ดาวเต็มฟ้าเริ่มไปทำความสนิทสนมกับปิ่นสาวใช้ในบ้านตุนท์ เธอคิดจะเริ่มเข้าหาตุนท์ด้วยการทำดีและเอาใจเขา วันนี้เธอจะทำอาหารเช้าให้เขาด้วยตัวเอง
ดาวเต็มฟ้าใช้ชีวิตตามลำพังสองพี่น้องกับเติมตะวันตั้งแต่ยังเด็กดังนั้นการทำอาหารและงานบ้านงานเรือนไม่ใช่ปัญหาสำหรับเธอแถมฝีมือดีด้วยซ้ำ
"วันนี้อาหารเช้าดูน่าทานดีนะปิ่น" ตุนท์หันไปคุยกับสาวใช้แต่หน้าตายังคงเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
"คุณเต็มฟ้าทำค่ะ ปิ่นแค่ยืนดู" สาวใช้เฉลย
"เหรอ? คิดยังไงถึงมาทำอาหารเช้าให้ฉัน" เขาหันไปมองเธอแต่สีหน้าไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร
"ลองทานดูนะคะ เต็มฟ้าอยากให้คุณลองทาน" ดาวเต็มฟ้ายิ้มแต่ก็มองเขาด้วยท่าทางกล้าๆกลัวๆ
เมื่อส่งอาหารเข้าปากตุนท์ถึงกับชะงัก เขาไม่ได้ชะงักเพราะรสชาติอาหารแต่ชะงักที่เธอเปลี่ยนสรรพนามจากฉันมาเป็นเต็มฟ้าแทน แต่เขาก็พยายามเก็บอาการทานอาหารต่อไปโดยไม่พูดอะไร จนจบมื้อเช้าเขาจึงได้เอ่ยคำพูดขึ้นกับเธอ
"ถือว่าเป็นบริการเสริมเท่านั้นนะ ไม่ได้อยู่ในรายการที่จะลดหนี้ลงได้" เขาเดินผ่านหน้าเธอไปโดยไม่หันมามอง
"คนอะไรงกชะมัด หัวใจมีบ้างหรือเปล่านะ เอาน่ะสู้ๆเต็มฟ้า" เธอบ่นเบาๆไล่หลังเขาที่เดินออกไปจากโต๊ะรับประทานอาหาร ส่วนเขาเองเมื่อเดินมาพ้นมุมสายตาแล้วเขาก็แอบหันกลับไปมองที่เธอด้วยหางตา
ตลอดทั้งสัปดาห์ตุนท์รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของปฏิกิริยาที่ดาวเต็มฟ้ามีต่อเขา
..............................................
เมื่อดาวเต็มฟ้ามีโอกาสหยุดงานเธอก็ไม่รอช้าที่จะคิดหาทางในการเข้าถึงใจของตุนท์ให้ได้ เธอไปตัดดอกกุหลาบในสวนเอามาปักแจกันในห้องรับแขกและบนโต๊ะอาหาร
ตุนท์เองก็รู้สึกสดชื่นไปกับดอกไม้ที่เธอนำมาปักไว้ในแจกัน แต่กำแพงแห่งทิฐิที่ยังคงตั้งเด่นเป็นสง่าขวางใจของเขาอยู่มันคอยสั่งการว่าไม่ให้ใจอ่อนกับเธอเพราะศักดิ์ศรีและคำดูหมิ่นที่เขาได้รับมาจากผู้เป็นพ่อนั่นเอง เขาจะต้องเอาชนะมันและกู้ชื่อเสียงของตัวเองให้กลับมาให้ได้ แต่ทว่ามันไม่มีอะไรมากไปกว่าการอยากได้การยอมรับจากคนเป็นพ่อก็เท่านั้น เพราะที่จริงเขาไม่ใช่คนใจร้ายมาแต่กำเนิดหากแต่มันเกิดจากการหล่อหลอมของการเลี้ยงดูที่ขาดความรักมาตั้งแต่แรก มิหนำซ้ำยังเผชิญกับรักที่ผิดหวังจนกลายเป็นว่าเขาไม่มีหัวใจเสียจะดีกว่า
"ใครอนุญาตให้เธอตัดดอกไม่ในสวนของฉัน" ตุนท์เสียงแข็งใส่ดาวเต็มฟ้าเมื่อเห็นเธอกำลังจะเดินเอาดอกไม้มาใส่ในแจกันเพิ่ม
"คือ เต็มฟ้าเห็นว่ามันเริ่มบานแล้วอีกไม่นานก็โรย" ดาวเต็มฟ้าอธิบายเสียงใส
