ฉันมองโทรศัพท์ในมืออย่างลังเล สุดท้ายก็ถอนหายใจพร้อมกับเก็บมันเข้ากระเป๋ากระโปรง นึกถึงหน้าของพี่แอนราวกับต้องการให้กำลังใจตัวเอง
จริงๆ แล้วฉันไม่ควรจะหลบหน้าหรืออะไรทั้งนั้น ฉันไม่ควรจะขี้ขลาด การเลิกกันมันจะเป็นผลก็ต่อเมื่อต่างฝ่ายต่างยอมรับการเลิก เพราะฉะนั้นฉันเองก็ควรจะไปพบกับเขาแบบเป็นทางการด้วยเหมือนกัน
ฉันมาถึงประตูด้านหลังโรงเรียนเซนต์ ฟรานซิส ตอนที่เข็มนาฬิกาบนข้อมือชี้บอกเวลา 6 โมงเย็นพอดี
พอเห็นเวลาแล้วก็แอบกังวลนิดๆ เพราะวันนี้ฉันยังไม่ได้ทำการบ้านอะไรเลยสักวิชา
แต่ช่างเถอะ การสนทนาระหว่างฉันกับคอนโทรลคงจะไม่ยาวนานสักเท่าไหร่หรอก เนอะ?
“มาแล้วเหรอ”
เงาตะคุ่มของผู้ชายร่างสูงในชุดนักเรียนเครื่องแบบโรงเรียนราชันกาล กำลังยืนกอดอก ใช้หลังพิงกำแพงประตูโรงเรียนที่เปิดเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ไม่ต้องเห็นหน้าชัดๆ ฉันก็รู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นใคร
“ฉันแค่ต้องการยุติเรื่องทุกอย่างให้จบลงจริงๆ ก็เท่านั้น แต่ก่อนอื่น ฉันขอถามอะไรนายสักหน่อย” ฉันพูดโดยไม่ขยับตัว ตั้งแต่ทิ้งระยะห่างกับเขาประมาณสิบก้าวได้ แต่นั่นก็ถือว่าใกล้เกินพอแล้ว ถึงจะต้องออกแนวตะโกนหน่อยๆ ก็เถอะ
ส่วนใหญ่นักเรียนทยอยกลับหอกันไปหมดแล้ว ประตูโรงเรียนทางฝั่งนี้ก็ไม่ใช่ฝั่งที่คนชอบใช้กันเพราะถนนใหญ่ที่มีพวกร้านคาเฟ่กับร้านอาหารมันจะเป็นทางออกอีกฝั่งหนึ่งมากกว่า
“ว่ามาสิ” เขาทิ้งมือที่กอดอกไว้ข้างลำตัว สายตาจับจ้องฉันอย่างลึกซึ้ง ชวนให้รู้สึกหวั่นใจพิกล
“นายส่งพี่คิมมาคอยฉวยโอกาสเล่นงานฉัน เผื่อจะใช้ฉันในการต่อรอง และกดดันพวกพี่เอ็นใช่ไหม” ฉันถามเสียงเรียบ น้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์
“ไม่หรอก” เขากระตุกยิ้มด้วยแววตาหม่นหมอง “นั่นมันก็แค่...ข้ออ้างที่ฉันคิดขึ้นมาเพื่อเหนี่ยวรั้งเธออย่างที่สุดในตอนนี้ก็เท่านั้น”
หัวใจของฉันกระตุกวูบหนึ่ง “พอที! นายต้องการอะไรกันแน่คอนโทรล ฉันไม่เข้าใจความคิดของนายเลยจริงๆ!”
