ธนากรมองดู ก่อนบีบไหล่บุตรชาย ดีใจที่ลูกมีสติ นำตัวของภรรยาเพื่อนมาส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงที สุพจน์ลุกยืนแล้วสบตาชายหนุ่ม พีรดลชะงักเล็กน้อย
“ขอบใจมากนะพีที่ช่วยอา”
“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี”
นาฏสุรีย์เหลือบมอง ไม่ว่าสิ่งที่เขากระทำ คือความจริงใจหรือแค่ต้องการเอาหน้า ก็นับว่าเป็นบุญคุณ
“ถ้าอย่างนั้นเราเดินทางกลับกันก่อนเถอะ ไปพักที่บ้านของฉันแล้วธนา” สุพจน์บอกเพื่อเสียงแผ่ว
“ได้สิ”
ทั้งหมดมองประตูห้องฉุกเฉิน นาฏสุรีย์หวังแค่เพียงแม่จะฟื้นโดยเร็ว เธอจะไม่ทำให้แม่ต้องเสียใจอีกแล้ว ไม่ว่าแม่ต้องการอะไร ก็ยินดียอมรับ แม้ต้องทรมานแค่ไหนก็ตาม
เสียงประตูห้องพักฟื้นเปิดออก นาฏสุรีย์เดินเข้ามายืนข้างเตียงพร้อมบิดา เห็นมารดาช้อนสายตามอง รอยยิ้มดูอ่อนแรง ใบหน้าแม่ซีดราวกับไม่มีเลือดฝาด ยิ่งเห็นแม่เป็นเช่นนี้ ยิ่งทรมานหัวใจคนเป็นลูกเหลือเกิน เธอทำผิดไปแล้ว ผิดจนไม่น่าให้อภัย ดึงมือแม่มากุมไว้แล้วแนบแก้ม
“แม่คะ... นาขอโทษ” เธอบอกแม่เสียงแผ่วเบา คนเป็นแม่ยิ้มบางๆ
“แม่เองก็ผิดที่บังคับลูก แต่แม่อยากให้นาเข้าใจ ว่าแม่เอง... ก็อยากชดใช้บางอย่างให้กับครอบครัวของธนา”
หญิงสาวชะงักเล็กน้อย ไม่อยากถามอะไร ตอนนี้ขอให้แม่หายเสียก่อน เรื่องอื่นคงต้องว่ากันทีหลัง
“แม่อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยนะคะ แม่พักผ่อนก่อนเถอะค่ะ”
“จ้ะลูก”
หมอเข้ามาตรวจอาการ สองพ่อลูกเลยแยกออกมา โรงอาหารโรงพยาบาล นาฎสุรีย์สังเกตสีหน้าแววตาบิดา เห็นค่อนข้างเครียด
“พ่อมีอะไรปิดบังนาหรือเปล่าคะ” เธอถามเสียงเครียด
คนเป็นพ่ออึกอัก แล้วยิ้มออกมา
“ไม่มีอะไรหรอกลูก”
“แล้วที่แม่บอกว่าต้องการชดใช้ให้ครอบครัวอาธนา คืออะไรคะ!”
สุพจน์ระบายลมหายใจ ไม่รู้ควรบอกลูกเช่นไร เพราะเรื่องทั้งหมด มันเกิดจากความผิดของเขาเองแท้ๆ เลยทำให้ลูกต้องเจอกับสถานการณ์ยากลำบากไปด้วย แม้ตัวธนากรเองไม่ได้บังคับ แต่เขารู้ดีว่าควรผูกสัมพันธ์กันไว้ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องลำบากในภายหลัง
“บริษัทของเรากับอาธนา จะควบรวมกิจการกัน โดยอนาคตตั้งใจให้ลูกสองคนช่วยกันบริหาร”
คิ้วบางขมวดเข้าหากัน ทำไมต้องควบรวมกันด้วย แบบนี้ถ้าเกิดขัดแย้ง มันอาจกลายเป็นปัญหาในภายหลังได้
“ควบรวมทำไมคะพ่อ เราไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย!” หญิงสาวโพลงออกมา สีหน้ากังวล
“พ่อจำเป็นน่ะลูก พ่อบริหารงานผิดพลาด ทำให้เราเป็นหนี้หลายร้อยล้าน พ่อเลยจำเป็นต้องให้อาธนาช่วยเหลือเรา”
คนฟังถึงกับนิ่งงัน ราวกับถูกหินหล่นทับร่าง มันชาไปหมด ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
“มันจะได้อะไรคะ ถ้านาหมั้น”
“พ่อกลัวว่า พ่ออาจเสียบริษัทไป ถ้านาได้หมั้นแล้วแต่งกับพี อย่างไรเสียบริษัทก็ยังอยู่ในมือเรา”
หัวใจมันปวดร้าวขึ้นมา เธอกับพีรดล แทบเรียกว่าเกลียดกันได้เลย ผู้ชายคนนั้นเจ้าชู้ ที่สำคัญเขามีคนรักอยู่แล้ว เพียงแต่ปิดบังไม่ให้ใครรู้เท่านั้น
“มันไม่มีทางอื่นแล้วเหรอคะพ่อ!”
“นาคิดว่ามีไหม ในภายภาคหน้า ถ้าอาธนาไม่อยู่แล้ว เราจะยังรักษาบริษัทไว้ได้ไหม”
ริมฝีปากบางเม้มแน่น สีหน้าเผือดลง
“แม่เป็นห่วงเรื่องนี้มาก เลยทำให้เป็นแบบนี้”
นาฎสุรีย์เงียบ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรทำเช่นไร สับสนมึนงงไปหมดแล้ว มันยากทำใจ ต่อให้หมั้นกัน ก็ไม่แน่ใจเรื่องหลักประกันเลย อย่างไรหมอนั่นก็มีคนรัก ถ้าหากเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไป เธอคงซวยแน่ แต่ตนเองนั้นก็ไร้ทางเลือก เพราะอาการแม่น่าเป็นห่วง ท่านคงคิดมากเรื่องนี้ เธอต้องทนเจ็บกับเรื่องนี้งั้นเหรอ
“นาขอให้แม่หายดีก่อนนะคะพ่อ แล้วนาค่อยตัดสินใจเรื่องนี้”
สุพจน์ช้อนสายตามองบุตรสาว
“ได้ลูก เรื่องนี้พ่อเองก็ลำบากใจ ไม่อยากบังคับนาเหมือนกัน แต่แม่คงกังวลเกี่ยวกับการหมั้นหมายของลูก เลยทำให้ป่วยกะทันหันแบบนี้”
“ค่ะพ่อ”
หลังจากทานอาหารเรียบร้อย สองพ่อลูกลุกยืน เดินเคียงกันกลับเข้าห้องพักฟื้น นาฎสุรีย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความอึดอัด ต่อให้ไม่อยากหมั้นหมาย แต่คราวนี้อาจไม่มีทางเลือกมากนัก ต่อให้ต้องทนกับคำพูดของเขา ก็ยังไม่เท่ากับการสูญเสียคนสำคัญไป มันไม่มีอะไรได้ดั่งใจเสียทุกอย่าง เธอจำต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง