“คุณหนู เหตุใดจึงทำแบบนั้นเจ้าคะ บ่าวกลัวมากรู้หรือไม่ ฮึก” กลายเป็นว่าคนที่เสียน้ำตาคือจงผิน นางส่งผ้าซับหน้าให้ผู้เป็นนายใช้กดบาดแผลที่ยังมีเลือดซึมออกมา
“ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะเอาหน้าไปรับหรอก” ดรุณีน้อยแค่นหัวเราะให้คนข้างกายสบายใจ นางไม่คิดว่าองศาหน้าจะไปวางพอดิบพอดีกับฝ่ามือของเซี่ยไป่หานเช่นกัน
“ทั้งสองเป็นพ่อลูกกัน อย่างไรเสียเลือดย่อมเข้มกว่าน้ำอยู่แล้วนะเจ้าคะ”
“เพราะเลือดมันเข้มกว่าน้ำนี่แหละ...”
ในสายตาคนนอกพวกเขามองว่าตระกูลเซี่ยเป็นบ้านที่เข้มงวด ดังนั้นต่อให้ไป่หานจะดุด่าลูกชายมากกว่านี้มันก็เพราะความปรารถนาดีที่มีต่อทายาทโดยชอบธรรมเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ แต่เด็กสาวรู้ดีว่าทำไมผู้เป็นพ่อถึงรังเกียจบุตรชายถึงเพียงนั้น
“ถ้าเป็นไปได้ก็อยากขอโทษเขาสักครั้ง” เสียงหวานบ่นพึมพำระหว่างเดินกลับ
“ขอโทษใต้เท้าเซี่ยหรือเจ้าคะ? รอให้ท่านอารมณ์เย็นกว่านี้ก่อนน่าจะดีกว่าเจ้าค่ะ” แม้จงผินจะเพิ่งเข้ามาพร้อมกับเจ้านายได้ไม่นานแต่นางก็พอรู้ได้บ้างว่าผู้ปกครองจวนนี้มีนิสัยใจคอเช่นไร
“นั่นสินะ” คนงามรับปาก
อันที่จริงรั่วหลานไม่ได้สนใจไอ้คนใจร้ายคนนั้นแม้แต่น้อย เพียงแค่สงสารซุนเหว่ยที่ต้องมีพ่อเช่นเขา แต่เรื่องราวเหล่านี้เป็นนางที่สร้างมันขึ้นมา หากจะโทษโชคชะตาที่เขาต้องเผชิญก็คงผิดที่ตัวนางเองหาใช่ใครอื่น
ต้นยามห้าย (เวลาสามทุ่ม)
ท้องฟ้ามืดสนิทเหลือไว้เพียงความเงียบสงบของจวนกว้าง บ่าวที่เคยเดินขวักไขว่เมื่อถึงเวลาเปลี่ยนเวรยามก็กลับเข้าที่พักจนหมด มีเพียงเวรยามบางส่วนที่คอยคุ้มกันความเรียบร้อย
ดูเหมือนวันนี้เซี่ยไป่หานจะออกไปข้างนอกอีกตามเคยคงเพราะหงุดหงิดกับเรื่องเมื่อเช้า อย่างที่รู้กันว่าหลังจากเสียฮูหยินไปชายหนุ่มก็มิได้แต่งภรรยาอีก มิใช่ผูกใจรักกับคนในใจ เขาเพียงไม่ต้องการจะรักใครอีกต่อไป ทั้งที่เป็นเช่นนั้นก็ท่องราตรีเสมอมา เวลานี้คงอยู่ที่หอนางโลมสักแห่งในเมืองหลวง
วันนี้ไม่ได้มีหมอเข้ามาตรวจอาการหลี่รั่วหลานแม้แต่คนเดียว แน่นอนว่านางไม่ได้สนใจอะไร จงผินเห็นว่าเจ้านายดูเศร้าสร้อยลงไปจึงเข้าไปถามหวังว่าจะสามารถช่วยบรรเทาความทุกข์นั้นได้บ้างกระนั้นคนงามยังคงยืนกรานว่าตนไม่เป็นไรแล้วให้จงผินไปพักผ่อนเสีย นางอยากนั่งรับลมอยู่ตรงนี้อีกสักหน่อย
“น้ำค้างมาแล้ว อย่านั่งเล่นจนดึกเกินไปนะเจ้าคะ”
“เข้าใจแล้ว” โฉมสะคราญโบกมือให้พร้อมรอยยิ้มจาง