"เธอลืมไปหรือเปล่าว่าที่นี่มันไม่ใช่บ้านเธอ" เสียงของตุนท์จริงจัง
"ขอโทษค่ะ ถ้าคุณไม่ชอบ เต็มฟ้าจะเอาออกค่ะ"
"ไม่ต้อง แต่คราวหลังอย่ามาวุ่นวายอีก" เขามองเธอด้วยความไม่เป็นมิตรเหมือนความคิดในหัวมันตีกันว่าจะร้ายหรือว่าดี แต่ที่แน่ๆเขาจะไม่ยอมอ่อนไหวให้เสียเชิงเด็ดขาด
ดาวเต็มฟ้าหน้าจ๋อยไปแต่เธอก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่ยอมแพ้เป็นอันขาดหากมันจะเป็นหนทางที่ทำให้เธอได้อิสรภาพและพี่ชายปลอดภัย
"ฉันไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกนายผีดิบตุนท์" เธอพูดคนเดียวดวงตาแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะใจเขาให้ได้
และตลอดทั้งวันดาวเต็มฟ้าก็พยายามที่จะทำหน้าที่แทนแม่บ้านหลายอย่าง แม้แต่กระทั่งชวนเขาคุยทั้งที่รู้ว่าเขาคงไม่สนองตอบไมตรีเธอง่ายๆแต่ที่พอจะเข้าหูเขาบ้างก็คือการคุยเรื่องหนังสือ
"คุณตุนท์ชอบหนังสือหรือคะ เต็มฟ้าเห็นเวลาคุณว่างก็เห็นอ่านแต่หนังสือ" ดาวเต็มฟ้าหาเรื่องชวนคุย
"อืม" เขาตอบสั้น ที่จริงน่าจะเรียกว่าเป็นเพียงส่งเสียงตอบรับมากกว่าการตอบคำถาม
"ที่ตู้หนังสือของคุณมีหนังสือดีๆหลายเล่มเลยนะคะ" เธอชวนคุยเรื่องหนังสือเพราะเธอเองก็เป็นนักอ่านด้วยเหมือนกัน
"อย่างเรื่อง 80 วันรอบโลก ของจูลส์ เวิร์น ก็สนุกมากเลยนะคะ เต็มฟ้าอ่านตั้งแต่เด็กอ่านแล้วเกิดจินตนาการตามวางไม่ลงเลยค่ะ"
"เธอชอบนักเขียนต่างชาติด้วยหรือ" เขาเหลือบตามองเธอเล็กน้อยก่อนที่จะถาม
"ค่ะ แนวคิดปรัชญาพวกนี้เต็มฟ้าก็อ่านนะคะ มันเห็นมุมมองของคนหลายด้านดีโดยเฉพาะปรัชญาของชาวต่างชาติ" ดาวเต็มฟ้าพูดไปเรื่อยโดยไม่ทันระวังตัวว่ากำลังถูกมองด้วยสายที่สนใจในสิ่งที่เธอพูดและรู้สึกถึงความเป็นพวกเดียวกันคือการเป็นหนอนหนังสือ
แต่เมื่อรู้สึกตัวว่ากำลังเคลิบเคลิ้มไปกับเสียงเจื้อยแจ้วของหญิงสาวเขาก็เริ่มสะบัดตัวตื่นออกจากภวังค์
"เอาล่ะ ถ้าเธออยากอ่านหนังสือฉันอนุญาตให้อ่านได้แต่เฉพาะตู้กระจกเท่านั้นนะ ฝั่งที่อยู่ในตู้ไม้สีครีมห้ามไปยุ่งเด็ดขาด" เขายังคงเป็นมนุษย์ผีดิบในสายตาเธอเพราะน้ำเสียงไม่มีวี่แววของความอ่อนโยนเลยสักนิดถึงแม้คำพูดนั้นจะเอ่ยปากอนุญาตให้เธออ่านหนังสือของเขาได้ก็ตาม
"จริงหรือคะ ขอบคุณนะคะ" ดาวเต็มฟ้ายิ้มปริ่มแต่ก็ต้องหุบยิ้มเมื่อเขาหันกลับมามองด้วยแววตาเคร่งขรึมแล้วเดินลุกออกไปจากโซฟาที่นั่ง
"เพื่อพี่ตะวัน เพื่ออิสรภาพ ท่องไว้เต็มฟ้า" เพียงสองคำนี้ที่อยู่ในความคิดเธอ
....................................................
