ทว่าพอเดินออกมาปุ๊บ ฉันก็พบว่ามีใครบางคนยืนดักรออยู่ก่อนแล้ว
ที่จริงก็ไม่อยากจะเสวนากับเขานักหรอก แต่เพราะบางสิ่งบางอย่างมันเตะตาเข้าอย่างจัง เลยอดไม่ได้ที่จะพูดออกไป
“นี่หน้านายไปโดนอะไรมา”
โฮมมีรอยช้ำที่แก้ม แถมปากสีหวานเหมือนขนมมาการองสีชมพูยังแตก คอเสื้อย้วยย่นดูไม่เรียบร้อย ทั้งที่ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เขายังมีใบหน้าลูกครึ่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเทพบุตรแท้ๆ
ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันแสดงสีหน้าอย่างไรออกไป หมอนั่นถึงได้คลำบริเวณบาดแผล ถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจ
“มันดูแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ก็...เอ่อ” เขายังหล่อเหลาเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่เหมือนพระเอกภาพยนต์แอ็กชันที่เพิ่งผ่านสมรภูมิรบมา
“...” เขานิ่งรอฟังคำตอบของฉันอย่างใจจดใจจ่อ สายตาของเขาดูจริงจังจนทำให้รู้สึกกดดันขึ้นมา
ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะหายอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาเฉยๆ มันแปลกเกินไปแล้ว
“ช่างเถอะ ว่าแต่นายมาที่นี่ทำไม ไม่ไปรีบทำแผลเดี๋ยวก็เป็นแผลเป็นหรอก”
โฮมถอนหายใจแล้วส่ายหน้า “ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ มากับฉันหน่อย”
ไม่รอให้ฉันตอบตกลงหรือปฏิเสธ หมอนั่นก็เอามือมาจับแขนฉัน และดึงตัวฉันออกจากหน้าโรงยิมไปยังที่ๆ ไร้ซึ่งผู้คน
และสถานที่ที่เขาเลือก ก็คือซอกอาคาร =_=;;
เลือกสถานที่ได้ดีมาก ถ้ามีคนมาเห็น ฉันที่เพิ่งมีข่าวกับพี่คิมคงกลายเป็นนางวันทองสองใจแน่
“ตกลงว่ามีอะไร” ข่มเสียงให้เรียบเฉยโดยพยายามไม่นึกถึงเหตุการณ์ความใกล้ชิดที่เคยอยู่กับเขาแบบสองต่อสองในห้องเรียน
“เธอเป็นแฟนกับคอนโทรลเหรอ”
โอ้โห! ถามได้ตรงประเด็นแบบไม่เกรงใจกันมากๆ
“อดีต ก่อนที่ฉันจะมาเป็นควีน” ฉันตอบกลับไปตามความเป็นจริง เรื่องมาถึงขนาดนี้ ต่อให้ปฏิเสธไปก็ไม่มีประโยชน์
“แสดงว่า พอเธอมาเป็นควีน เขาก็เลยมาง้อเธองั้นเหรอ”
เอาเข้าไป คำถามแต่ล่ะอัน จี้ใจดำชะมัด
“คงงั้นมั้ง แต่ฉันไม่คิดจะกลับมาคบเขาหรอก แล้วนายอยากรู้เรื่องนี้ไปทำไม จะไปรายงานพี่ๆ ของฉันเหรอ” ถามพลางก้าวถอยไปข้างหลังเพราะอยู่ๆ นายโฮมก็สาวเท้าเข้ามาหา ซอกนี้แต่เดิมก็แคบอยู่แล้ว พอเขายิ่งเข้ามาใกล้ก็ปิดบังแสงอาทิตย์ยามเย็น เกิดเป็นเงาขนาดใหญ่ทาบทับลงบนตัวฉันที่เตี้ยกว่า
“นี่เธอเดินหนีฉันทำไม”
“ละ...แล้วนายจะเดินเข้ามาใกล้ฉันทำไมล่ะ”
“...”
“...”
เราจ้องตากันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ต่างฝ่ายจะเบือนหน้าหนีโดยอัตโนมัติ
ทำไมพอเห็นหน้าที่ถูกต่อยของเขาแล้ว หน้าฉันถึงได้รู้สึกร้อนๆ ขึ้นมา หรือฉันจะเป็นพวกโรคจิต ชอบเห็นหน้าคนเจ็บ? ถึงเขาจะเป็นคนเจ็บที่หล่อเหลาก็เถอะ
“แอะแฮ่ม! ฉันไม่ได้จะไปรายงานคิงหรอก ไว้ใจได้ แต่ในทางกลับกัน เธอต้องยอมให้ฉันเป็นบอร์ดี้การ์ดของเธอ ตกลงไหม”
โถ่ นึกว่าเขาจะยอมปิดปากเงียบๆ แต่โดยดี ที่แท้ก็เอามาเป็นข้อแม้เพื่อต่อรองกับฉันนี่เอง
ถ้าให้ชั่งน้ำหนักระหว่างให้พวกพี่เอ็นรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับคอนโทรล กับปล่อยให้นายโฮมเป็นบอร์ดี้การ์ด เอาจริงๆ มันก็ไม่ดีทั้งคู่แหละ แต่ถ้าต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง...
“ก็ได้ แต่นายคงไม่ต้องตามฉันตลอดเวลาหรอกมั้ง เราอยู่โรงเรียนนะ”
“เรื่องนั้นฉันจะตัดสินใจเอง” โฮมพูดเองเสร็จสรรพ ฉันขอถามอีกเรื่องนึงได้ไหม”
“ว่ามาสิ แล้วก็ถอยห่างจากฉันด้วย ไม่ต้องเข้ามาใกล้นักก็ได้”
ผู้ชายตัวสูงคนนี้ทำเป็นหูทวนลม เขาไม่ขยับตัวออกแต่กลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม
“ผู้ชายที่ยืนอยู่กับเธอ ตอนอยู่ในยิม เขาเป็นใคร” ไม่พูดเปล่า หมอนั่นกลับเท้ามือลงบนกำแพงข้างใบหูของฉัน นัยน์ตาสีเข้มจ้องมองมาอย่างกดดันและคาดคั้นคำตอบ ทั้งที่ฉันก็ไม่ได้คิดจะโกหกอะไรเขาอยู่แล้วแม้แต่คำเดียว
“นายไม่รู้จักเขาเหรอ?” ฉันถามอย่างแปลกใจ เพราะก่อนหน้านี้ที่เขาได้เจอคอนโทรล เขายังร่ายประวัติคร่าวๆ ของคอนโทรลได้
โฮมส่ายหน้า ดวงตาที่ใสซื่อที่อยู่ในระยะใกล้ทำให้ฉันรู้สึกอับจนด้วยคำพูด มันใสกระจ่างจนชวนให้นึกถึงคืนเดือนมืดที่สามารถเห็นดวงดาวพริบพราวได้อย่างแจ่มชัด
ฉันมองเงาสะท้อนของตนเองในดวงตาคู่สวย กลืนน้ำลายพลางตอบเบาๆ
“เขาคือพี่คิม อายุน่าจะพอๆ กับนายล่ะมั้ง”
“แล้วทำไมถึงเรียกหมอนั่นว่าพี่ ทีฉันไม่เห็นจะเรียกแบบนั้นบ้าง”
“เพราะพี่คิมโหดกว่านาย” ฉันตอบกลับแบบรวดเร็วชนิดที่ไม่ต้องเสียเวลาคิด “เขาเป็นมือขวาของคอนโทรลที่ถูกส่งมาจับตาดูฉัน คงหวังจะหาโอกาสใช้ฉันเป็นจุดอ่อนเพื่อเล่นงานพวกพี่เอ็นอีกทอดหนึ่ง”
แน่นอนว่าประโยคหลังมันเป็นสิ่งที่ฉันวิเคราะห์เอาเอง แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความคิดของนายโฮมมันเป็นยังไง
เราทั้งคู่ต่างจ้องตากันอยู่เนิ่นนาน จนฉันได้ยินแม้แต่เสียงหัวใจที่เต้นถี่รวนขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
พระอาทิตย์จวนจะตกแล้ว จุดที่พวกเรายืนอยู่ก็เลยมืดลงเรื่อยๆ จนฉันมองเห็นสีหน้าของเขาไม่ชัด
“แอะแฮ่ม” ฉันกระแอมขึ้นมาเพราะบรรยากาศระหว่างพวกเรามันเริ่มแปลกๆ “ฉันว่า...นายรีบๆ ไปทำแผลดีกว่า”
พอฉันพูดแบบนั้น เขากลับเงียบ
เงียบทำไม เงียบแบบนี้หมายความว่าไง?
