Sunflower 14
เราใช้เวลาเดินทางสักพักก็มาถึงหน้าอาคารโรงพยาบาล ฉันให้มีนาใช้โทรศัพท์ตัวเองโทรบอกคุณหมอส่วนตัวเองก็เลื่อนรถออกไปจอดริมฟุตบาทที่ไม่ขวางการจราจร แต่พอขับไปหยุดรอตรงมุมหนึ่งก็เห็นว่าคุณหมอยืนรออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
“ใช่ครับพี่หมอ เดินมาเลย นั่งข้างหน้าครับ” มีนาบอกปลายสาย สักพักประตูรถก็ถูกเคาะเบา ๆ ฉันเลื่อนกระจกรถลงอีกฝ่ายถึงได้ก้มหน้าลงต่ำมามอง
เมื่อมั่นใจว่าเป็นรถฉันถึงได้เปิดประตูขึ้นมานั่งบนรถ รอจนอีกฝ่ายรัดเข็มขัดนิรภัยเสร็จถึงได้ออกรถ
“ร้านไหนคะ?” ถามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“เลี้ยวซ้ายขับตรงไปเรื่อย ๆ ก่อนถึงทางแยกร้านจะอยู่ซ้ายมือครับ เดี๋ยวพี่บอกอีกที” คุณหมอบอกทางฉันก็รับฟังและทำตามที่อีกฝ่ายบอกทันที ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็เห็นร้านอาหารอยู่ทางซ้ายมือฉันไม่รอช้าที่จะเปิดไฟเลี้ยวรถเข้าไปยังที่จอดรถของร้าน
“อันนี้ขนมครับ เอาไว้กินที่ห้องนะ” คุณหมอส่งถุงกระดาษสีหวานมาให้ฉัน
“ขอบคุณค่ะ ขอเอาไว้ที่รถก่อนนะคะ” รับมาก่อนจะส่งให้น้องชายวางไว้ที่เบาะด้านหลัง
“ครับ ไปกันเถอะ” เราทั้งสี่คนลงจากรถเรียบร้อยก็เดินเข้าไปในร้านอาหารที่ตอนนี้แม้จะยังไม่เที่ยงแต่ก็แทบจะไม่มีโต๊ะว่างแล้ว คุณหมอเดินนำเข้าไปและเปิดประตูรอกระทั่งฉันและน้องชายเดินตามเข้ามาถึงได้เดินนำไปที่โต๊ะว่างระหว่างนี้ก็ชะลอเท้าและหันกลับมามองเราสามคนพี่น้องอยู่เรื่อย ๆ
“ลูกค้ากี่ท่านคะ” เสียงพนักงานเอ่ยถาม คุณหมอเลื่อนเก้าอี้ตัวที่มุมด้านในสุดให้ฉัน และเขานั่งลงที่เก้าอี้ว่างข้าง ๆ ฝั่งตรงข้ามเป็นสองแฝดที่นั่งลงบนเก้าอี้และมองรอบ ๆ ร้านอย่างตื่นเต้น ยังดีที่ร้านอาหารเปิดแอร์เย็นฉ่ำแบบนี้ เราจะได้ไม่ร้อนมาก
“เมษมาไหม?” คุณหมอหันมาถาม
“ไม่ค่ะ”
“สี่คนครับ” เอ่ยจบคุณหมอก็รับหนังสือเมนูอาหารมาให้เราได้เลือก
ให้สองแฝดสั่งเมนูที่อยากกินมาสองสามอย่าง ระหว่างนั่งรออาหารสองหนุ่มก็หยิบรายการเครื่องดื่มที่อยู่ติดกับร้านอาหารมาเลือก
“ร้านเดียวกันเหรอคะ?” ด้วยความข้องใจถึงได้หันหน้าไปถามคุณหมอที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างข้องใจ
“ใช่ครับ ร้านเดียวกัน สั่งได้เลยนะ”
“เดี๋ยวพวกผมเดินไปสั่งครับ พี่ลีเอาอะไร พี่หมอเอาอะไรครับ”
“พี่เอาอเมริกาโน่เย็นแล้วกัน” คุณหมอตอบคำถามของมีนาที่ดึงแขนของกุมภาให้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับตัวเอง
“พี่เอาชาเย็นไม่หวาน”
“ได้ครับ ได้กับข้าวมากินก่อนได้เลยนะ”
“โอเค รีบกลับมาล่ะพี่รอ” ย้ำกับน้องชายทั้งสองคน คล้อยหลังสองแฝดเดินไปเปิดประตูเชื่อมระหว่างร้านอาหารและร้านกาแฟไปคุณหมอถึงได้หันมามองหน้าฉันและเอ่ยถามเสียงเบา
“เย็นนี้ไปไหนไหม?”
“ไม่ได้ไปค่ะ ทำไมเหรอคะ?”
“วันนี้พี่เลิกงานเร็ว ขอไปกินข้าวด้วยได้ไหมครับ” และจู่ ๆ คุณหมอก็เอ่ยถามฉันออกมาอย่างตรงไปตรงมา สีหน้าอีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยความคาดหวังไม่น้อย
“ได้ค่ะ เดี๋ยวทำกับข้าวไว้รอ...”
“ขอบคุณครับ”
“หมอทิว วันนี้มากินข้าวที่นี่เหรอคะ?” เสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามาในจังหวะที่คุณหมอเอ่ยจบพอดี และคนที่ถามคนข้าง ๆ ฉันนั้นก็เป็นกลุ่มคนที่สวมเสื้อกาวน์สีขาวอยู่เช่นเดียวกับคุณหมอ และเหมือนพวกเขาจะรู้จักกันด้วยนะ เพราะแบบนั้นฉันถึงได้เงียบเสียงตัวเองไปไม่ได้แสดงท่าทีสนใจอะไรมากเพราะกลัวจะเสียมารยาท
“ครับ”
“โต๊ะว่าง ขอนั่งด้วย...”
“ไม่ว่างครับ มีน้องมาด้วย” พี่หมอบอกปฏิเสธ
“อ่า โต๊ะเต็มหมดเลย น้ำมนต์ไม่มีที่นั่งเลยค่ะ พี่ ๆ ก็ไม่มีที่นั่ง แบ่งกันนั่งก็ได้นี่คะน้ำมนต์กับพี่ ๆ แค่สองสามคนเอง” คุณหมอคนนั้นยังรบเร้าและจงใจพูดเสียงดัง คุณหมอทิวเขาหันมามองหน้าฉันอย่างไม่สบายใจทันที เพราะดูแล้วการที่เธอจงใจพูดแบบนั้นคงจะมัดมือชกจนเราอนุญาตให้นั่งร่วมโต๊ะอย่างนั้นแหละ
“ขยับเก้าอี้ชิดกันหน่อยก็คงจะได้ค่ะ” ฉันบอกคุณหมอเสียงเบา ก็โดนกดดันทางสายตาแบบนั้นไม่ว่าใครก็ต้องตอบแบบนี้ทั้งนั้นแหละ
“ถ้าอย่างนั้นเชิญทั้งสามคนนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วกันครับ” คุณหมอบอกเพื่อนร่วมงาน ที่สองคนด้านหลังมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกต่างจากคนที่เป็นตัวแทนเอ่ยขอนั่งร่วมโต๊ะ
“เดี๋ยวน้ำมนต์นั่งข้าง...” คุณหมออีกหนึ่งคนที่พยายามพูดคุยกับคุณหมอตัวสูงข้างฉัน แต่เอ่ยยังไม่ทันจบประโยคเสียงของน้องชายฉันก็ดังแทรกเข้ามาเสียก่อน และเป็นน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความฉงน