เรื่องราวในครัววันนี้วุ่นวายมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งพนักงานน้อยลงกว่าครึ่งแต่จำนวนลูกค้ากลับเพิ่มมากขึ้น ทุกคนแทบไม่มีเวลาได้นั่งหรือแม้แต่ที่จะขยับออกจากหน้าเตา
เชฟเพลินวานต้องวิ่งวุ่นมากกว่าใคร เธอต้องจัดอาหารเมนคอร์สและวิ่งกลับมาที่โต๊ะเชฟ จะดีหน่อยที่วันนี้ ผู้จัดการร้านส่งพนักงานหน้าร้านมาช่วยอ่านและเช็คเมนู
เหตุการณ์ในครัวทุกอย่างอยู่ในสายตาของภูริชตลอด วันนี้เขาเข้ามาดูด้วยตัวเองตั้งแต่ร้านเปิด เป็นคนสั่งให้พนักงานหน้าร้านเข้าไปช่วยในครัว ทั้งที่รู้ว่าคนเก่งของพี่สาวทำได้ เธอไม่ปริปากบอกเจ้าของร้านเลยสักนิด
ในที่สุดเรื่องราวโกลาหลก็ผ่านพ้นไปด้วยดีอีกวัน หญิงสาวเดินมาที่รถอย่างเหนื่อยอ่อน วันนี้เธอคงตรวจเอกสารต่อไม่ไหว ขืนถ้าเธอยังฝืนสังขารทำต่อ แล้วเธอเกิดไม่ไหวขึ้นมาสักคน ร้านยิ่งจะแย่ไปมากกว่านี้ พอก้าวผ่านพ้นประตูร้านออกมา เธอก็เห็นใครบางคนยืนพิงกรอบประตูร้านอยู่
“เก่งดีนิ! ที่ไม่ทำให้ร้านล่ม”
“ขอบคุณ! ฉันจะคิดว่านั่นมันคือคำชม ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เคยเป็นเชฟบริหารอย่างคุณจะคิดอะไรตื้นๆ ขนาดนั้นได้ ฉันคิดว่าคุณจะมีความรับผิดชอบมากกว่านี้เสียอีก คุณเดินออกไปจากครัวในเวลางาน คุณคิดว่า… ทำถูกแล้วหรือ”
“ผมรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง แต่ที่คุณประกาศไปแบบนั้นมันหักหน้าผมชัดๆ จะให้ผมยืนอยู่และมองหน้าคนในครัวได้อย่างไร ผมเป็นเชฟที่นี่มาสามปี สร้างกำไรให้ไม่รู้เท่าไร แล้วนี่มันเกิดอะไร”
“ฉันทราบค่ะ แต่ฉันแค่ทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น”
“คุณไม่อายหรือ ที่หลายคนทำตามคำสั่งคุณ แต่พวกเขาก็มองคุณอย่างไม่เคารพ ถ้าเป็นผม… คงยืนตรงนั้นอย่างไม่ภาคภูมิใจสักนิด อีกอย่าง… ผู้บริหารอีกคนก็สั่งผมโดยตรงว่าให้สิทธิขาดงานบริหารในครัวให้ผม เพราะฉะนั้นผมกับคุณก็ยังมีสิทธิเท่าเทียมกัน หรือถ้าคุณไม่เชื่อคำพูดของผม คุณก็ถามผู้จัดการดูก็ได้”
หญิงสาวปรายหางตามองคนตรงหน้า ทำไมเธอจะไม่รู้ล่ะว่าหลายคนในครัวมองเธอด้วยสายตาแบบไหน เธอรู้ดีกว่าใครทั้งหมด แต่เธอเพียงต้องการเวลา ขอเพียงไม่นาน… แค่พอที่จะทำอะไรบางอย่างเท่านั้น เพลินวานยิ้มออกมาบางๆ
“แล้วเชฟล่ะค่ะ… ทิ้งหน้าที่ไปอย่างนี้ ละอายบ้างไหม”
“เพลินวาน!” เชฟคีตะกำหมัดแน่นเมื่อโดนเด็กเมื่อวานซืนย้อน
เพลินวานเงยหน้ามองอย่างจำยอม ทอดเสียงเรียบถามกลับไปก่อนที่อีกฝ่ายจะได้พูดอะไร