ถึงฉันอยากจะถาม แต่ริมฝีปากกลับไม่ขยับ อีกทั้งยังก้มหน้างุดหลบสายตาของเขาอีกต่างหาก
“รีบๆ ทำแผลซะสิ”
ฉันพูดขึ้นเมื่อพวกเราสองคนมาถึงห้องปฐมพยาบาล และเหตุผลที่ฉันต้องมากับหมอนี่อย่างช่วยไม่ได้ก็เป็นเพราะ...
‘ฉันมีหน้าที่ต้องดูแลเธอ ถ้าเธอไม่ไปฉันก็ไปไม่ได้’
เฮ้อ! รู้งี้ฉันน่าจะปล่อยให้หน้าหมอนี่หน้าเละไปซะ แต่ก็อีกนั่นแหละ...ที่เขาได้แผลก็เพราะมีเรื่องชกต่อยกับคอนโทรล หลักๆ ก็เพราะมีฉันเป็นต้นเหตุ และฉันก็ไม่เลือดเย็นพอที่จะปล่อยให้หน้าหล่อๆ ต้องมาเสียโฉมเพราะตัวเองอยู่ดี
“ห้องนี้ไม่มีกระจก ฉันจะเห็นแผลตัวเองได้ยังไง” โฮมตอบกลับหน้าตายจนชวนให้ถอนหายใจเฮือก ฉันเอามือปัดกางเกงวอร์มที่ยังไม่เปลี่ยนหลังจากยิงธนูในโรงยิมแล้วเดินตรงไปที่ประตู
“จะไปไหนน่ะ” โฮม
“ก็ไปตามครูพยาบาลมาทำแผลให้นายน่ะสิ ถามได้”
“นี่ยัยหัวขโมย ตอนนี้มันเลิกเรียนแล้วนะ ครูพยาบาลน่ะ ป่านนี้กลับบ้านไปถึงเลี้ยงลูกถึงไหนต่อไหนแล้ว”
“แล้วนายจะเอายังไง ฉันไม่ทำแผลให้นายหรอกนะ” ฉันพูดปฏิเสธดักทางไว้ก่อน
“ฉันก็ไม่คิดสั้นถึงขนาดให้เธอมาทำให้หรอก”
ดูมันพูด =__=!!
“ฉันจะเปิดกล้องมือถือ เธอช่วยถือให้ฉันในระหว่างทำแผลแล้วกัน” เขาเสนอก่อนจะหยิบมือถือตัวเองออกมา “...แบ็ตหมด”
ทันใดนั้น สายตาของโฮมก็เหลือบมามองฉันอย่างมีความหวัง
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว” เพราะคำว่า ‘คิดสั้น’ มันช่างกวนประสาท จนฉันอยากจะกวนประสาทเขากลับบ้าน “ฉันจะทำแผลให้นายเอง อยู่เฉยๆ ก็แล้วกัน”
พอฉันพูดจบ อีกฝ่ายก็ทำหน้าช็อกเหมือนเห็นผี
“คนมือหนักอย่างเธอ...”
ฉันเมินต่อคำพูดของเขาเหมือนคนหูหนวก เดินไปฉวยสำลีที่ชุ่มไปด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อจากมือใหญ่กร้าน อีกมือหนึ่งลากเก้าอี้มานั่งตรงข้ามกับเตียงที่เขานั่งอยู่ จากนั้นก็เริ่มละเลง... เอ้ย! ทายาให้ทันที
จึกๆๆๆ
“โอ้ย! เบาๆหน่อยได้ไหมมันแสบ เอาสำลีคืนมาเดี๋ยวนี้เลย!” หมอนั่นโวยวายยกใหญ่เมื่อฉันเจตนากดสำลีไปที่ปากของเขาแรงๆ! ด้วยความหมั่นไส้
“อะไรกัน เป็นลูกผู้ชายซะเปล่า แค่นี้ก็ร้องอีดโอย”
ฉันล้อพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ อย่างนึกสนุก แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อยู่ดีๆ โฮมก็มองหน้าฉันแล้วหุบปากเงียบไปเฉยๆ พอฉันสบตาเขาเป็นเชิงถาม อีกฝ่ายกลับเบนหน้าหนีซะงั้น
สงสัยจะกลัวว่า ถ้าขืนเถียงกับฉันต่อก็จะไม่มีใครทำแผลให้เขาต่อล่ะมั้ง
คิดพลางนั่งทำแผลให้โฮมต่อโดยไม่พูดอะไร ฉันไม่ใช่คนที่ชวนคุยเก่งหรือชอบเข้าสังคมเท่าไหร่ แถมเราก็ไม่ได้สนิทกันถึงขั้นที่จะถามเรื่องส่วนตัว
ซ่า...
