เมื่อเท้าสองข้างของร่างสูงที่ก้าวออกจากเรือลำเก่า ๆ ได้เหยียบลงกับแผ่นไม้กระดานของท่าน้ำท่าเดิมแล้ว ชายหนุ่มก็มองเรือนไม้หลังหนึ่งที่อยู่ติดกับฝั่งแม่น้ำ พลอยให้นึกถึงบทสนทนาของเขาและอาชาในค่ำคืนนั้นขึ้นมาตงิด ๆ ว่า
'ถ้าหากคุณรันจะกลับไปหาผู้หญิงคนนั้นอีก นายใบ้คือใบเบิกทางใบเดียวที่จะทำให้คุณรันสามารถกลับไปที่นั่นได้ ...ไม่แปลกหรอกที่คุณรันจะกลับไปในฐานะของนายใบ้ เพื่อไปขอบคุณ ไปตอบแทนคนที่ช่วยชีวิตเอาไว้' ดรันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับใคร่ครวญอย่างเห็นด้วย
อาชาจึงเอ่ยต่อไปอีกว่า 'จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับคุณรันว่าจะให้ผู้หญิงคนนี้ได้รู้ความจริงว่า ที่แท้แล้วคุณรันไม่ใช่นายใบ้ แต่เป็นคุณดรันคนนี้ต่างหาก'
ดรันก้มทำหน้าลงเล็กน้อยเพื่อคิดหนัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาบอกว่า 'ฉันมีความคิดอย่างหนึ่งแวบเข้ามานะอาชา ว่าฉันจะสามารถทำให้หล่อนยอมรับฉันในฐานะนายใบ้ได้มั้ย ฉันก็อยากจะลองใจหล่อนดู ฉันอยากรู้ว่า เราจะหาผู้หญิงที่มองข้ามรูปลักษณ์ภายนอก ความพิการไม่สมประกอบของใครคนหนึ่งไปได้หรือไม่ แม้ความจริงที่ผ่านมาก็น่าจะพิสูจน์จิตใจของหล่อนได้ดีแล้วว่า หล่อนเป็นคนอย่างไร แต่ภายในใจลึก ๆ ฉันก็อยากจะลองเสี่ยงดูอีก'
'อย่าเสี่ยงเลยดีกว่าครับ' อาชารีบห้ามเสียงขรึม
ดรันเองก็หายใจยาว แล้วบอกว่า 'ฉันรู้ว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก ก็เป็นแค่เรื่องความคิดที่แวบเข้ามาในหัว... ฉันคงจะไม่ทำหรอก หลังจากฉันได้พบกับหล่อนอีกครั้ง ก็คงต้องหาโอกาสบอกความจริงกับหล่อนว่าฉันเป็นใคร'
อาชาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย พลางสำทับ 'ก็ดีแล้วครับ ผมว่าการโกหกหลอกลวง ผู้หญิงที่ไหนก็คงจะไม่ชอบให้ผู้ชายทำหรอก'
"นายใบ้! นั่นนายใบ้ใช่มั้ยนั่น!"
เสียงที่เอ่ยออกมาอย่างยินดี ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงต้องตื่นจากภวังค์ เขามองไปตามเสียง เห็นผู้สูงวัยกำลังลงบันไดของท่าน้ำ เพื่อมาหาเขาอย่างรีบเร่ง แล้วเอ่ยอีกว่า "หายหน้าไปหลายวัน นึกว่าหายไปเลยนะนี่!" นางช้อยทักทายชายหนุ่มอย่างตื่นเต้น ดูสภาพนายใบ้ดูดีขึ้นมากกว่าตอนที่อยู่ในสภาพบาดเจ็บ ผมเผ้าถูกหวีเรียบร้อย หนวดเครารุงรังก็โกนทิ้งไปแล้ว
ชายหนุ่มได้แต่ยิ้ม กระอักกระอ่วนใจว่าจะตอบอย่างไร พร้อมกับทอดมองผู้สูงวัยจึงได้เห็นความจริงอีกอย่างที่ซ่อนอยู่ในแววตาและสีหน้าของผู้สูงวัยกว่าตรงหน้า จากที่เคยคิดว่า แม้ท่าทางของป้าช้อยจะมีจิตใจคับแคบ แต่แววตาของป้าช้อยที่มองเขาในยามนี้ช่างเปี่ยมไปด้วยแววแห่งความยินดี เสมือนว่าป้าช้อยได้พบกับมิตรที่พลัดพรากกันไปนานอย่างไรอย่างนั้น
"แล้วนี่กลับมาอีกทำไม?"
