หลังจากออกจากร้านขายกาแฟมา ดรันก็ใคร่ครวญอยู่ตลอดว่า จะหาโอกาสที่เป็นส่วนตัวอย่างไร เพื่อจะบอกความจริงกับหล่อนไป เพราะการเดินทางทั้งขาไปและขากลับ ทั้งเขาและหล่อนก็ต้องพบเจอกับความจอแจของผู้คนอยู่ตลอดเส้นทาง เมื่อหาโอกาสอีกครั้งไม่ได้ สุดท้าย ดรันจำต้องเก็บความหนักใจเอาไว้กับตัวไปก่อน
ครั้นมาถึงบ้าน พะนอขวัญจะต้องเดินผ่านบ้านสีขาวหลังใหญ่เหมือนเดิม วันนี้บ้านช่องเงียบลงไปอีก เพราะมารดาหล่อนไปค้างบ้านคุณตาคุณยายที่ต่างจังหวัด ส่วนพี่สาวที่เรียนมหาวิทยาลัยจะกลับมาถึงบ้านหรือยัง หล่อนก็ไม่แน่ใจ
เมื่อพูดถึงบ้านหลังนี้ ก็จะมีคนที่ทำความสะอาดอีกสองคนคอยอยู่รับใช้คุณแม่และพี่สาว แต่วันนี้ คุณแม่ไม่อยู่ บ้านช่องจึงเงียบสงบมาก ไม่เหมือนตอนที่ท่านอยู่ เพราะบางค่ำคืนบ้านหลังนี้จะได้ต้อนรับ 'อาคันตุกะ' ของคุณแม่อย่างมากหน้าหลายตาที่หล่อนไม่ชอบเอาเสียเลย นี่คือสาเหตุที่พะนอขวัญพอใจจะย้ายไปอยู่ที่เรือนคนใช้กับป้าช้อยและลุงชดแทน อย่างน้อยก็เพื่อความปลอดภัยของหล่อนเอง
พะนอขวัญเห็นรถยนต์คันสีขาวจอดอยู่ตรงหน้า จึงทำให้หล่อนรู้ว่า บัดนี้พี่สาวของหล่อนได้กลับมาจากมหาวิทยาลัยแล้ว พร้อมกับแขกที่หล่อนไม่พึงประสงค์อยากพบหน้าอีกคน นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้หญิงสาวรีบสาวเท้าให้เร็วขึ้น จนทำให้ชายหนุ่มที่เดินตามหลังห่าง ๆ พลอยแปลกใจตามไปด้วย
แต่แล้วความแปลกใจนี้ก็ได้รับการเฉลยในเวลาต่อมา เมื่อเกิดเสียงห้าวของผู้ชายคนหนึ่งเรียกหล่อนอยู่ด้านหลังว่า "ขวัญ!"
หล่อนเหมือนจะได้ยินเสียงนั้น จึงชะงักฝีเท้าไปเล็กน้อย ก่อนจะเร่งฝีเท้าหนีอีก แต่เจ้าของเสียงห้าวที่เป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบห้าปีรูปร่างสันทัด ก็ปราดเข้าไปดักหน้าหญิงสาวอย่างรวดเร็ว เร็วชนิดที่ว่า ดรันที่เดินตามหลังหล่อนอยู่ห่าง ๆ ก็ตกใจไปเหมือนกัน
"หลีก!" หญิงสาวสั่งชายหนุ่มหน้าตาคมสันตรงหน้าเสียงเข้ม แล้วมองเขาด้วยสายตาเขม็ง ดรันเห็นภาพที่เกิดอยู่ตรงหน้า จึงเข้าไปขวางหล่อนและผู้ชายคนนั้นทันที
"ไอ้คนนี้เป็นใคร!" ผู้ชายคนนี้ถาม ทำหน้าไม่พอใจขึ้น
"ใบ้ ใบ้หลบไปก่อน" หล่อนบอกนายใบ้ เพราะท่าทางนายใบ้กำลังทำท่าปกป้องหล่อนจากผู้ชายคนนี้ หล่อนไม่อยากให้นายใบ้ไปมีเรื่องกับทรงยศเนื่องจากอีกฝ่ายมีบิดาที่มีอิทธิพลอยู่มาก แต่นายใบ้กลับไม่ยอมขยับไปไหน แถมยังก้มหน้าลงจ้องหน้าคนที่เสียเปรียบในเรื่องส่วนสูงตรงหน้าไปด้วย
ด้วยร่างกายสูงใหญ่กว่าของอีกฝ่าย ทำให้ทรงยศยอมถอยห่างจากหญิงสาว แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วถามเสียงเยาะหยันอีกว่า "ใบ้ นี่...เป็นคนบ้าใบ้หรอกหรือ เดี๋ยวนี้ตกต่ำถึงขนาดไปคว้าเอาคนบ้าใบ้มา..."