ฉันหันขวับไปที่หน้าต่างก็พบว่าท้องฟ้ามืดครื้มและมีฝนตกโปรยปราย จากเดิมที่เวลาโพล้เพล้ค่อนข้างมืดอยู่แล้ว คราวนี้มันมืดสนิทเหมือนตอนค่ำเลยทีเดียว
“ขอถามอะไรนายหน่อยสิ” ในที่สุดฉันก็ชวนหมอนั่นคุยจนได้
“อืม” โฮมตอบสั้นๆ
“นายตามจีบโมมานานแล้วหรือยัง”
“...”
เงียบกริบ...
เขาเงียบไปนานจนฉันคิดว่าคงไม่ได้รับคำตอบซะแล้ว พอทำแผลเสร็จ ฉันก็ลุกขึ้นยืน เตรียมเดินหันหลังไปล้างมือทำความสะอาด เสียงของเขาก็ดังขึ้นช้าๆ
“ประมาณเดือนสองเดือนได้ล่ะมั้ง”
อืม... น้อยกว่าที่คอนโทรลตามจีบฉันซะอีกนะเนี้ย
“...”
“แต่สงสัยฉันคงไม่ทุ่มเทเท่าที่ควร โมก็เลยมองข้ามฉันไป”
ฉันนิ่งไปพักหนึ่ง สายตาเหม่อมองสายฝนที่ไหลผ่านบานหน้าต่างอย่างเอื่อยๆ แสงไฟภายในห้องปฐมพยายามสว่างมากจนทำให้ฉันมองเห็นเงาสะท้อนของตนเองบนบานหน้าต่าง
“ไม่หรอก เรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่ที่ใจ ไม่ว่านายจะทำยังไงก็ตาม ถ้าเขาไม่ใช่ของเรา เขาก็ไม่ใช่ของเราวันยังค่ำนั่นแหละ”
ฉันเหลือบมองเงาสะท้อนของโฮมบนหน้าต่างบ้าง เห็นว่าร่างสูงโปร่งที่อยู่บนเตียงนั่งนิ่ง สายตาที่จับจ้องแผ่นหลังของฉันดูเหม่อลอย
“ไม่ต้องเสียใจไปหรอก ถ้ามีคนที่ทำให้โมมีความสุขได้ก็ดีแล้ว” พูดปลอบใจเสร็จก็อดไม่ได้ที่จะเอามือแตะริมฝีปากของตนเอง
ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะปลอบใจเขา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังเถียงกันแทบตาย
คิดแล้วได้แต่เดินเลี่ยงไปล้างมือเงียบๆ พระอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าถูกบดบังด้วยเมฆฝนก้อนหนา ดูทรงแบบนี้ฝนน่าจะตกทั้งคืนแน่ ฉันไม่ได้เอาร่มมา สงสัยคงได้ลุยฝนเดินกลับหอ
“แล้วเธอล่ะ”
โฮมที่เงียบไปนานส่งเสียงขึ้นมา
ฉันหันหน้าไปมองเขา ถามกลับอย่างงุนงง “ฉัน...อะไร?”
“เรื่องของเธอกับคอนโทรล ท่าทางหมอนั่นดูชอบเธอมาก”
ฉันกดหัวคิ้วก่อนจะคลายออก ในเมื่อฉันถามถึงเรื่องของเขากับโม ก็ไม่แปลกที่เขาจะมีสิทธิ์ถามฉันกลับเหมือนกัน
นอกจากพี่แอนแล้ว ฉันไม่เคยพูดกับใครเรื่องคอนโทรลเลย นึกไปแล้วก็ตลกเหมือนกันที่ฉันกับโฮมจะมานั่งคุยกันเรื่องปัญหาหัวใจแบบนี้
“ก็อย่างที่ฉันบอกไป ฉันไม่มีทางคืนดีกับเขาหรอก ตอนนี้เราสองคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง สิ่งที่เขาให้ความสำคัญ กับสิ่งที่ฉันให้ความสำคัญมันต่างกัน เหมือนเข็มทิศชีวิตของเรามันหันไปคนละทาง”
“แล้วถ้าตัดภาระหน้าที่ทุกอย่างออกไปล่ะ... ตัดเรื่องลำดับความสำคัญ เอาแค่เรื่องความรู้สึกของเธอกับเขา”
“ฉัน...”
“...”
ฉันได้แต่ส่ายหน้า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”