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบ แต่กลับเบือนหน้าพยายามมองดูเรือนไม้ที่ติดกับแม่น้ำหลังนั้นอีก
นางช้อยจึงพยักหน้าหงึกหงักอย่างเข้าใจ พลางบอกเองว่า "คุณขวัญกำลังทำงานของเธออยู่ ว่าแต่ นั่นอะไร?" แล้วถามกลับเมื่อเห็นมือข้างหนึ่งของนายใบ้ ได้ถือที่สิ่งถูกห่อด้วยกระดาษสีอ่อนมาด้วย
ชายหนุ่มจึงรีบชูห่อกระดาษสีเทาอ่อนขึ้น ยามนี้สายลมจากแม่น้ำผัดพ่านมาพอดี ทำให้เกิดกลิ่นหอมหวนบางอย่างโชยออกจากห่อกระดาษนั้นมา พอให้ผู้สูงวัยรู้ได้ว่าเป็นอาหารอย่างหนึ่ง
"อะไร? เป็ดหรือไก่!"
ชายหนุ่มรีบทำท่าทางประกอบ ที่นางช้อยเห็นแล้วก็ต้องหัวเราะร่วนพร้อมกับตอบได้อย่างถูกต้อง "เป็ดย่าง! และหมูย่าง!"
ชายหนุ่มจึงพยักหน้ารับเร็ว ๆ
"อ้อ! จะบอกว่าซื้อเป็ดย่างหมูย่างมาฝากพวกเรา ใช่มั้ย"
เขาพยักหน้ารับอีก
"ดี ๆ แหม รู้จักตอบแทนบุญคุณคนอื่นด้วย ว่าแต่จะขึ้นไปหาคุณขวัญและตาแก่มั้ย"
เขาทำท่าลังเล ไม่มั่นใจ กลัวมารดาหล่อนรู้เข้า คนที่จะโดนหยิกตีก็คงไม่พ้นหญิงสาวคนนั้น
แต่... เมื่อนางช้อยได้เห็นความกังวลบนแววตาชายหนุ่ม ก็เข้าใจได้ทันที พร้อมกับรีบบอกเพื่อให้นายใบ้สบายใจว่า "คุณรำพึงไม่อยู่หรอก ไปค้างบ้านพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดอีกสักสองสามวันคงจะกลับ" บอกพลางทำหน้าเรียบ ๆ ก่อนจะเหลือบเห็นห่อของกินที่นายใบ้หอบหิ้วมาอย่างสนใจต่อ
สายตาของชายหนุ่มเห็นท่าทางของผู้สูงวัย ที่ลอบกลืนน้ำลายไปด้วย จึงรู้สึกเอ็นดู แล้วเขาก็รีบยื่นห่อเป็ดย่างและหมูย่างที่ตั้งใจจะซื้อมาฝากคนที่นี่ตั้งแต่แรกให้ป้าช้อยได้ถือต่อไป
นางช้อยรับห่อของกินที่นายใบ้มาแล้วก็ชูห่อเป็ดย่าง และหมูย่างขึ้นมามองด้วยสายตาแวววาว "ว่าแต่ มีเงินซื้อของดี ๆ มาฝากด้วยนะ เอ็งเนี่ย" จากนั้นก็รีบชักชวนชายหนุ่มขึ้นไปยังบนบ้าน ไปพบกับหญิงสาวเจ้าของบ้านทันใด
"คุณขวัญ"
เสียงของคนใกล้ชิดดังขึ้น ทำให้หญิงสาวรีบวางกรรไกรที่ใช้ตัดผ้าลงข้างตัว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นหล่อนจึงเห็นหน้านางช้อยที่ยิ้มแต้มาแต่ไกล แล้วถัดไปไม่ไกลนักก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตามหลังผู้สูงวัยมาด้วย