ในทุกครั้งที่เป็นวันหยุดของตัวเองดาวเต็มฟ้ายังคงพยายามทำสิ่งที่เธอวางแผนเอาไว้ในใจอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ทำใจกล้าหน้าด้านชวนเขาคุย จนเมื่อน้ำหยดลงหินทุกวันหินภูเขาไฟอย่างเขาก็ต้องมีกร่อนลงบ้างแม้เล็กน้อยก็ยังดี
ตุนท์เองเมื่อเห็นความอ่อนต่อโลกของเธอก็เริ่มพุดดีกับเธอขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังคงไม่ทิ้งคราบผีดิบในความคิดของดาวเต็มฟ้า
"เธอคิดว่าคนรักของเธอจะออกตามหาเธอบ้างหรือเปล่า" ตุนท์ถามหว่านแหเผื่อเธอจะเผลอเผยไต๋ออกมา
"พี่ตะวันไม่เคยทิ้งเต็มฟ้าค่ะ" เธอตอบอย่างมั่นใจ
"เหรอ งั้นถ้าเขาจะตามหาเธอเขาจะทำวิธีไหน"
"เต็มฟ้าไม่รู้ รู้แต่ว่าพี่ตะวันจะทำทุกอย่างเพื่อเต็มฟ้า"
"เขาคงรักเธอมากสินะ"
"ใช่ค่ะเต็มฟ้าเองก็รักพี่ตะวันมากเช่นกัน มากที่สุดในชีวิต" เต็มฟ้าตอบแบบที่ใจคิด
"ฉันจะรอวันที่คนรักของเธอมารับเธอกลับไป แต่บอกก่อนนะว่าจะเอาเธอกลับไปคงต้องเอาเงินมาคืนให้ครบก่อน" ตุนท์ยังคงทวงแต่เรื่องเงินแต่ที่ทำให้เขาหงุดหงิดเพราะดาวเต็มฟ้าพูดว่ารักเติมตะวันอย่างไม่อายปาก
"ที่ทำๆงานไปแล้วอย่าลืมหักด้วยนะคะ" เธอเผลอต่อปากต่อคำลืมไปว่าจะทำตัวให้น่ารักในสายตาเขา
"หักแน่แต่คงไม่ลดลงหรอกเงินเดือนเธอแค่ดอกเบี้ยยังไม่พอจ่ายเลย" ตุนท์กล่าวเชิงดูถูกให้เธอรู้ตัวว่ามันไม่ง่าย
"อยากกลับไปหาคนรักเร็วๆก็บอกที่ซ่อนมันมาจะได้จบ" เขาหันมาบอกเธอด้วยแววตาที่ไม่เคยมีความอ่อนโยนเลยสักนิด แล้วก็หัวฟัดหัวเหวี่ยงเดินออกไป
"รักที่สุดในชีวิตอย่างนั้นหรือ? จอมปลอม! ผู้หญิงอย่างเธอจะรักใครจริง" ตุนท์เดินออกมาที่สวนข้างบ้านยืนสงบสติอารมณ์ เขาอารมณ์เสียเพราะคำพุดที่เขาได้ยินดาวเต็มฟ้าพูดว่ารักเติมตะวันมากที่สุดในชีวิต ดันเป็นคำพูดเดียวกันกับเอริกาอดีตคนรักที่ทิ้งเขาไปเคยพร่ำบอกหลอกเขาในกาลก่อน
"ยัยเด็กบ้า"เมื่อแผลถูกสะกิดเขาก็เหมือนคนพาลต่อว่าไปเรื่อย
เมื่อเข้าอารมณ์ดีขึ้นก็เดินกลับเข้ามาในตัวบ้านเห็นดาวเต็มฟ้ากำลังยื่นจ้องมองที่ตู้หนังสือและค่อยๆหยิบมันขึ้นมาเปิดอ่านข้างในทีละเล่มด้วยความสนใจ
เขาแอบมองเธออย่างไม่วางตา
"คุณตุนท์จะเอาอะไรหรือเปล่าคะ" ปิ่นสาวใช้เรียกเมื่อเห็นเจ้านายยืนด้อมๆมองๆอยู่ที่มุมผนังห้อง
"ไม่" เขาตื่นจากภวังค์ด้วยเสียงเรียกของปิ่นสาวใช้ตอบสั้นและก็เดินขึ้นห้องนอนตัวเองไป
.........................................
*จูลส์ เวิร์น นักเขียนชาวฝรั่งเศษผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งนิยายวิทยาศาสตร์