‘พรุ่งนี้ข้าจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย เจ้าอย่าช่วยข้านะ จงไปตามคนอื่นมา ให้พวกเขาเห็นว่าถ้าไม่ดูแลให้ดีข้าก็จากไปง่าย ๆ แบบนี้’ น้ำเสียงหวานอัดแน่นไปด้วยความประชดประชัน เนตรสีอ่อนฉายแววเจ็บปวดก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มน่าสะพรึงกลัว คนงามยังคงมั่นใจว่าชีวิตนางจะเปลี่ยนไปหลังจากการกระทำในครั้งนี้
‘เจ้าค่ะคุณหนู’ แม้จะรับปากแต่สุดท้ายคนที่กระโดดตามไปช่วยเจ้านายที่ใกล้จะขาดใจก็คือลั่วจงผินนั่นเอง นางทำตามคำสั่งของเจ้านายด้วยการไปเรียกใครมาช่วยแล้ว ทว่าไม่มีใครสักคนยอมช่วยร่างที่พยายามดิ้นรนอยู่ในผืนน้ำเลยสักนิด ผู้คนต่างจับจ้องไปยังหญิงสาวที่กำลังตะเกียกตะกายว่านางจะจมลงไปเมื่อไหร่ บางคนหัวเราะขบขัน ในขณะที่บางคนแสร้งเป็นห่วงแต่ไม่คิดจะยื่นอะไรให้รั่วหลานได้เกาะพยุงร่างไว้ จงผินไม่รู้ว่าเจ้านายจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้มากน้อยเพียงใดหากว่าไม่ทราบ…ความลับนี้บ่าวเช่นนางก็เลือกเก็บเงียบเอาไว้ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะผิดหวัง…
ทว่าคนในร่างนี้คือซูเจิน นางเข้าใจทุกอย่างที่จงผินทำให้ตลอดมา ในฐานะนักเขียนการสร้างตัวร้ายก็มีหลักการไม่มาก เช่น มีความแค้นกับตัวเอก เป็นพวกขี้อิจฉาไม่รู้จักพอหรือไม่ก็เป็นประเภทต้องการอะไรที่ไม่ใช่ของตนเอง หลี่รั่วหลานคือทั้งหมดที่ว่ามา ต่อให้มีคนที่เป็นห่วงเป็นใยอยู่ใกล้ตัวกลับมองไม่เห็น สายตาของนางจับจ้องไปไกลแสนไกลในจุดที่ตนเองมิอาจไปถึง
“ด้วยความยินดีเจ้าค่ะ” ใบหน้าซื่อ ๆ ของบ่าวประจำตัวเผยรอยยิ้มสดใส ดูเหมือนว่าจงผินจะชอบเจ้านายคนใหม่เข้าให้แล้ว
เดิมทีกระดานหมากล้อมเป็นของที่หยิบยืมมาจากหอตำรา คราแรกลั่วจงผินตั้งใจจะนำไปคืนด้วยตนเองแต่ผู้เป็นนายแจ้งว่าจะขอไปด้วย หากไปหาอะไรมาอ่านแก้เบื่อบ้างก็คงดี อย่างไรเสียวันนี้คงไม่มีโอกาสได้สนทนากับเจ้าตระกูลต่อแล้ว
“คารวะคุณหนูหลี่ แม่นางลั่ว” บ่าวชายที่คอยดูแลหอตำราแห่งนี้เป็นคนอัธยาศัยดี เขามักช่วยเหลือจงผินเสมอยามที่เห็นว่านางถูกบ่าวคนอื่นรังแก แม้ตนเองจะอ่อนแอกว่าแต่ก็เข้าไปช่วย นับว่าเป็นคนดีหนึ่งเดียวในดงคนชั่วก็ไม่ผิด
“จะว่าอะไรหรือไม่หากข้าจะขอเข้าไปเดินหาตำราอ่านสักเล่ม”
“บ่าวจะตำหนิคุณหนูได้อย่างไร หากหาอะไรไม่เจอเรียกบ่าวได้นะขอรับ” เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้มก่อนจะรับกระดานไม้ที่จงผินยกมาเข้าไปเก็บ
ร่างเล็กเดินเข้ามายังหอตำรา ที่นี่เป็นแหล่งความรู้ชั้นเลิศที่ถูกรวบรวมมาจากทุกหนแห่งในแคว้น อย่างที่รู้ว่าตระกูลเซี่ยสืบทอดตำแหน่งขุนนางใหญ่กันมาจากรุ่นสู่รุ่นในฐานะขุนนางบุ๋น ความรู้คืออาวุธหนึ่งเดียวที่มีจึงไม่แปลกที่หอตำราแห่งนี้จะกว้างใหญ่และมีตำรามากกว่าพันเล่ม
นิ้วเรียวหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมา นางพลิกอ่านช้าๆ ทั้งที่เป็นอีกโลกแต่เรื่องเล็กน้อยที่นางมิได้เขียนรายละเอียดเอาไว้ก็ยังสมจริง ตำราเหล่านี้บอกเล่าเรื่องราวของตัวมันเองได้อย่างครบถ้วน ส่วนมากเป็นสิ่งที่นางไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำ นั่นทำให้คนงามสงสัยว่านิยายเรื่อง ‘องค์หญิงของอดีตทรราช’ มีที่มาจากอะไรกันแน่ เพราะอะไรนางถึงได้เขียนเรื่องนี้ออกมากันนะ ความคิดมากมายที่ท่วมท้นราวกับได้เห็นเรื่องเหล่านี้ด้วยตนเองและถ่ายทอดมันออกมาเป็นตัวหนังสือได้อย่างสมบูรณ์แบบในยามลงมือแต่งนิยายคืออะไร ทว่าคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกคล้ายกับว่าความทรงจำเหล่านั้นขาดหายไปเสียดื้อ ๆ