"ใบ้..." หล่อนเรียกผู้ชายคนนั้นที่เคยช่วยเหลือที่ชีวิตของเขาเอาไว้
นางช้อยจึงรีบบอกทันที ที่เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาว "นายใบ้กลับมาเยี่ยมพวกเราค่ะ หลังจากหายไปหลายวัน แล้วนี่นายใบ้ก็ตั้งใจซื้อมาฝากพวกเราด้วย”
พะนอขวัญมองห่อกระดาษสองห่อที่นางช้อยชูขึ้นประกอบแล้วถาม "อะไรนั่น ป้าช้อย"
"หมูย่าง และเป็ดย่างค่ะ นายใบ้ซื้อมาฝาก"
หญิงสาวลอบถอนหายใจน้อย ๆ รู้สึกเกรงใจผู้ที่ซื้อมาให้ ด้วยสภาพของเขาก็ไม่น่าจะมีเงินมากมายไว้ซื้อของพวกนี้ หล่อนจึงรีบบอกไปว่า "วันหลังถ้าจะมาหาก็มาแต่ตัวนะ ไม่ต้องลำบากลำบนซื้ออะไรมา"
นางช้อยหันไปมองนายใบ้แล้วลอบทำหน้าเสียดาย ชายหนุ่มก็ยิ้มแหย ๆ กลับ พลางนึกอย่างเห็นใจป้าช้อยว่าคงอยากกินของดี ๆ บ้าง ขณะนั้นเองที่คนทั้งสามกำลังคุยกันอยู่นั่น นายชดก็เดินจากหลังบ้านมาด้วยสภาพกระปรกกระเปรี้ยดูสิ้นเรี่ยวแรงเหลือเกิน "อ้าว! ตาแก่...นั่นเป็นอะไรนั่น!" นางช้อยรีบร้องทัก
"ท้องเสียน่ะสิ" ตอบแล้วจึงส่งสายตาไปทางหญิงสาวคนเดียว พลางบอก "ลุงคงเอาผ้าไปส่งให้คุณขวัญไม่ได้แล้วนะครับ ไม่มีแรงแม้จะเดินเลย" ว่าแล้วก็ทรุดลงนั่งกับพื้นไม้กระดานเสียดื้อ ๆ
"วันนี้ยิ่งมีผ้าที่คุณขวัญต้องส่งเยอะด้วย... งั้น เดี๋ยวป้าไปกับคุณขวัญก็ได้ค่ะ" นางช้อยรีบรับอาสา
เวลานั้น ชายหนุ่มก็ได้เห็นใบหน้างามของหญิงสาวมีแววกังวลเวลามองไปทางนายชด แล้วหล่อนก็หันมาบอกนางช้อยว่า "ป้าช้อยอยู่นี่ดูลุงชดเถอะค่ะ ท่าทางจะเพลียมาก เกิดมีอะไรลุงชดจะได้มีคนคอยช่วย"
"แต่ คุณขวัญจะเอาของไปหมดอย่างไรไหวคะ" นางช้อยบอกแล้วมองไปทางห่อผ้าเป็นตั้ง ๆ ที่หญิงสาวได้ฉลุลวดลายเอาไว้พร้อมที่จะนำไปส่งยังร้านตัดเย็บเสื้อผ้าแล้ว
ขณะที่หญิงต่างวัยสองคน กำลังใคร่ครวญกับปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้า วินาทีนั้นชายหนุ่มจึงเห็นเป็นโอกาสที่จะช่วยเหลือและได้อยู่ใกล้ชิดหล่อนมากขึ้น เขาก็รีบยกมือพลางส่งเสียง "แบ๊ะ ๆ ๆ!"
