่โต๊ะทำงานโดยไม่ได้ดูเวลาว่าตอนนี้เที่ยงแล้ว เสียงเคาะประตูที่ดังอยู่หน้าห้องไม่ได้ปลุกให้เธอตื่น จนบุคคลภายนอกถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามา
แกร็ก~
หญิงสาวตัวเล็กหน้าตาน่ารัก เธอฉีกยิ้มกว้างให้กับลินินที่พริ้มตาหลับอยู่ ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้
“คุณลินินคะ...” เสียงของแพรไหมดังเบา ๆ เข้ามาในความรู้สึกของหญิงสาว เธอกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะสะดุ้งเฮือกขึ้นด้วยความตกใจ
“อ๊ะ...ขะ ขอโทษค่ะ” ลินินลุกขึ้นยืน เธอเซเล็กน้อยด้วยความตื่นกะทันหัน แต่โชคดีที่แพรไหมยื่นมือไปคว้าข้อมือเล็กของเธอไว้ได้ทัน
“สวัสดีค่ะ...คุณลินิน” รอยยิ้มบนใบหน้าของแพรไหมทำให้ลินินยกมือขึ้นเกาหัว เธอมึนงงเล็กน้อยเพราะไม่เคยเห็นเธอคนนี้มาก่อน
“ฉันเป็นผู้ช่วยทนายของคุณอัทธ์ค่ะ ชื่อแพรไหมนะคะ แล้วก็ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” ลินินพยักหน้าหงึกหงักรับ เจ้าตัวยังประมวลผลไม่ได้แต่ก็รู้มาบ้างแล้วว่าเขามีผู้ช่วยหลายคน
“เห็นไต้ฝุ่นบอกว่าคุณยังอ่านงานของคุณอัทธ์ไม่ถึงไหนเลยใช่ไหมคะ...” น้ำเสียงเป็นกันเองของแพรไหมทำให้ลินินยกยิ้มขึ้น เธอผายมือบอกให้แพรไหมนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับเธอ
“เชิญนั่งก่อนนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ พอดี...เอ่อ ฉันไม่ค่อยถนัดงานด้านนี้ของคุณอัทธ์น่ะค่ะ”
“ค่ะ ปกติบริษัทเรากระจายงานกันอย่างทั่วถึงน่ะค่ะ แต่ว่าคุณอัทธ์ก็จะได้คดีความที่หนักหน่อย....”
“ฉันว่าหนักเลยนะคะ ปกติฉันรับแต่ผัวเมียหย่าร้าง ฮ่า ๆ” ลินินขำกลบเกลื่อน ใบหน้าซีดเซียวของเธอทำให้แพรไหมรู้สึกเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก
“แบบนี้ก็ได้เปิดประสบการณ์การทำงานไปในตัวนะคะ ยังไงก็พักได้นะคะ คุณอัทธ์ใจดีมาก...” ลินินไม่อยากจะเชื่อหู เธอย่นคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ
“เขาไม่ใจดีกับฉันหรอกค่ะ...” เธอก้มหน้าลง ใบหน้านวลซึมเล็กน้อย แต่ก็ยังดีอยู่ที่เขารับเธอมาทำงานด้วย “เห้อ...”
“ถอนหายใจบ่อยไม่ดีนะคะ...”
“หึ ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวขำเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอีกครั้ง ซึ่งใบหน้ายิ้มแย้มของแพรไหมทำให้ลินินสงสัยแต่ไม่ทันจะได้พูดอะไรอีกฝ่ายก็เอ่ยพูดขึ้นมาเสียก่อน
“อ้อ...พอดีเห็นคุณหลับ นึกว่าได้คาเฟอีนจากชาเขียวแล้วจะไม่หลับซะอีก” แพรไหมยิ้มกรุ้มกริ่ม ทว่าคนได้ยินกลับขมวดคิ้ว
“ชาเขียวอะไรคะ...”