อันที่จริงรั่วหลานมิได้เจ็บปวดจากบาดแผลที่ได้รับแต่เป็นความรู้สึกผิดที่มีต่อผู้คนที่ต้องเจ็บปวดเพราะนางต่างหาก
เด็กสาวกระชับผ้าคลุมให้แน่นขึ้นก่อนออกไปเดินเตะหญ้าเล่นให้คลายกังวล โลกในนิยายเล่มนี้สมจริงจนน่าอัศจรรย์ ทั้งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวพร่างพราวหรือสายลมที่โชยอ่อนกระทบร่าง สิ่งเดียวที่ดูงดงามราวไม่มีอยู่จริงก็คงจะเป็นบุรุษเบื้องหน้า
เส้นผมสีอ่อนพลิ้วไหวตามแรงลม คนหนุ่มเป็นฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ร่างบางด้วยใบหน้าเฉยชา ชายเสื้อโปร่งยาวพลิ้วไหวตามย่างก้าวไม่เร็วไม่ช้า บรรยากาศที่โอบล้อมรอบกายเต็มไปด้วยความสงบนิ่งสมฉายา ‘กระเรียนขาว’
“เจ้าต้องการอะไร” น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถาม นี่เป็นสิ่งที่เขาสงสัยมาทั้งวัน คิดว่าหากไม่ถามให้ชัดเจนความกังวลที่มีคงไร้หนทางคลี่คลาย
“ข้าไม่ได้ต้องการอะไรเจ้าค่ะ” หลี่รั่วหลานตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แววตาของนางสงบนิ่งปราศจากความน่ารังเกียจเหมือนอย่างเคย ซุนเหว่ยอาจคิดไปเอง เขาพบเจอนางหลายครั้งแต่สตรีเบื้องหน้าตนในตอนนี้กลับกลายเป็นใครสักคนที่เขาไม่รู้จัก
“เช่นนั้นก็อย่าทำอะไรโง่ ๆ อีก” ร่างโปร่งเดินผ่านไป เขาไม่ต้องการจะเสวนากับอีกฝ่ายนานนัก หากนางไม่ต้องการอะไรก็ขอให้จบกันเพียงเท่านี้ เขาไม่ใช่คนดีพอจะมานับเรื่องไร้สาระนี่เป็นบุญคุณที่จำต้องทดแทนในสักวัน โดยเฉพาะเมื่อนางไม่เรียกร้องด้วยแล้ว
โฉมสะคราญมองแผ่นหลังกว้างเดินลับไปจนสุดสายตา บริเวณนี้ใช่ว่าจะบังเอิญเดินเจอกันได้ง่ายเสียที่ไหน ดังนั้นการพบกันเมื่อครู่ก็คงเป็นเพราะเขาตั้งใจไว้แต่แรก
สิ่งที่เขาต้องเผชิญหลังจากนี้ไม่ต่างอะไรกับด่านเคราะห์ที่ซุนเหว่ยต้องฝ่าฟัน ทว่าเมื่อเขาก้าวข้ามมันไปได้ ชายผู้นี้กลับกลายเป็นคนเลือดเย็นยิ่งกว่าคนที่ตนเองเกลียด
ขณะคิดอะไรเรื่อยเปื่อยในที่สุดสมองที่มีไว้คั่นหูของนางก็ทำงาน ตั้งแต่ติดอยู่ในร่างหลี่รั่วหลาน ซูเจินเฝ้าแต่คิดว่าหลังจากนี้ตนเองจะทำอะไรจึงจะสามารถเปลี่ยนเส้นเรื่องได้ ในตอนนี้นางพบคำตอบที่ตามหาแล้ว
เซี่ยซุนเหว่ย ขอเพียงท่านเติบโตขึ้นมาเป็นคนดีเรื่องราวเลวร้ายหลังจากนี้มันก็จะไม่เกิด
และแล้วภารกิจเปลี่ยนตอนจบของหลี่รั่วหลานก็ได้เริ่มต้นขึ้น
................................................................................
ลูกสาว หวังให้ตัวร้ายเติบโตมาเป็นคนดี อาจต้องรอพระอาทิตย์ขึ้นฝั่งตะวันตกนะ...