ฉันตวาดใส่เขาอย่างโมโห ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงทำตัวเป็นห่วงเป็นใยฉันนัก ทั้งๆ ที่สมัยก่อนเขาเป็นฝ่าย...ไม่ไยดีฉันก่อนแท้ๆ
ช่างเถอะ! เรื่องมันเป็นแค่อดีตไปแล้ว
“เธอยังไม่เข้าใจอีกเหรอ” คอนโทรลสาวเท้าเข้ามาใกล้ ผมสีดำแซมเทาของเขาปลิวสะบัดไปตามแรงลมพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำหอมยี่ห้อแพงที่เขาใช้เป็นประจำ แต่สิ่งเหล่านี้กลับทำให้ฉันฉุนมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ
“ไม่รู้! แล้วก็ไม่อยากจะเข้าใจอะไรทั้งนั้น!” ฉันตะโกนใส่หน้าเขาก่อนจะพุ่งหมัดไปสุดแรงเกิด แต่เขากลับจับมันไว้ได้
แล้วพอฉันเตรียมจะชกด้วยมืออีกข้าง เขาก็เอื้อมมือมาจับมันเอาไว้อีก
“เธอต้องรู้จักฟังคนอื่นซะบ้างนะอัณ!” คอนโทรลกดเสียงเข้ม เป็นสัญญาเตือนถึงอารมณ์ที่ไม่ค่อยคงที่ และกว่าฉันจะรู้ตัว เขาก็ดันร่างฉันไปจนชิดกำแพง แล้วเอาตัวเข้าแทรกเข้ามาคร่อมทับ ขายาวล็อกระหว่างเรียวขานอกกระโปรง ปิดโอกาสไม่ให้ฉันยกขาขึ้นมาเตะ
บ้าจริง! ถูกเขารู้ทันจนได้!
ฉันดิ้นไปมาพลางถลึงตามองเขาอย่างเอาเรื่อง
“ตอนนี้ชีวิตของเธอกำลังจะตกอยู่ในอันตราย อย่าว่าแต่แก๊งของฉันเลย ไม่ว่าจะเป็นแก๊งไหนที่รู้จักชื่อเสียงของแก๊ง Silver Cross ก็ล้วนหมายหัวเธอด้วยกันทั้งนั้น ฉันอยากให้เธอระวังตัว” เสียงทุ้มจริงจังกระซิบลงที่ข้างใบหูพร้อมกับลมหายใจร้อนผ่าว
ฉันหยุดดิ้นทันทีเมื่อได้ฟังคำพูดของเขา เขาพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?
“มันเรื่องอะไรกันแน่”
“ในวันนั้นที่พวกแก๊ง Silver Cross ได้เปิดตัวควีน มีหลายต่อหลายแก๊งรู้ข่าวเพราะพวกมันมีสายสืบเข้าไปแฝงอยู่ทุกที่ อัณ ดังนั้นถ้าหากว่าเธอไม่พร้อม ก็ถอนตัวออกไปจากวงการนี้ซะ”
ฉันกำมือแน่นพลางกัดฟันกรอด “นายคิดว่าฉันขี้ขลาดนักหรือไง!”
เขาถอนหายใจ “เปล่า แต่ฉันเป็นห่วงเธอ”
“...”
“อัณ ฉันขอโทษกับเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด ที่ฉันทำไปมันมีเหตุผล แต่มันยังไม่ถึงเวลาที่ฉันต้องอธิบายทุกอย่างให้ฟัง แต่พวกเรา...กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหม” น้ำเสียงอ้อนวอนและแววตาแน่วแน่ของเขาทำให้ฉันรู้สึกลังเลขึ้นมาครู่หนึ่ง
เมื่อก่อน นายคอนโทรลน่ะขึ้นชื่อว่าเป็นคาสโนว่าชื่อดังที่ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า แต่หลังจากที่เขามาคบกับฉันแล้ว เขาก็ไม่เคยไปยุ่งกับผู้หญิงคนไหนอีกเลย
อันนี้ฉันจริงจังนะ เพราะถ้าเขาแอบๆ ซ่อนๆ ด้วยฐานะของเขาแล้ว ต่อให้มีมูลแค่นิดเดียวต้องมีข่าวหลุดออกมาอยู่แล้ว
หรือว่า...ฉันควรจะเชื่อเขา?