“ก็ชาเขียวคุณอัทธ์ไงคะ” แต่พอได้รับคำตอบลินินกลับมึนงงเสียยิ่งกว่าเดิม “ไต้ฝุ่นบอกว่า คุณอัทธ์สั่งชาเขียวให้คุณลินินไงคะ”
“หึ ไม่มีนะคะ...” เธอขำออกมาก่อนจะส่ายหน้าเบา ๆ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องตลก แต่อีกฝ่ายกลับมีสีหน้าจริงจังจนลินินตกใจ
“จริง ๆ นะคะ ฉันไม่ได้พูดเล่น อีกอย่างไต้ฝุ่นน่ะไม่น่าจะโกหกฉันหรอกค่ะ”
“คะ? งั้นคุณไต้ฝุ่นอาจจะแค่ล้อเล่น”
“หึ เขาเป็นแฟนฉันค่ะ ถ้าเขาล้อเล่นฉันจะกระโดดถีบเขาเลยค่ะ” ลินินขำออกมาเบา ๆ ให้กับถ้อยคำของเธอ แพรไหมน่ารักอย่างนี้ไม่แปลกที่จะมีแฟนเป็นไต้ฝุ่น แต่ว่าถ้าไต้ฝุ่นไม่ได้โกหกแล้ว...ทำไมเธอยังไม่ได้กินชาเขียวกันนะ
“อ้อ เดี๋ยวคุณอัทธ์ก็กลับมาแล้วนะคะ ไปกินข้าวก่อนน่าจะดีนะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันมีแซนด์วิดซ์อยู่ค่ะ” ลินินยิ้มอย่างเป็นมิตร ซึ่งอีกฝ่ายก็ยิ้มตอบกลับเธอ แพรไหมแอบแปลกใจตั้งแต่ได้ยินจากไต้ฝุ่นแล้วว่าอัทธากรเป็นคนดึงผู้หญิงตรงหน้ามาทำงานด้วย เพราะการกระทำแบบนั้นเรียกว่าผิดจรรยาบรรณวิชาชีพเต็ม ๆ ดีที่ทางนั้นเลือกที่จะเก็บเป็นความลับ ขณะที่เธอคนนี้ก็ยอมมาทำงานด้วยแต่โดยดี
“งั้นเดี๋ยวฉันขอตัวก่อนนะคะ ไว้มาหาช่วงบ่ายเพื่อคุยรายละเอียดงานหลังจากนี้นะคะ” ลินินพยักหน้ารับ ก่อนที่เธอจะยืนขึ้นพร้อมกับค้อมศีรษะให้กับรุ่นพี่
คล้อยหลังแพรไหมออกจากห้องไป ลมหายใจแผ่วเบาก็ออกจากปลายจมูกของเธอ การตัดสายโทรศัพท์อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของเขาคนนั้นยังคงคาใจเธออยู่ แถมชาเขียวที่แพรไหมพูดถึง...ทำเอาลินินรู้สึกแปลก ๆ ที่หัวใจทันที แต่แล้ว
ครืดด ครืดด~
“อ๊ะ...” ลินินหันขวับไปมองโทรศัพท์มือถือของเธอที่กรีดร้องออกมาเสียงดัง หญิงสาวยกยิ้มเบา ๆ หลังจากเห็นรายชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ ไม่รอช้าที่เธอจะคว้ามันมากดรับ
ติ๊ด!
“ฮัลโหล...”
[นิน!!! ฉันมีอะไรจะบอก!] เสียงแหลมหูของมินตราทำให้ลินินดึงโทรศัพท์ออกจากหูแทบไม่ทัน
“มะ มีอะไร แกจะตะโกนทำไมเนี่ย แสบหูชะมัด” ลินินเอ่ยพูดขึ้นและขณะนั้นเองที่เธอเห็นร่างสูงของบุคคลที่เธอนึกถึงเมื่อครู่เดินผ่านหน้าห้องทำงานของเธอไป ซึ่งเขาไม่ได้หันมามองห้องทำงานของเธอแต่อย่างใด
[คืองี้ ฉันมีข่าวดี คือว่าแบบ...แบบ...ยังไงดี]
“ใจเย็น ๆ เสียงสั่นมากมิน...”
[กรี๊ดด~ ฉันไม่รู้อ่ะ แบบตอนนี้ใจเต้นตึกตัก ๆ ไม่หายเลย] ลินินขำออกมาเบา ๆ เธอไม่รู้ว่าเพื่อนเธอจะพูดเรื่องอะไร แต่พอได้ยินน้ำเสียงดีใจแบบนี้แล้วหญิงสาวก็พลอยดีใจไปด้วยอย่างไม่ทราบสาเหตุ
[คืองี้เว้ย คือ...คุณอัทธ์น่ะ เขาขอฉันเดต!”
“อะไรนะ!”
[แกตกใจใช่ปะ คือฉันตกใจมากกว่าแกอีก อยู่ดี ๆ เขาก็โทรมาแล้วบอกอยากรู้จักฉันมากขึ้น แก...แบบมันเป็นฟีล แบบ...ขอเป็นแฟนอ่ะ แกเข้าใจปะ...] แม้นว่าเสียงของมินตราจะดังมากเพียงใดแต่มันกลับดังเบามากในความรู้สึกของเธอ ลินินยกมือขึ้นกุมหน้าอกข้างซ้ายด้วยความรู้สึกแปลกไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันรู้สึกเจ็บจี๊ดบริเวณตรงนั้นราวกับมีใครเอาของมีคมมาทิ่มแทง
[ลินิน ฉันว่า...ฉันจะมีผัวก็คราวนี้แหละ] หญิงสาวยิ้มออกมาเบา ๆ แม้ว่าข้างในใจจะไม่ได้รู้สึกดีใจแบบนั้นแล้ว ทว่าคนอกหักบ่อยแบบมินตราจะสมหวังสักที ทำไมเธอถึงจะไม่ยินดีกับเพื่อน
“อื้มม...ดีใจด้วย แต่ก็ดูไปก่อนก็แล้วกันเนอะ...”