“ทำไมเราไม่มาสู้กันต่อหน้าล่ะค่ะ ทำแบบนี้มันไม่ใช่ลูกผู้ชายและตำแหน่งเชฟของคุณอีกล่ะ”
“คุณนี่ก็แปลกนะ แต่ก็ดี… ลูกบ้าเยอะดี คุณยิ้มออกมาได้อย่างไร ทั้งที่สายตาคนอื่นที่มองคุณอย่างไม่ยอมรับหลายสิบคู่ หรือว่าคุณกำลังยิ้มเยาะผมอยู่ เอาเลย… หัวเราะเยาะผมให้เต็มที่ คุณชนะแล้วนี่”
“ฉันจะยังไม่รับตำแหน่งตามที่ประกาศ จนกว่าจะพิสูจน์ให้ทุกคนยอมรับในตัวฉันให้ได้ก่อน ว่าผู้หญิงก็ทำในตำแหน่งนี้ได้ไม่แพ้ผู้ชาย”
เชฟคีตะมองหน้าเพลินวานอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง แต่คนตรงหน้าแววตามุ่งมั่นแน่วแน่ว หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ เพื่อเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นเรื่องจริง
“ขอบคุณที่ยอมรับอย่างแฟร์ๆ ”
“ต้องขอบคุณมากกว่าค่ะ ที่พูดตรงๆ แสดงออกมาตรงๆ เราจะแข่งกันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน เรามาทำเมนูพิเศษประจำเดือนกัน… มาแข่งกันทำเมนู… และมาดูว่าเมนูของใครได้ยอดขายมากกว่ากัน”
เชฟคีตะยิ้มเยาะกับความคิดโง่ๆ เหมือนขุดหลุมฝังตัวเองของเพลินวาน แค่อายุงานกับประสบการณ์ก็ห่างกับเขาหลายชั้น
“คุณอย่ามั่นใจไปหน่อยเลยว่าคุณจะชนะผมได้ ผมอยู่วงการอาหารมาก่อนคุณนับสิบปี และหลังจากที่ผมมารับตำแหน่งที่นี่ ผมสามารถเพิ่มยอดขายได้มากกว่าสามสิบเปอร์เซ็นต์ จนต้องขยายและปรับปรุงร้านเพิ่ม แต่ก็แฟร์ดี วัดกันที่ฝีมือ ไม่มีตำแหน่ง… ไม่มีพรรคพวก”
“ฉันแค่อยากให้ทุกคนยอมรับในตัวตนของฉัน ก่อนที่จะก้าวเข้ามาเป็นเชฟบริหารเท่านั้น ฉันก็คิดเหมือนคุณ มันคงจะภาคภูมิใจมากกว่า… ตำแหน่งที่โดนแต่งตั้งมาเพราะอย่างอื่น”
“ขอบใจ… ตกลงผมรับคำท้า… แล้วถ้าใครแพ้ละ”
“ร้านหรือภัตตาคารทุกที่จะต้องมีเชฟบริหารแค่คนเดียว เพื่อง่ายต่อการ ควบคุมและบริหารงาน ข้อนี้ฉันก็รู้เป็นอย่างดี ถ้าเราสองคนจะยอมรับอย่างแฟร์ๆ ”
“ได้… เมนูพิเศษประจำเดือนธันวาคม เมนูออกทุกปลายเดือนพฤศจิกายน คุณทำทันนะ”
เชฟคีตะยักคิ้วบอกเพลินวานอย่างเป็นต่อ ไม่มีทางที่ผู้หญิงอย่างเธอจะชนะ เชฟบริหารอย่างเขาที่ทำงานในวงการนี้มานับสามสิบปีได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ไปร่ำเรียนถึงเมืองนอกเมืองนาอย่างเธอก็ตาม อีกอย่างเขาก็ได้เตรียมเมนูพิเศษประจำเดือนธันวาคม ที่เขาเก็บยอดสถิติปีก่อนๆ เอาไว้แล้ว ถึงตอนนี้เขาก็แค่นั่งรอรับชัยชนะสินะ