ยามซวี (หนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม)
ตั้งแต่ใต้เท้าเซี่ยเข้ากรมไปก็ยังไม่มีวี่แววจะได้กลับ แม้รั่วหลานแจ้งว่าไม่ต้องรอกระนั้นจงผินก็อดไม่ได้ที่จะรอ ช่วงเวลาที่ผ่านมาพวกนางถูกบ่าวรับใช้ในจวนดูถูกไม่เว้นวัน โดยเฉพาะหญิงรับใช้คนสนิทของใต้เท้าเซี่ย คนทั้งจวนพูดกันว่านางเคยขึ้นเตียงกับเจ้านายนั่นจึงทำให้สตรีนางนั้นหยิ่งผยองและวางอำนาจบาตรใหญ่ไม่สนใครหน้าไหน มาตอนนี้ใต้เท้าเซี่ยรับปากแล้วว่าจะทำตามที่คุณหนูขอ จงผินจึงนับเวลารอเห็นใบหน้าผิดหวังของคนพวกนั้นใจแทบขาด
“คืนนี้ดวงจันทร์สวยจังเลยเจ้าค่ะ” บ่าวคนสนิทเอ่ยขณะที่กำลังเก็บสำรับอาหาร ช่วงนี้ใกล้เข้าฤดูหนาวแล้วทำให้ฟ้ามืดเร็วกว่าปกติ อากาศก็ค่อย ๆ เย็นขึ้นทีละส่วน ถึงจะลำบากเรื่องตระเตรียมฟืนไฟแต่ก็ได้เห็นดวงดาวอันงดงามบนท้องฟ้าเร็วขึ้นอีกสักหน่อย
“ดวงจันทร์...” กายบางเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า ภาพดวงจันทร์ถูกความมืดกลืนกินจนเหลือเพียงเศษเสี้ยว ทันใดนั้นโฉมสะคราญเปลี่ยนสีหน้าไปโดยพลัน นางจำบางอย่างที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ขึ้นมาได้
“จงผิน เจ้าช่วยไปแจ้งเวรยามให้ตามไปอารักขาห้องคุณชายที!” รั่วหลานออกคำสั่งก่อนจะวิ่งออกจากเรือนเล็ก
“เอ๊ะ!? แล้วนั่นคุณหนูจะไปไหนหรือเจ้าคะ” หญิงสาวยืนถือสำรับด้วยใบหน้างุนงง
“ข้าจะล่วงหน้าไปก่อน!” เวลานี้นางละเกลียดขาสั้น ๆ ของตนเองยิ่งนัก วิ่งมาได้ไม่เท่าไหร่ก็หอบจนต้องหยุดพักอีกแล้ว
‘ขอให้ทันทีเถอะ!’
หลี่รั่วหลานวิ่งมาแบบไม่คิดชีวิต นางเห็นเงาดำร่างหนึ่งกระเด็นออกมาจากห้องของคุณชายเซี่ย ไม่รู้ว่าแรงถีบนั้นรุนแรงเพียงใดแต่มันก็มากพอที่จะทำให้ผนังห้องพังเป็นรูใหญ่
ขณะที่ไม่เชื่อสายตาเจ้าของห้องก็เดินออกมาจากผนังที่พังทลายลง ร่างสูงโปร่งในชุดนอนของเซี่ยซุนเหว่ยเดินผ่านตานางไปอย่างไม่รีบร้อน ความกดดันจากร่างสูงสง่าแผ่กระจายมาถึงรั่วหลาน นางรู้สึกว่าแข้งขาที่หนักอยู่แล้วหนักขึ้นอีก ซุนเหว่ยคว้าลำคอศัตรูและออกแรงยกขึ้นเต็มความสูงจนสองเท้าของมือสังหารลอยเหนือพื้นดิน ร่างนั้นดูทุรนทุรายจากการขาดอากาศหายใจ ริมฝีปากหยักขยับเอ่ยคำพูดอะไรสักอย่างที่คนไกลอย่างรั่วหลานไม่ได้ยิน นางมั่นใจว่ามันย่อมมิใช่คำพูดที่ดีแน่เพราะมือสังหารผู้โชคร้ายคนนั้นทำสีหน้าหวาดกลัวออกมาเต็มที่
‘เอ๊ะ?’ อันที่จริงคุณชายเซี่ยในนิยายเป็นขุนนางบุ๋นที่วันๆ คลุกตัวอยู่กับตำรา กระบี่ไม่จับนารีไม่เชยชม แล้วเหตุใดคนเบื้องหน้านางตอนนี้ถึงได้ต่างออกไปจากต้นฉบับราวกับคนละคน นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ขณะที่สงสัยอยู่นั้นสัญชาตญาณของรั่วหลานทำงานดีกว่าสมอง นางรีบตะโกนให้คนเข้ามาช่วยในทันที
“นั่นอย่างไร! ตรงนั้นตามไปจับเร็วเข้า!!”
“มีคนเข้ามาทำร้ายคุณชาย!” นางตะโกนด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นอีก ถึงอย่างนั้นดูเหมือนว่าคนที่เสียสมาธิจะกลายเป็นชายหนุ่มเสียเอง
................................................................................
เอ๊ะ หรือตัวร้ายของเราจะไม่ตรงปกน๊า ขุนนางบุ๋นแบบใดน้อ
ยัยน้อง หนุไปช่วยฝ่ายไหนกันแน่ลูก