จนทั้งหญิงต่างวัยทั้งสองต้องเหลียวไปมองเขา เป็นพะนอขวัญเองที่ถามขึ้น "ใบ้ ...จะช่วยฉันหิ้วห่อผ้าพวกนี้ไปหรือ" เขาพยักหน้าเร็ว ๆ รับคำถามหล่อน พร้อมกับทำท่าขันอาสาอย่างเต็มที่ ทว่า
"จะดีหรือคะคุณขวัญ?" นางช้อยรีบถาม
หญิงสาวหันกลับมามองนางช้อยพลางถอนหายใจ "คงไม่เป็นไรหรอกค่ะ ให้ใบ้ไปเป็นเพื่อนขวัญก็ได้ ส่วนป้าช้อยก็ดูแลลุงชดอยู่ทางนี้ก็แล้วกัน"
นางช้อยกำลังจะค้านอีก แม้พวกตนจะได้ช่วยชีวิตชายหนุ่มบ้าใบ้คนนี้ไว้ แต่ตนก็ยังไม่วางใจที่จะปล่อยให้หญิงสาวที่ตนเลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออกไปไหนมาไหนกับผู้ชายอื่นสองต่อสอง นางช้อยกำลังจะค้านอีก
แต่แล้ว หญิงสาวก็รีบหันหน้ามาตัดบท "เอาอย่างนี้แหละ ขวัญจะขึ้นไปแต่งตัวแล้วจะได้รีบไปส่งของพร้อมใบ้"
นางช้อยเลยพูดอะไรไม่ได้ ครั้นหญิงสาวหมุนตัวและเดินกลับขึ้นไปยังชั้นบนของบ้านแล้ว นางช้อยจึงหันมามองนายใบ้ทำให้ตนทันได้เห็นประกายระยิบบนแววตาคู่นั้น แต่แล้วก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว นางช้อยคันปากอยากจะเข้าไปพูดอะไรกับชายหนุ่ม แต่ก็ตัดใจเดินเลี่ยงไปห้องครัวแล้วแกะห่อหมูย่างและเป็ดย่างที่นายใบ้นำมาฝากใส่จานไว้เสีย
ไม่นานหญิงสาวก็ลงมาด้วยชุดกระโปรงสีเขียวอ่อน ผมยาวมัดเป็นหางม้ายกสูง แต่งตัวสวยเหมาะสมที่จะออกไปทำธุระข้างนอก นางช้อยรีบเดินมาแนะนำหญิงสาวว่า "ถ้ามีคนถามว่านายใบ้เป็นใคร คุณขวัญก็ต้องตอบว่า นายใบ้เป็นหลานป้านะจะได้ไม่มีใครมาครหาหรือมาว่าคุณขวัญเอาได้"
พะนอขวัญตบมือลงบนหลังมือของอีกฝ่าย แล้วพยักหน้า "ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ท่าทางใบ้ก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไรด้วย"
"แต่ป้า ยังไม่ไว้วางใจเลยนะ" นางช้อยเอ่ย เมื่อได้นึกถึงประกายแววตาบางอย่างของชายหนุ่มผู้นี้ก่อนหน้า แต่จะบอกหญิงสาวตรง ๆ ตนก็ยังตะขิดตะขวงใจอยู่
พะนอขวัญเห็นสีหน้าอันปั้นยากของผู้สูงวัย จึงยื่นหน้าไปกระเซ้าว่า "บอกว่าเขาไม่น่าไว้วางใจ แล้วรับเป็ดย่าง หมูย่างเขามากิน ไม่กลัวเขาจะใส่ยาพิษไว้หรือคะนั่น"
นางช้อยแทบสำลอกเอาของที่แอบหยิบใส่ปากกินก่อนหน้าออกมา ก่อนจะหัวเราะแห้ง ๆ "แหมคุณขวัญละก็…รู้ทัน"
พะนอขวัญยิ้มให้กับผู้สูงวัย พลางส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วบอกอีกว่า "ไม่ต้องห่วงนักหรอกค่ะ หากนายใบ้เป็นโจรหรือคนร้ายจริง ในเมื่อขวัญอุตส่าห์ช่วยชีวิตเขา แล้วเขายังจะมาคิดร้ายกับขวัญได้อีก ก็ให้ถือว่าชาตินี้ ขวัญคงเกิดมาอาภัพจริง ๆ แล้วล่ะค่ะ"
หญิงสาวเอ่ยอย่างตัดพ้อ จนนางช้อยพลอยสงสาร "โธ่ คุณขวัญ" แล้วนางช้อยก็รีบตัดบท โดยการหันไปเรียกนายใบ้ที่ยืนเงียบๆ และมองตนและหญิงสาวห่างออกไปว่า "ใบ้ มาช่วยคุณขวัญยกห่อผ้าพวกนี้ไปได้แล้ว"
นั่นเอง นายใบ้จึงเดินมายกห่อผ้าสองห่อ ก่อนจะหันกลับมาพยักหน้าชวนหญิงสาวด้วยแววตาพราวระยับ พร้อมกับทำท่าทางกระตือรือร้นแปลก ๆ จนทำให้นางช้อยอดที่จะรู้สึกหมั่นไส้นายใบ้ผู้นี้ขึ้นมาอย่างไรไม่รู้…