“ทันค่ะ ฉันไปก่อนนะ เจอกันในครัวพรุ่งนี้” เพลินวานบอกเสียงเรียบและเดินจากไปทันที
ชายหนุ่มร่างสูงเกินมาตรฐานชายไทย ยืนพิงกระโปรงหน้ารถของเพลินวานด้วยรอยยิ้มเล็กๆ เขาได้ยินบทสนทนาอย่างไม่ตั้งใจ จากตอนแรกที่ตั้งใจจะออกมาแก้ไขและรับผิดชอบคำสั่ง แต่จากสถานการณ์ แต่ตอนนี้… เขาคงต้องเฉยรอดูห่างๆ ให้คนเก่งของพี่สาวจัดการไปก่อน
“กลับเร็วนะครับคุณเชฟวันนี้” ภูริชทักหญิงสาวขึ้นมาก่อน เธอยังไม่ทันสังเกตว่าเขายืนอยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ
หญิงสาวชะงักเท้าที่กำลังก้าว “นายมาทำไมที่นี่… แล้วมายืนขวางรถฉันทำไม แล้วรู้ได้อย่างไรว่าฉันเป็นเชฟ”
“บุพเพสันนิวาสมั้งครับ… ไม่น่าเชื่อว่าเราจะอยู่ใกล้กันแค่นี้ ผมหิวข้าว คุณเชฟไปทำอะไรให้ผมทานหน่อยสิ”
ชายหนุ่มเดินล้วงกระเป๋าเขามาหาหญิงสาว แววตาของเขาที่ทอประกายส่งผ่านมามันช่างแตกต่างจากอารมณ์ของเธอตอนนี้ลิบลับ เธอเหนื่อยมาก… เหนื่อยแทบไม่อยากคุยหรือแม้แต่มองหน้าใครเลยด้วยซ้ำ
หญิงสาวถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน งานบริการเธอต้องเจอลูกค้าหลายรูปแบบ แต่แม้จะไม่อยากแม้จะมองหน้า แต่เธอก็ตอบกลับอย่างสุภาพ
“อย่ามาเล่นลิ้น… ฉันเหนื่อย อยากพักผ่อนแล้ว และตอนนี้ที่ร้านก็ปิดแล้ว ขอเชิญคุณลูกค้ากลับมาใหม่พรุ่งนี้นะคะ ขอทางด้วยค่ะ”
สีหน้าคนพูดดูเหมือนเหนื่อยอ่อนอย่างที่เธอบอกจริงๆ
“ยังสักหน่อย… แต่ถ้าชวนก็ไม่ปฏิเสธนะ” ชายหนุ่มแตะลิ้นแล้วกัดริมฝีปากล่างตัวเองเบา ยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยมองปากอิ่มของเธอพร้อมกับก้าวเท้าเดินเข้าหา แต่อีกคนถอยหลังกรูพิงประตูรถ
“อย่านะ”
“ยังไม่แต่งเลย แต่ไม่เป็นไร… ทดลองอยู่ก่อนแต่งก็ได้ แต่เรื่องหย่าต้องดูฝีมือคุณก่อน” ชายหนุ่มยังแหย่ต่อ แต่อีกคนไม่สนุกด้วยถลึงตามองอย่างเอาเรื่องพร้อมกับตั้งการ์ดป้องกันตัว
“หึหึ”
ชายหนุ่มหัวเราะขำ แต่ก็ยอมเปิดทางให้เธอตามที่เธอขอแต่โดยดี เขายังคงยืนมองไฟกลมแดงท้ายรถที่พึ่งขับออกไป จนมันหายลับตาไป แล้วค่อยเดินกลับไปขึ้นรถของเขา และขับตามออกไปเช่นกัน
‘วันนี้ไม่ปากเก่งอวดดีเท่าไร ท่าทางจะเหนื่อยจริงนะแม่คนเก่ง คุณเชฟจอมโก๊ะขี้โวยวายของผม’
เธอเหนื่อย… มันเป็นสิ่งที่เขารู้ดีมากกว่าใคร แต่ที่เขาไม่รู้คือ… ทำไมเขาถึงอยากขับรถฝ่ารถติดมาตีฝีปากกวนประสาทเธอ อยากให้เธอโมโห โวยวาย เขาเกลียดผู้หญิงมากเรื่อง แต่เขากลับชอบมาหาเรื่องแหย่ให้เธอโกรธ อาย โมโห