ความหวั่นไหวที่ไม่ควรเกิดขึ้น ทำให้ริมฝีปากของฉันสั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่
“คอนโทรล” ฉันกระซิบเสียงเบาเมื่อพบว่าใบหน้าหล่อเหลาเริ่มโน้มเข้ามาใกล้ ดวงตาสีเทาที่ทรงเสน่ห์ดั่งโซ่ที่ตรึงไม่ให้ฉันขยับหนี
แต่ยังไม่ทันที่เราจะสัมผัสโดนกัน เสียงปริศนาของใครบางคนก็ดังขัดจังหวะขึ้นมาอย่างพอดิบพอดี
“นี่พวกเธอกำลังทำอะไรกันน่ะ!”
ฉันรีบผลักอกแกร่งของคอนโทรลออกตามสัญชาตญาณ อึ้งนิดหน่อยที่หน้าอกของเขาแน่นกว่าที่เคยจำได้ในความทรงจำ แต่ก็ต้องรีบสะบัดหน้าแรงๆ
เมื่อกี้ถ้าไม่ได้โฮมเรียกไว้ละก็ ฉันอาจจะใจอ่อนยอมคืนดีกับคอนโทรลไปแล้วก็ได้
ซึ่งการตัดสินใจแบบนั้น มันอาจจะ...เร็วเกินไป!
“โธ่เว้ย!” คอนโทรลสบถอย่างโมโห ขณะที่ฉันเหลือบมองดูนาฬิกาข้อมือของตนเอง
สองทุ่ม! ดึกป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย หอมันปิดตอนสามทุ่มครึ่งนี่นา การบ้านก็ยังไม่ได้ทำด้วย!!
ฉันเงยหน้าสบตาคอนโทรลครู่หนึ่ง ก่อนจะวิ่งตรงไปยังหอหญิงทันทีโดยมีเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งดังตามมาติดๆ
ยะ...อย่าบอกนะว่า หมอนั่นวิ่งตามมา!
“นี่เธอ! หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ เป็นสาวเป็นนางริอ่านไปเรียกผู้ชายมาจูบกันตอนค่ำๆ มืดๆ แบบนี้เนี้ยนะ!” เสียงโวยวายของคนที่เคยตราหน้าฉันว่าเป็นหัวขโมย แต่ตอนนี้คงกลายเป็นผู้หญิงใจง่ายทำให้ฉันอยากจะร้องตะโกนออกมา
ดีที่ตอนนี้มืดแล้ว ฉันยังไม่อยากให้เขาเห็นหน้าฉันตอนนี้ ไม่อย่างนั้นเขาต้องเอาเรื่องนี้ไปฟ้องพี่เอ็นกับพี่อินแน่!
นี่ฉันเคยไปทำกรรมอะไรกับเขากันแน่เนี้ย!
“บอกให้หยุดยังไงล่ะ ในฐานะผู้คุมกฎ ฉันสั่งให้เธอหยุดเดี๋ยวนี้!”
“หยุดก็โง่สิวะ ฉันไม่ใช่นักเรียนชายที่ต้องเชื่อฟังคำสั่งของนายสักหน่อย!” ฉันตะโกนกลับไปอย่างอัดอั้น ก่อนจะเร่งฝีเท้า และด้วยที่ว่า เดิมทีฉันเก่งด้านกีฬาอยู่แล้ว การวิ่งไปถึงหอหญิงเลยเป็นเรื่องจิ๊บๆ เพราะผู้ชายไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้
พอวางแผนในใจอยู่ดีๆ เงาร่างสูงโปร่งก็พุ่งตัวผ่านหน้าฉันไปกางแขนกางขาดักรออยู่ด้านหน้า ฉันผงะพร้อมกับหยุดฝีเท้าด้วยความตกใจ พอได้สติก็รีบหมุนตัวไปทางซ้ายแล้วออกตัวโกยต่อ
ไม่ได้! จะปล่อยให้จับได้ไม่ได้เป็นอันขาด!
