ตอนที่ 3 : เพราะโลกมันแคบ (เกิน)
“ไงจ๊ะ อัณจ๋า” เสียงสดใสของพี่กุ้ง หัวหน้าคลับนักแสดงที่เรียนอยู่ชั้นม.6 ทักทายฉันตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องประชุมเพื่อปรึกษาเดี่ยวกับงานแสดงในวันแม่ที่ใกล้จะถึงนี้
ที่ฉันรู้มามีแค่ว่า เรื่องที่เราจะแสดงคือเรื่อง ‘ราพันเซล’ แต่เรื่องพวกตัวละครทั้งหลาย หรือเนื้อเรื่องมันเป็นยังไง จบดีหรือจบไม่ดี อันนี้ฉันก็ยังไม่ทราบรายละเอียดอะไรเลย
ชีวิตของฉันเติบโตมาพร้อมกับพี่ชายสายบู้ ไอ้เรื่องนิทานเจ้าชายเจ้าหญิงนี่เลิกพูดไปเลย มันไม่เคยผ่านเข้ามาในความทรงจำสิบกว่าปีของฉันแม้แต่นิดเดียว
“สวัสดีค่ะ พี่กุ้ง”
ฉันทักทายประธานคลับ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ของตนเอง วันนี้เป็นวันจันทร์ซึ่งนับตั้งแต่วันนี้จนถึงวันศุกร์ในทุกๆ สัปดาห์หลังเลิกเรียน ฉันจะสามารถพาตนเองให้หลุดพ้นออกจากบ้านชายล้วนที่ฉันพักอาศัยอยู่เสียที เบื่อจริงๆ ที่ต้องถูกพี่เอ็นและพี่อินลากไปโน่นมานี่เพราะใจมันไม่แข็งพอ
การอยู่โรงเรียนประจำมันดีอย่างนี้นี่เอง
“ตกลงเรื่องนักแสดงจะเอายังไงล่ะกุ้ง เรื่องบทน่ะ ฉันเตรียมเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่เดือนก่อน เราเหลือเวลาอีกเดือนเดียวก็จะถึงวันขึ้นแสดงแล้วนะ”
พี่กัปตัน ผู้รับผิดชอบเป็นคนเขียนบทและควบคุมการแสดงหน้าดำคร่ำเครียด เขาเป็นคนที่จริงจังกับงานมากก็เลยติดจะเป็นคนเข้มงวดไปสักหน่อย แต่ที่จริงแล้วเขาก็ใจดีพอสมควรเชียวล่ะ ถ้าเทียบกับฉันแล้วน่ะนะ
“หึๆ เรื่องตัวละครเอกน่ะได้แล้ว” พี่กุ้งหัวเราะหึๆ ในลำคอ จากนั้นก็ชี้นิ้วตรงมาที่ฉันอย่างหมายมาด “อัณจะรับบทเป็นราพันเซลในงานแสดงครั้งนี้!”
“หา!” ฉันถึงกับงงจนมาดหลุด และนั่นทำให้พี่กุ้งส่งยิ้มหวานมาทางฉันมากกว่าเดิม ขณะที่รุ่นพี่คนอื่นๆ ต่างก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยซะงั้น!
“นั่นสิเนอะ! อัณออกจะดัง รับรองว่าการแสดงครั้งนี้ของเราต้องได้รับความนิยม ดังเป็นพลุแตก!” พี่กัปตันหันมาส่งยิ้มให้ฉันอีกคน แต่ฉันอยากจะบ้าตาย
ฉันแค่อยากมีความสุขกับการดำเนินชีวิตแบบเรียบง่ายไปวันๆ ก็เท่านั้นเอง ก่อนหน้านี้ที่ฉันมาสมัครเข้าชมรมเพราะเห็นเขาบอกว่าขาดพวกคนต่อสายไฟกับคุมเครื่องแสง ไหงงานนี้ฉันถึงต้องมาขึ้นแสดงด้วยเล่า!
อย่างน้อยขอเป็นตัวประกอบแบบต้นไม้หรือก้อนหินก็ได้ เอ้า!
“แต่ฉันไม่...”
“ไม่กล้าปฏิเสธใช่ไหม น้องอันนี่น่ารักจริงๆเลยนะ”
พี่กุ้งพูดแทรกทั้งๆ ที่ฉันยังไม่ทันได้พูดจบจนประโยคเลยด้วยซ้ำ แถมยิ้มหวานเหมือนนางเอกเอมวีมาให้อีก!
