"ขวัญรู้..." หล่อนกล่าว แล้วเอื้อมมือไปจับมือหยาบกร้านข้างหนึ่งของผู้สูงวัยเอาไว้ ฝืนยิ้มพลางบอกออกไปว่า "...แต่ชีวิตลุงชดก็สำคัญนะ ถ้าให้ขวัญเลือกเก็บรักษาระหว่างสิ่งของกับชีวิตคน...ขวัญก็ต้องเลือกอย่างหลังไว้ก่อนล่ะค่ะ"
นั่นเองจึงทำเอาคนแก่กลืนข้าวลงคอทั้งน้ำตาทีเดียว ก่อนจะรีบวางชามข้าวลงกับชั้นเก็บของ หันกลับมาปาดน้ำตาออกจากสองแก้ม แล้วจึงจับมือของหญิงสาวข้างนั้นขึ้นมาแนบแก้มสากของตน เอ่ยอย่างตื้นตันใจไปอีกว่า "แม่คุณ แม่ทูนหัว ทำไมเป็นคนดีแบบนี้ เราสองคนตายายจะต้องทำงานหนักสักเท่าไหร่กัน ถึงจะใช้เงินคืนคุณขวัญครบทุกบาททุกสตางค์"
หญิงสาวระบายรอยยิ้ม แล้วรีบบอก "ไม่ต้องตอบแทนขวัญแบบนั้นก็ได้ แค่ลุงชดและป้าช้อยไม่ไปไหน อยู่กับขวัญแบบนี้ไปตลอดก็พอแล้วค่ะ"
นางช้อยเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับหญิงสาวตรงหน้า รีบพยักหน้ารับด้วยน้ำตาแห่งความสงสารและปลาบปลื้มใจที่สุด
ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงรองเท้าคู่หนึ่งเดินมาหยุดตรงเตียงที่ทั้งสองคนนั่งเฝ้าอยู่ ตามด้วยน้ำเสียงใสของเจ้าของรองเท้าคู่นั้นที่เป็นนางพยาบาลว่า "เรามีเรื่องที่จะต้องแจ้งให้กับญาติของคุณลุงชดทราบค่ะ"
"ป้าเองค่ะ...เป็นเมียตาแก่นี่" นางช้อยรีบยกมือบอก แล้วถาม "มีเรื่องอะไรหรือคุณพยาบาล"
"เดี๋ยวเตรียมตัวนะคะ เราจะต้องย้ายตัวคุณลุงไปพักที่ห้องพักพิเศษ"
"อะ...อะไรนะ!" นางช้อยอุทานหูตาเหลือกลาน "ป้าไม่ได้ต้องการห้องแบบนั้น โธ่...คุณพยาบาลแค่เป็นห้องรวมป้ายังไม่รู้ว่าเงินที่มีจะพอจ่ายค่ารักษา ค่าผ่าตัดหรือเปล่าเลย ไม่ย้าย ๆ ป้าจะให้ตาแก่นอนอยู่ที่นี่ล่ะ"
นางพยาบาลคนเดิมยิ้มอย่างใจเย็นแล้วรีบบอกอีกว่า "อ้อ และมีเรื่องที่ต้องแจ้งให้กับทางญาติของคุณลุงชดทราบว่า ค่ารักษาพยาบาลคุณลุง มีผู้ประสงค์แจ้งขอชำระค่าใช้จ่ายทั้งหมดของคุณลุงให้กับทางญาติแล้วนะคะ เราจึงต้องย้ายตัวคุณลุงไปพักที่ห้องพิเศษตามความต้องการของผู้ประสงค์รายนี้ด้วย ดังนั้น ทางญาติของคุณลุง ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องค่ารักษาพยาบาลอีกต่อไปแล้วค่ะ"
ทั้งพะนอขวัญและผู้สูงวัยหันมาสบตากันปริบ ๆ ทันที ก่อนที่จะเป็นพะนอขวัญที่รีบแย้งนางพยาบาลคนเดิมว่า "จะต้องมีเรื่องเข้าใจผิดกันแน่ ๆ ค่ะ! เรา...หมายถึง ทางเราไม่ได้มีญาติหรือคนรู้จักที่ไหนอีกแล้วนะคะ ใครกันจะมา..."
