คำพูดทุกคำของหนุ่มสาวคู่นั้น มันลอยเข้าหูของสาวสวยที่นั่งมองอยู่ริมหน้าต่างได้เป็นอย่างดี ถอนหายใจเบาๆ เหมือนกำลังสลัดภาพบางอย่างออกจากหัว ตอนนี้หล่อนอยากกลับบ้านแล้ว แม้ที่นี่มันจะเงียบสงบ ไม่มีเรื่องอะไรร้ายแรง แต่การอยู่กับคนที่รักหล่อน กอดหล่อนบ้างบางเวลา มันทำให้หัวใจชุ่มชื่น และแข็งแรงขึ้นได้...
ซอนด้าตัดสินใจเดินออกจากห้อง มุ่งตรงไปยังหนุ่มสาวที่กำลังขะมักเขม้นกับการปลูกต้นไม้ “นิ นาย ฉันอยากกลับบ้านแล้ว พาฉันกลับไปหาพ่อได้แล้ว” เสียงห้วนเอ่ยบอก
ภูผากับระตีมองหน้ากันอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าสาวสวยลูกครึ่งคิดจะกลับบ้านตอนนี้ “ทำไมรีบกลับนักล่ะ?” ระตีเอ่ยถามแทนชายหนุ่ม ก่อนจะลุกขึ้น ปัดมือที่กำลังติดเศษดินออก “น่าจะอยู่ต่อ... ” ก้มหน้ามองฝ่ามือตัวเอง รู้สึกใจหวิวชอบกล “รอให้คุณพ่อของคุณติดต่อมาก่อนไม่ดีกว่าหรือ?” นัยน์ตาเศร้าสร้อย รู้ว่าอีกไม่นานความเงียบเหงาอยู่เพียงลำพังใกล้มาเยือนเธออีกแล้ว
“ว่าอะไรนะ! นี่คุณพ่อติดต่อกับพวกคุณอยู่ แล้วทำไมพวกเธอไม่บอกฉัน ว่าติดต่อคุณพ่อได้ล่ะ? ”
สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนเจอกับคำถามที่แสนจะหาคำตอบได้ยากเย็นของอีกคน “ก็...” ระตีหาคำตอบไม่ได้เช่นกัน ว่าเหตุใดหล่อนไม่บอกความจริงทั้งหมดไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว แต่คำสั่งก็คือคำสั่ง หล่อนมีหน้าที่ดูแลหญิงสาวและชายหนุ่ม ช่วงที่ทั้งสองพักอยู่ที่นี้ เหตุผลและอะไรทั้งปวง ที่สาวสวยลูกครึ่งอยากรู้ ผู้เป็นพ่อของหล่อนเท่านั้นที่จะเป็นคนตอบ
แววตาแข็งกร้าวฉายออกมาอย่างเห็นได้ชัด ระตีก้มหน้านิ่ง ไม่กล้ามองตาอีกคน ในช่วงที่หล่อนก้มหน้ามือเรียวของอีกคนก็ง้าง ลอยขึ้นกลางอากาศ เป้าหมายคือใบหน้าของคนพูดเมื่อกี้
แต่ก็ไร้เสียงใดๆ เมื่อมือหนาของภูผาคว้ามือเรียวไว้กลางอากาศเสียก่อน “ปล่อยสิ ฉันจะตบหน้ามัน” กระชากมือกลับสรรพนามเปลี่ยนไป วาจาออกจะก้าวร้าว แต่อีกคนไม่ทำตามยิ่งกำข้อมือเรียวแน่นกว่าเดิม
ระตีถึงกับอึ้ง ถอยหลังออกห่างหนึ่งก้าว หัวใจเต้นรัวเร็ว มือกุมเข้าหากันเหมือนคนขวัญหนีดีฝ่อ อาการก้าวร้าวของสาวสวย ที่ตลอดหลายวันที่อยู่ด้วยกันหล่อนไม่เคยเห็นกิริยามุมนี้ จึงเกิดอาการเหมือนคนช็อกไปชั่วขณะ เปรียบเทียบความเปลี่ยนแปลงของสาวสวยลูกครึ่งกับเรื่องเมื่อกี้
“แกก็เหมือนกัน เอาตัวฉันมากักขังเอาไว้ แน่ใจหรือว่าเป็นคำสั่งของพ่อฉันฮะ!?” เมื่อทำอะไรอีกคนไม่ได้ก็หันมาเล่นงานคนที่จับแขนเอาไว้
“พูดจาไม่ไพเราะอีกแล้วนะครับคุณหนู...” น้ำเสียงราบเรียบที่แฝงมาด้วยแววตาตำหนิ ทำเอาสาวสวยลูกครึ่งกับเจ็บใจสุดขีด
“ไอ้บ้า!” ขาเรียวที่ยังเป็นอิสระอยู่ฟาดเข้าที่กลางขาของคนร่างสูงทันที
ระตีเอามือปิดปากกลั้นเสียงที่ดังออกมาอย่างตกใจ ชายหนุ่มหันมองระตีที่ทำสีหน้าเป็นห่วง แต่ ชายหนุ่มกับยกยิ้ม เหมือนเรื่องนี้เขาเจอจนชินเสียแล้ว
“อยากกลับนักใช่มั้ย ได้เดี๋ยวผมจะพากลับไปส่ง” เอ่ยจบชายหนุ่มก็ลากสาวสวยกลับเข้าไปในบ้าน และตรงไปยังห้องของหล่อนทันที
ซอนด้าที่อึ้งกับคำรับง่ายๆ ของชายหนุ่ม ทำเอาสมองเบลอไปชั่วขณะ แต่รู้ตัวอีกครั้งเมื่อถูกจิ้มหน้าผากให้หงายหลังลงบนเตียงนุ่ม ที่หล่อนนอนมาแล้วหลายคืนนั้นเอง
“ว้าย แกจะทำบ้าอะไร ปล่อยนะ” ร้องเสียงหลงเมื่อแผ่นหลังสัมผัสกับที่นอน
ชายหนุ่มส่ายหน้าระอากับคำพูดที่จิกเรียกคนอื่น รีบจัดการกับหล่อนเหมือนกับครั้งที่พาหล่อนมา เพื่อมีสมาธิในการขับรถตลอดเส้นทาง
อาการดิ้นรนขัดขืนของสาวสวย ทำเอาชายหนุ่มเหงื่อตก ระตีที่ยืนเกาะขอบประตูอยู่ถึงกับส่ายหน้าเมื่อเห็นสองคนนั้นตะลุมบอนกันอยู่ แต่มันติดไปทางกึ่งขำกึ่งน่าเวทนาเสียมากกว่า เพราะแม่สาวลูกครึ่งนอนให้จัดการมัดหล่อนง่ายซะที่ไหน
“ปวดฉี่ให้กระดิกนิ้วหรือส่งเสียง ผมจะได้จอดที่ปั๊มให้ระหว่างทาง”
“ทำไมต้องทำขนาดนี้ด้วยล่ะ คุณภูผา?” คนหน้าหวานเดินเข้ามาถาม เมื่อเห็นชายหนุ่มทำอย่างที่ต้องการเสร็จแล้ว
“ผมไม่กล้าเสี่ยงกับผู้หญิงอารมณ์ร้าย เอาแต่ใจหรอกครับ คุณระตีก็เห็นว่าหล่อนร้ายแค่ไหน” ชายหนุ่มเอ่ยบอกน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดิม หันมองคนบนเตียง ที่กำลังส่งแววตาอาฆาตมายังเขา หล่อนคงโกรธที่เขากล้าวิจารณ์มารยาทต่อหน้าคนอื่นกระมัง...ชายหนุ่มคิด รู้สึกขำตัวเองอยู่บ้างที่รับงานอะไรก็ไม่รู้ มาดูแลผู้หญิงที่ไม่รู้จักโต...
“ขอบคุณสำหรับที่พักและอาหารทุกมื้อนะครับ หวังว่าต่อไปผมคงได้พบคุณอีก ระตี” ชายหนุ่มรู้สึกใจแป้วเล็กน้อย นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ค่อยได้คุยกับผู้หญิงที่ถูกคอ
“มันเป็นหน้าที่ที่ฉันต้องทำค่ะ และฉันก็ดีใจที่ได้รู้จักคุณทั้งสอง” เอ่ยประโยคหลัง หันมองอีกคนที่ยังนอนอยู่ รู้สึกไม่สบายใจ ที่ยังเห็นแววตาโกรธเคืองของหญิงสาวบนเตียง
ท้ายรถหายไปตามเส้นทาง เหลือไว้แค่ความเงียบเหงากลับมาเยือนอีกครั้ง บางครั้งหล่อนอยากวิ่งหนีสิ่งที่ถูกจองจำไว้ตรงจุดนี้ แต่ความจริงที่ยังคลุมเครืออยู่ระหว่างหล่อนกับผู้มีพระคุณ สิ่งนี้จึงยังยึดหล่อนไว้ รอว่าสักวันความจริงจะต้องปรากฏ