ตึกๆๆๆ!
ฉันวิ่งขึ้นบันไดชั้นสองของตึกที่อยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็อาศัยที่ตัวเล็กกว่าพุ่งเข้าไปหลบอยู่หลังเสาเพื่อสังเกตดูคนที่วิ่งตามหลังมาติดๆ
“ฟู่...ฟู่...” ฉันผ่อนลมหายใจให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะกลั้นหายใจเมื่อเห็นโฮมเดินอาดๆ ขึ้นบันไดมาพร้อมกับหันซ้ายหันขวา พอไม่เจอใครก็เอามือกุมหัวอย่างอารมณ์เสีย
หัวใจดวงน้อยๆ ของฉันเต้นโครมครามอย่างลุ้นระทึก เมื่อเห็นว่าเขาเดินวนไปมาอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นก็ทำหน้าเหมือนกับว่าถอดใจ หมุนตัวเดินลงไปทางบันไดตัวเดิม
เขาน่าจะกลับไปหอพักชายแล้วมั้ง ใกล้จะถึงเวลาปิดหอแล้ว
ยืนนับหนึ่งถึงยี่สิบอยู่ในใจ พอเห็นว่าทางสะดวกก็ค่อยๆ ออกมาจากที่ซ่อนตัว
ฮึ่ย! ถ้าไม่ใช่เพราะไม่อยากให้พวกพี่ชายรู้เรื่องระหว่างฉันกับคอนโทรล บอกเลยว่าฉันไม่ปล่อยให้เขาไล่ต้อนจนต้องวิ่งหนีเหมือนคนมีความผิดแบบนี้หรอก คิดแล้วเจ็บใจชะมัด!
ในระหว่างที่ก่นด่าอยู่นั่นเอง อยู่ดีๆ ก็มีคนเอื้อมมือมาปิดปากฉันจากด้านหลังโดยไม่ทันตั้งตัว
หมับ!
ฉันเบิกตาโพลง พยายามดิ้นสลัดให้หลุดเพื่อตั้งใจจะมองว่าคนที่โจมตีเป็นใคร
หรือที่คอนโทรลเตือนฉันไว้จะไม่ใช่แค่คำขู่? มีคนต้องการทำร้ายควีนแค่ในชื่ออย่างฉันจริงๆ น่ะเหรอ?!
ฉันกัดฟันกรอดเมื่อลูกเตะของฉันถูกอีกฝ่ายหลบได้ทั้งหมด มิหนำซ้ำ เขายังเบียดกายเข้ามาชิดจนฉันสัมผัสถึงศีรษะของตนเองที่บี้ทับแนบลงกับอกแกร่ง
คนที่ลงมือเป็นผู้ชายที่ตัวสูง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางที่หัวของฉันจะสูงถึงแค่อกของเขา
นี่ถ้ามีใครมาเห็นเข้า พวกเขาคงคิดว่าฉันกำลังกอดกับผู้ชายแปลกหน้าอยู่แน่ๆ!
ตึกตักๆ...
เสียงหัวใจของฉันกับผู้ชายแปลกหน้าที่เต้นกระหน่ำเร็วแทบจะประสานเป็นจังหวะเดียวกัน แข่งกันหัวใจเต้นแรงแบบนี้ทำให้ฉันทั้งโกรธทั้งขนลุกจนคิดอะไรไม่ออก
การถูกกอดที่น่าอึดอัด กลับมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เหมือนสบู่ของเด็กเจืออยู่ เรือนผมที่ปัดอยู่ข้างใบหูชวนให้จั๊กจี้จนฉันดิ้นแรงมากกว่าเดิม
นี่มันอะไรกันเนี้ย!!