"หยุดเดี๋ยวนี้นะ!" พะนอขวัญอดที่จะใช้เสียงดังไม่ได้ พลางจ้องชายคนนี้ด้วยสายตาชิงชังมากกว่าเดิม
ดรันเห็นสายตาชิงชังของหญิงสาว ที่มีต่อชายหนุ่มตรงหน้าชัดเจนทีเดียว จึงรู้ว่าระหว่างหญิงสาวและผู้ชายคนนี้ต้องมีอะไรบางอย่างต่อกันแน่นอน
ทรงยศกดรอยยิ้มลงมุมปากอย่างถูกใจ ในขณะที่พะนอขวัญออกอาการโกรธจนตัวแทบสั่นเทิ้ม เพราะยามนี้หล่อนรู้สึกขยะแขยงผู้ชายตรงหน้านี้เหลือทน!
"นั่น...มีอะไรกัน!" สกาวใจรีบออกจากบ้านแล้วตามมาสมทบ เมื่อได้ยินเสียงอันดังของพะนอขวัญเมื่อครู่ และยามเห็นชายคนรักของตนได้อยู่ใกล้ชิดแม่น้องสาว สกาวใจก็โกรธกริ้วแทบระงับอารมณ์ไม่อยู่ ก่อนจะเบือนหน้ากลับมาจ้องชายหนุ่มข้างกายเขม็ง "นี่ มันอะไรขวัญ...พี่ยศ?"
คนที่ถูกจ้องเขม็งลอบกลืนน้ำลายเล็กน้อย ก่อนจะแก้ตัวไปว่า "พี่แค่ออกมาเดินเล่นแล้วก็เจอขวัญ เลยทักทายตามประสา แต่เหมือนขวัญจะไม่อยากทักทาย แถมยังให้นายบ้าใบ้นี่มาทำเสียมารยาทกับพี่อีก"
"นายคนนี้อีกแล้ว?" สกาวใจมองชายร่างสูงด้วยความขัดเคือง ก่อนจะหันไปถามกับแม่น้องสาวตัวดีอย่างเอาเรื่อง "คุณแม่เคยบอกแล้วใช่มั้ย ว่าไม่ให้มันกลับมาที่นี่อีก"
"เขามาช่วยขวัญทำงานค่ะ วันนี้ลุงชดป่วย นายใบ้จึงต้องช่วยขวัญเอาผ้าไปส่งที่ร้าน" พะนอขวัญพยายามใช้ความใจเย็นอธิบาย "นายใบ้นี่ไว้ใจได้ว่าเป็นคนใจซื่อ...ตรง ไม่เหมือนคนบางคนอย่างแน่นอน"
สกาวใจรู้ว่าพะนอขวัญกำลังเอ่ยกระทบกระเทียบถึงชายหนุ่มข้างตัว จึงไม่ชอบใจเข้าไปอีก "ฉันจะฟ้องคุณแม่!"
พะนอขวัญแค่นยิ้มเล็กน้อย แล้วตอบกลับเสียงเรียบ "ก็ตามใจนะคะ ถ้าพี่จะฟ้องคุณแม่ จากนี้ก็คงไม่มีคนมาช่วยขวัญทำงานเพราะยังไม่มั่นใจว่าลุงชดแกจะอาการดีขึ้นหรือยัง ถ้าไม่มีงาน ค่าไฟ ค่าน้ำ บ้านหลังนี้..." หล่อนหมายถึงหลังสีขาวตรงหน้า "...ขวัญคงไม่มีเงินมาช่วยจ่ายให้"
"นี่!" สกาวใจรู้ว่าพะนอขวัญขู่ เพราะจริงทีเดียวที่ค่าใช้จ่ายบ้านหลังนี้ พะนอขวัญเป็นผู้ดูแลเกือบจะทั้งหมด ซึ่งตนกับมารดาแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอดกับเรื่องพวกนี้มานานแรมปีแล้ว "ก็ได้ แต่อย่าให้เห็นว่ามันมาวุ่นวายแถวนี้อีกก็แล้วกัน รำคาญลูกกะตา!" แล้วจึงหันไปบอกชายหนุ่มข้างกายด้วยน้ำเสียงที่ออกแนวคำสั่งอีกว่า "กลับเข้าไปติวหนังสือกันต่อดีกว่าค่ะ พี่ยศ อย่ายืนอยู่ตรงนี้นาน เพราะบรรยากาศมันแย่!"
จากนั้น สกาวใจก็ทั้งดึงทั้งลากแขนทรงยศกลับเข้าไปภายในบ้าน ทิ้งให้พะนอขวัญสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วรีบเดินหนีอย่างรวดเร็วคล้ายอารมณ์ไม่ดีขึ้น ทำให้ดรันรีบเดินตามไปแทบไม่ทัน
หล่อนเดินผ่านหน้านางช้อยไปอย่างรวดเร็ว จนอีกฝ่ายเอ่ยเรียกไม่ทัน "คุณขวัญ อะ อ้าว!"
นางช้อยจึงรีบจับมือชายหนุ่มที่เดินตามหลังหล่อนมาติด ๆ เอาไว้ พลางถามเสียงเครียด "นายใบ้ นี่มันเกิดอะไรขึ้น นายทำอะไรคุณขวัญ?"
ชายหนุ่มลดสายตาลงมาจับจ้องผู้สูงวัยกว่า แล้วรีบส่ายหน้า พลางโบกไม้บอกมือว่อน อ้ำอึ้งไม่รู้จะอธิบายผู้สูงวัยอย่างไร เขาจึงทำได้แค่ค่อย ๆ แกะมือของอีกฝ่ายออก แล้วรีบเดินตามหลังหล่อนด้วยความเป็นห่วงไปอีกคน เพราะดรันพอรู้แล้วว่า เรื่องกินแหนงแคลงใจระหว่างหล่อนและพี่สาวที่หล่อนเคยบอกเขาครั้งที่แล้ว คงมีผู้ชายคนนั้นเป็นตัวแปรอย่างไม่ต้องสงสัย
พอได้เดินตามหลังหล่อนมาติด ๆ ดรันจึงได้รู้อีกอย่างว่า เวลาหล่อนไม่สบายใจ คงชอบหลบมานั่งชมวิวตรงท่าน้ำนี้ล่ะสินะ ว่าแล้วชายหนุ่มจึงสาวเท้าลงไปหาหล่อน เขาจงใจลงน้ำหนักที่ฝีเท้าทั้งสอง เพื่อให้หล่อนได้รู้ว่าเขากำลังเดินไปหา และแล้วเขาก็เดินมาหยุดตรงหน้าหล่อน
พะนอขวัญจึงละสายตาจากผืนน้ำ แล้วเลื่อนสายตาขึ้นไปมองดูเจ้าของร่างสูงใหญ่ตรงหน้า เห็นดวงตาคมกล้าได้ฉายแววสนเท่ห์อีกแล้ว หล่อนจึงถอนหายใจ แล้วเอ่ยถามเสียเอง "อยากรู้มั้ย ว่าผู้ชายคนนั้น...เป็นใคร"
ชายหนุ่มพยักหน้ารับช้า ๆ จดจ้องใบหน้างามที่มีแววโกรธขึงอยู่อย่างชัดเจน
"เขาคนนั้นชื่อทรงยศเป็นผู้ชายที่โกหก หลอกลวง..." หล่อนเอ่ยถึงตรงนี้แล้วก็เผลอไผลจ้องหน้านายใบ้เขม็ง แววตาทั้งสองส่อแสดงถึงความเกลียดชิงชังอย่างเด่นชัด แล้วว่าไปอีก
"...จำไว้เลยนะใบ้ คนที่ฉันเกลียดที่สุดในโลกนี้ ก็คือคนโกหกหลอกลวง!"
"คุณหนู!"
นมแม้นอุทานอย่างเสียงดัง ในขณะที่ตัวเองกำลังนั่งเย็บเสื้อที่ขาดอยู่ตรงม้านั่งตัวยาวใต้ร่มไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง จากนั้น จึงรีบดึงมือข้างที่ถือเข็มขึ้นมาให้ห่างจากใบหน้าหล่อคมคายของใครคนนั้นที่ล้มลงมานอนแนบตักของตัวเองด้วยความรวดเร็ว
"บอกแล้วว่าอย่าเรียกว่า...คุณหนู" ดรันว่าด้วยน้ำเสียงคล้ายงัวเงีย แล้วลืมตาโพลงขึ้นมองเจ้าของตักหนานุ่มที่กำลังก้มหน้ามองตนด้วยอาการตำหนิเล็กน้อย
"ไม่ให้นมเรียกว่าคุณหนู ก็เลิกทำตัวเป็นเด็ก ๆ แบบนี้ได้มั้ยเล่าคะ" นมแม้นว่าเข้าให้อีก
"ก็แค่มาขอนอนหนุนตักเองนะนมแม้น"
นมแม้นว่าชายหนุ่มไม่เข้าใจความหมายที่ตนกำลังสื่อ เรื่องหนุนตักตนเองไม่ได้หวง แต่ห่วงเรื่องที่ชอบเข้ามาซุกตัวลงนอนขณะที่ตัวเองกำลังเย็บผ้านี่แหละ ที่น่าตำหนิ "แล้วเกิดเข็มจิ้มเข้าที่ตาล่ะคะ"
"ทำแบบนี้มาหลายครั้ง เคยพลาดเสียที่ไหน" ชายหนุ่มเถียง พลางยิ้มน้อย ๆ ถือว่ายั่วให้นมแม้นของตนโมโหเล่นด้วย
"แล้วถ้าวันหนึ่งเกิดพลาดขึ้นมาคุณหนูตาบอด นมรับผิดชอบไม่ไหวหรอกนะคะ แถมจะโดนคุณรุ่งเล่นงานเอาอีก" พอได้ต่อว่าแล้วก็เริ่มมองชายหนุ่มที่นอนตักตรงหน้าด้วยแววตาที่อ่อนโยนลง "แล้วนี่ มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า?"
เขาเม้มริมฝีปากได้รูปสีเนื้ออ่อนเข้าด้วยกันเล็กน้อย พลางบอก "ไม่มีอะไรหรอก ทำงานเพิ่งกลับมาเลยเหนื่อย อยากจะแวะมานอนหนุนตักนุ่ม ๆ ของนมแม้นให้หายเหนื่อยก็เท่านั้น"
คนสูงวัยพลอยพึงพอใจ กับคำพูดจากชายหนุ่มที่ตนรักพอ ๆ กับลูกชายในอุทรอีกคน แม้จะสูงใหญ่เพียงใด เติบโตเป็นหนุ่มนักเรียนนอกมาจากไหน ทว่า คุณหนูของตนก็ยังมีช่วงเวลาออดอ้อนคล้ายเด็กตัวน้อยมาให้ตนได้ชื่นใจอยู่เสมอ "แหม ทีอย่างนี้มาอ้อน กลัวว่าอีกหน่อยแต่งงานแล้วก็คงไม่มานอนหนุนตักอย่างนี้แล้วสินะ นั่นล่ะ ตักแข็ง ๆ ของคนแก่ ๆ จะยังน่าหนุนเท่ากับตักนุ่ม ๆ ของคนสาว ๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้"
ดรันหัวเราะพรืดอย่างอดกลั้นไม่ได้ กับบทเปรียบเปรยเชิงน้อยเนื้อใจของแม่นม พลอยให้หัวอกที่หมองหม่นก่อนหน้าของชายหนุ่มได้ชุ่มชื่นขึ้นมาบ้าง
"แล้วที่ทำงาน ไปทำจริง ๆ นะ ไม่ได้ดอดไปหาสาวบ้านไหนมาหรอกนะคะ"
ดรันเข้าไปทำงานที่บริษัทตั้งแต่เช้า แล้วแวบออกจากบริษัทมาตอนบ่าย ๆ เพื่อไปพบกับหญิงสาวอีกครั้ง ก็ถือว่าไปทำงานอยู่ไม่ได้โกหกนะ ชายหนุ่มจึงกล้าสบตากับคนสูงวัยตรงหน้าอย่างเต็มที่ แล้วนมแม้นจึงรู้ว่าแววตาของดรันนั้นดูเปลี่ยนไป ดูมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างไรก็ไม่รู้ "นมแม้นเย็บผ้าต่อไปเถอะ ผมขอนอนหนุนตักคิดอะไรหน่อย"
"มีเรื่องคิดไม่ตกมาล่ะซี่"
เขาแค่ยิ้มน้อย ๆ แทนคำตอบ