“แล้วบทเจ้าชาย! ฉันเล็งน้องม.5 คนหนึ่งที่เพิ่งย้ายมาใหม่เอาไว้แล้ว น้องคิมจ๊ะ เข้ามาเลยจ่ะ” น้ำเสียงหวานหยดเยิ้มของหัวหน้าชมรมทำให้ฉันเริ่มคลื่นไซ้ แต่ที่สะดุดใจฉันสุดๆ ก็คือชื่อของคนที่จะมาเล่นบทเจ้าชายต่างหาก
คิมงั้นเหรอ...คงไม่ใช่คิมคนเดียวกับที่เป็นมือขวาของคอนโทรลหรอกนะ เพราะถ้าใช่...มันคงเป็นเพราะโลกมันแคบเกินกว่าที่ฉันจะอยู่ได้!
แอ่ด...
ประตูห้องเรียนเปิดออกมาช้าๆ เผยร่างของชายคนหนึ่งที่ค่อนข้างจะคุ้นเคย แต่เพราะว่ามันคุ้มเคย ฉันเลยไม่อยากเห็นเขามากที่สุดเป็นอันดับสาม!
ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำแซมเทา นัยน์ตาสีน้ำผึ้ง และผิวสีขาวซีดเดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย
เขาส่งยิ้มให้กับทุกคนที่พากันบีบมือกันอย่างคาดหวัง ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้ฉันเป็นลำดับสุดท้าย
เชื่อแล้วล่ะว่า โลกนี้มันแคบจริงๆด้วยโว้ย!
พอจบจากการประชุม ฉันที่น่าสงสารก็ถูกพี่คิมลาก(แบบผู้ดี)ไปคุยที่ระเบียงโถงทางเดิน โดยมีสายตาอยากรู้อยากเห็นของรุ่นพี่คนอื่นๆ ในคลับมองตาทแบบตาเป็นมัน พวกเขากะพริบตาปริบๆ เตรียมเม้ากันเรียบร้อยว่าฉันกับคิมเหมือนจะรู้จักกันมาก่อนแล้ว
**! ก็แน่ล่ะสิ!
แต่…ใครจะสนล่ะ! แค่เขาโผล่มาอยู่ในโรงเรียนฉันทั้งๆ ที่มันกลางเทอมแบบนี้ ต่อให้ฉันฉลาดน้อยกว่านี้อีกนิดนึงก็คาดเดาไว้แล้วว่ามันต้องมีเบื้องหลังอะไรสักอย่าง
“พี่คิมมาทำอะไรที่นี่” ฉันถามเสียงเครียด สบตาเขาตรงๆ โดยไม่เกรงกลัวฉายา ‘สังหารเงียบ’ ที่คนเขาเลื่องลือกัน
พี่คิมมีอายุมากกว่าฉัน 1 ปี แต่ฉันกลับเรียกเขาว่าพี่ไม่ เหมือนกับที่เรียกคอนโทรลแบบห้วนๆ เมื่อก่อนฉันเคยเจอพี่คิมบ้างเป็นบางครั้ง และแค่ไม่กี่ครั้งที่เจอกัน ก็ทำให้ฉันยอมเรียกเขาว่า ‘พี่’ แบบไม่ต้องสงสัย
ฉายาสังหารเงียบ ไม่ใช่แค่ราคาคุย!
นอกจากฝีมือของเขาที่เก่งจนน่าตกใจแล้ว เขายังมีความคิดที่เด็ดขาดและเฉียบแหลม วางแผนชนิดที่ว่าทำให้ฉันยังหวั่นใจ
แต่ต่อให้เขาจะเจ้าเล่ห์แบบน่ากลัวขนาดไหน ขืนเขากล้าทำอะไรฉันสิ มีหวังงานนี้ได้ตายกันไปข้างหนึ่งแน่ๆ
“ก็พี่แค่ย้ายโรงเรียนแล้วบังเอิญมาเจอน้องอัณก็เท่านั้นเอง” พี่คิมส่งยิ้มหวานแบบที่ทำเอาสาวๆ เกือบทุกคนหลงเชื่อในใบหน้าเทพบุตรที่บริสุทธิ์นี้ได้อย่างไม่ยากเย็น
ขอย้ำว่าเกือบ เพราะในนั้นไม่มีฉันรวมอยู่ด้วย
“ไม่ต้องมาโกหกหรอกพี่คิม ถึงฉันจะไม่สนิทกับพี่ แต่ฉันก็พอรู้นิสัยของพี่มาบ้าง ไม่มีทางหรอกที่พี่จะยอมอยู่ห่างจากคอนโทรลง่ายๆ ถ้าหากว่าเขาไม่ได้สั่งมา”
“โอ้โห! น้องอัณนี่ฉลาดจริงๆเลยนะครับ สมแล้วที่เป็นควีนของแก๊ง Silver Cross”
โอย...ฉันเริ่มเอียนกับชื่อยศกับชื่อแก๊งที่พวกพี่ฉันตั้งขึ้นมาสุดๆ และนะ!
“พี่บอกความจริงฉันมาเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นจะหาว่าฉันไม่เตือน” ฉันเริ่มกดเสียงต่ำด้วยใกล้จะปะทุเหมือนกับภูเขาไฟ
“ก็ได้ๆ จริงอย่างที่น้องอัณพูดนั่นแหละ” พริบตาเดียว ใบหน้าที่เคยฉาบด้วยรอยยิ้มก็แปรเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉย แถมน้ำเสียงที่เคยสดใสก็กลายเป็นเคร่งขรึมภายในพริบตา
ตัวตนที่แท้จริงของมือสังหารได้เผยออกมาแล้ว...
“คอนโทรลสั่งให้ฉันคอยมาจับตาดูน้องอัณ เพื่อสืบให้รู้แน่ชัดว่าน้องอัณมีแฟนหรือเปล่าถึงได้ปฏิเสธเขา”
“เหอะ! ฉันไม่เชื่อหรอกว่าจะมีเหตุผลแค่นั้น ถ้าเป็นเหตุผลนั้นจริง พี่คิมคงจะไม่ยอมตกลงง่ายๆ หรอกจริงไหม เพราะมันโคตรไร้สาระเลย”
ยิ่งฉันใส่อารมณ์ พี่คิมกลับยิ่งหัวเราะเสียงดังเหมือนถูกใจ ฉันเอามือกอดอก จ้องมองดูแววตาของเขาที่พราวระยิบราวกับพอใจท่าทางของฉัน
“พี่เข้าใจแล้วล่ะ ว่าทำไมคอนโทรลถึงได้รักน้องอัณนัก น้องอัณไม่ได้ดีแค่หน้าตาหรือฝีมือ แต่ยังมีไหวพริบและฉลาดอีกด้วยนี่นา”
จะบอกว่าดีที่ฉันไม่ได้ ‘โง่’ ก็พูดออกมาตรงๆ เถอะ เพราะคำชมของเขาไม่ได้ทำให้ฉันเขินเลยสักนิด
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลยนะ ตอบฉันมา”
“อืม ในฐานะของแก๊ง Manteria มันก็ไม่แปลกที่จะมีการส่งคนมาจับตาดูแก๊งของคู่ต่อสู้นี่นา แถมพี่ยังได้มาจับตาดูคนที่สำคัญต่อคิงทั้งสองของแก๊ง มันก็น่าจะสมเหตุสมผลอยู่นะ”
เหอะ! ในที่สุดก็บอกสาเหตุที่แท้จริงมาแล้วสินะ การจับตาดูฉันซึ่งเป็นควีนของแก๊ง Silver Cross เพื่อหาจุดอ่อนนั้นเป็นภารกิจหลัก ส่วนเรื่องส่วนตัวของฉันกับคอนโทรลเป็นเพียงผลพลอยได้ก็เท่านั้นเอง
“หวังว่าพี่คงจะไม่คิดจะสู้กับฉันตอนนี้หรอกนะ” ฉันถามเสียงเครียด สายตาเหลือบไปเห็นแววตาอยากรู้อยากเห็นของพวกนักเรียนที่เดินขึ้นลงบันไดอยู่ไม่ไกลแล้วก็นึกปลงขึ้นมา
โรงเรียนมันไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมในการต่อสู้สักเท่าไร สงสารพวกเด็กตาดำๆ ที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย
“ไม่หรอก พี่ไม่เคยคิดจะสู้กับน้องอัณหรอกนะครับ” ว่าแล้วเขาก็สวมหน้ากากแห่งรอยยิ้มให้เข้าที่ดังเดิมเมื่อมีรุ่นพี่ ม.5 คนหนึ่งเดินผ่านพวกเราไป
“...ถ้าไม่จำเป็นน่ะนะ” พี่คิมพูดส่งท้ายพร้อมกับเดินจากไปเงียบๆ ทิ้งไว้แต่เพียงความเงียบของโถงทางเดินของชั้นสี่ซึ่งไม่มีห้องเรียนอยู่เลย นอกจากนักเรียนหรือครูที่ต้องเดินผ่านขึ้นไปยังชั้นบนเท่านั้น
“ถ้าไม่จำเป็นงั้นเหรอ” ฉันขมวดคิ้วเข้าหากัน เห็นทีว่าการเปิดเผยตัวของฉันที่สนามบาสฯ ครั้งนั้นจะทำให้ชีวิตของฉันไม่สงบสุขเหมือนเคยแล้วสินะ...