“ฉันไม่ปล่อยให้เหยื่อของฉันหนีไปง่ายๆ หรอกนะ! บอกชื่อของเธอมา” เสียงเข้มที่กระซิบข้างหูทำให้ฉันถึงกับหยุดดิ้น
เสียงนี้...เป็นเสียงของโฮมไม่ผิดแน่ แต่ไม่ใช่ว่าเขาเดินกลับหอไปแล้วหรอกเหรอ!
“อ่อยอืออ่อนสิ แอ้วอั้นอะออก” ฉันข่มเสียงของตนเองไม่ให้เหมือนกับเสียงตวาด ส่วนโฮมก็ดูเหมือนจะฟังออกว่าฉันกำลังพูดอะไร เขาถึงปล่อยมือออกอย่างว่าง่าย
“ฉันชื่อ...” ตอบด้วยน้ำเสียงงึมงำเบาๆ แบบชนิดที่เรียกว่ามันแทบจะกลืนหายเข้าไปใจลำคอ
“ชื่ออะไรนะ!” โฮมโค้งตัวพร้อมกับเอียงใบหูของเข้ามาใกล้ฉันเรื่อยๆ เพราะไม่ยินไม่ชัด ก็แน่ล่ะ...ฉันต้องการให้มันเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว
“ฉันชื่อ...”
โป๊ก!
“โอ้ย!!”
ฉันฉวยจังหวะนี้กระทุ้งศอกเข้าไปที่อกของโฮมเต็มแรง ความเจ็บทำให้ปล่อยมือที่กัดตัวฉันไว้ และเมื่อได้รับอิสระ ฉันก็ไม่ลังเลสักนิดที่จะวิ่งลงบันไดไปด้วยความเร็วสูง ชนิดที่ว่าทิ้งไว้แต่ฝุ่นให้ดูต่างหน้าเลยก็ว่าได้
“แฮ่กๆๆ” ฉันวิ่งลงบันไดมาเสร็จก็เห็นเงาไวๆ ติดตามมาทางด้านหลัง ดังนั้นจึงรีบหลบไปหลังกองกระดาษลังที่ไม่ได้ใช้ซึ่งค่อนข้างใหญ่ พอเห็นเงาไวๆ ของโฮมวิ่งผ่านไป ฉันก็ถึงกับกลั้นหายใจเพราะความคาดไม่ถึง
นี่เขาวิ่งเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?
ฉันกลืนน้ำลาย มองไล่ร่างสูงที่เดินไปจนลับตา ก่อนจะเบือนสายตาไปมองวิวทิวทัศน์รอบๆ ตึกเก่าที่มืดสลัว ตึกนี้ไม่ได้ใช้งานมานานแล้ว เห็นว่าอีกไม่นานจะมีการทุบเพื่อสร้างศูนย์วิจัยอะไรสักอย่างหนึ่งแทน
แต่แล้วความคิดของฉันก็สะดุดลง เมื่อสายตาปะทะเข้ากับดวงตาสีน้ำผึ้งของใครบางคนเข้าพอดี
“พี่คิม!”
เขามาทำอะไรที่นี่ แล้วซ่อนอยู่ข้างหลังฉันมานานแค่ไหน!
ถ้าไม่ใช่ว่าฉันรู้ว่าเขาคือพี่คิม ฉันคงคิดว่าเจอผีในตึกเก่าไปแล้ว บรรยากาศมันก็ช่างวังเวงแบบเป็นใจเสียด้วย!
พี่คิมส่งยิ้มสุภาพให้ฉันตามแบบฉบับของเขา แต่นั่นกลับทำให้ขนทั่วร่างของฉันลุกชันขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกัน
ไม่สิ... บางทีถ้าเจอผีอาจจะดีซะกว่า
ปีศาจร้ายตัวนี้ เขาคิดจะทำอะไรกับฉันกันแน่!