หลังเลิกเรียน ฉันที่ไม่มีเพื่อนก็เม้มปากครุ่นคิดอะไรอยู่ในหัวเงียบๆ เดินเอ้อระเหยออกมาจากอาคารเรียนเพื่อมุ่งหน้าตรงไปที่สวนสาธารณะ หวังว่าการมองต้นไม้ใบหญ้าจะช่วยให้จิตใจปลอดโปร่งขึ้นมาได้บ้าง
ฝีเท้าของฉันหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงดีดกีตาร์มาจากทางข้างหน้า พระอาทิตย์ที่กำลังตกดินทำให้บริเวณนี้ดูสลัวๆ แต่ฉันก็สามารถจำคนที่นั่งดีดกีตาร์สบายๆ อยู่ที่ริมทะเลสาบได้ขึ้นใจ ทั้งที่เคยเจอกันเพียงครั้งเดียว
หมอนั่น! ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วชุดนักเรียนที่เขาใส่...อย่าบอกนะว่า!
“ใครน่ะ!” เสียงดีดกีตาร์หยุดลง ก่อนที่ดวงตาสีดำสนิทจะหันมามองฉันอย่างพิจารณา โชคดีที่ด้านหลังของฉันเป็นทิศตะวันตกพอดี แสงที่ถูกบดบังเลยทำให้เขาเห็นหน้าฉันไม่ถนัด
ฮัลโหลคิตตี้ได้เซอร์ไพรสมากจริงๆ วันนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะมาโต้เถียงกับนายตัวการ์ตูนคนนี้
ฉันคิดพลางหมุนตัววิ่งจากมาทันทีโดยไม่สนใจเสียงเรียกร้องเรียกตามหลัง
แต่ทำไมอยู่ดีๆ โฮมถึงมาเรียนอยู่โรงเรียนนี้ล่ะ! นี่มันชักจะบ้าไปใหญ่แล้ว ถ้าเขาเข้าเรียนมานาน ที่ผ่านมาฉันก็ต้องเคยเจอหน้าเขาบ้างเพราะโรงเรียนนี้ก็ไม่ใช่โรงเรียนที่ใหญ่อะไร
ความโลกแคบของพี่คิมและความโลกแคบของโฮม มันบีบจนฉันอยากจะทิ้งตัวอย่างแล้วหนีไปไกลๆ สักพักหนึ่ง
‘Cause I don’t care e-e-e-e-e , I don’t care e-e-e-e-e~’
ฉันหยิบโทรศัพท์ก่อนจะกดรับมันอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันมองเบอร์ที่โทรฯ มาด้วยซ้ำ
บ้าจริง! นี่ฉันกำลังเดินหนีหมอนั่นอยู่นะ ถึงจะไม่เข้าใจว่าหนีทำไม แต่ถ้ามัวแต่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่กับที่ มีหวังโฮมคงเดินตามฉันมาทันพอดี
‘อัณ’
เฮือก! เสียงจากปลายสายทำเอาฉันแทบจะอยากตัดสายทิ้ง ถ้าไม่ติดว่าเขาร้องห้าม
‘เดี๋ยว! อย่าเพิ่งวาง’
“เฮ้อ มีอะไร” ฉันกรอกเสียงกลับไปอย่างเซ็งๆ ขาเปลี่ยนจากวิ่งมาเป็นเดินพร้อมกวาดตามองซ้ายแลขวาเผื่อว่าจะมีมุมดีๆ ให้ซ่อนตัว
‘ฉันอยู่ที่หลังโรงเรียน ออกมาเจอฉันหน่อย’
ฉันขมวดคิ้วใส่โทรศัพท์ “แล้วทำไมฉันถึงต้องไปด้วย”
‘เพราะการพบกันในครั้งนี้ ฉันจะเคลียร์ทุกอย่าง ให้จบลงอย่างที่มันควรจะเป็น!’