"ไม่ผิดหรอกค่ะ ถูกต้องแล้ว นายชด ดำเนินดี มีผู้มาติดต่อประสงค์อย่างที่แจ้งให้ทางญาติทราบก่อนหน้านั้นแล้วจริง ๆ ค่ะ ไม่ผิดคนอย่างแน่นอนค่ะ" นางพยาบาลคนเดิมยังยืนยันด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ เช่นเดิม "เดี๋ยวรบกวนญาติ ของคุณลุงเตรียมเก็บสัมภาระรอ เพราะสักครู่เจ้าหน้าที่จะมาย้ายตัวคุณลุงเข้าห้องพักพิเศษแล้วค่ะ"
แจ้งเรื่องเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางพยาบาลคนเดิมก็ขอตัวเดินกลับไปทำหน้าที่ของตนต่อ
"อะไรกันนี่?" ทั้งพะนอขวัญและป้าช้อยยังมองหน้ากันด้วยความงุนงง และก็เป็นหญิงสาวเองที่ลุกขึ้น แล้วก็รีบเดินตามนางพยาบาลคนเดิมไป
"เดี๋ยวค่ะ คุณพยาบาล!"
นางพยาบาลคนเดิมหันกลับมาตามเสียงเรียกนั้น พลางถามกลับสั้น ๆ "มีอะไรคะ"
"ผู้ที่ประสงค์ขอชำระค่ารักษาพยาบาลให้นายชด ดำเนินดี ที่ว่าเมื่อครู่เป็นใครกันหรือคะ ทางเราอยากจะรู้และ เอ่อ เผื่อจะได้ขอบคุณเขาด้วยค่ะ"
นางพยาบาลคนเดิมส่ายหน้า แล้วบอก "ทางเราบอกคุณไม่ได้จริง ๆ ค่ะ เพราะเขาแจ้งมาแค่ว่า เป็น..."
"เป็น...ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม!"
นางช้อยอุทานขึ้น ค่อนข้างตื่นเต้นและแปลกประหลาดใจกับรายชื่อนี้
"ค่ะ ขวัญถามกี่ครั้ง ๆ คุณพยาบาลก็บอกว่า เขาเป็นผู้ไม่ประสงค์ออกนาม..." พะนอขวัญสำทับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
"เป็นใครกันคะ นี่ป้างงไปหมดแล้ว"
หญิงสาวครุ่นคิดต่อ แล้วพูดกับผู้สูงวัยว่า "ก็มีไม่กี่คนที่รู้ว่าลุงชดต้องผ่าตัด จะบอกว่าเป็นลูกชายของป้าช้อยนี่ตัดไปได้เลยเพราะไม่รู้แน่ๆ"
"โอ๊ย! ไอ้ลูกชายนั่นคุณขวัญไม่ต้องไปคิดถึงมันให้ปวดหัวเลย มันไม่สนใจ ไม่มาดูดำดูดีพ่อกับแม่มันมาตั้งนานแล้ว" นางช้อยรีบแย้ง ก่อนจะแสดงความคิดเห็นออกมาบ้าง "จะเป็นไปได้มั้ยคะ ว่าเป็นคนที่ใจบุญชอบทำบุญตามโรงพยาบาลให้กับผู้ป่วยอนาถา"
"แต่ค่ารักษามันไม่ใช่ร้อยสองร้อย หรือแค่พันสองพันนะ อย่างค่าผ่าตัดนี่ก็เยอะพอสมควรแล้ว" หล่อนแย้งอีกเป็นไปไม่ได้ ใครจะกล้าทำบุญทุ่มเทเงินก้อนมากมายให้กับคนที่ไม่รู้จักกันเช่นนี้เล่า
"โอ๊ย! ป้าคิดจนปวดหัวไปหมดแล้วล่ะค่ะ" นางช้อยว่า ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง เพราะคิดเท่าไหร่ก็ไม่สามารถหาตัวผู้ไม่ประสงค์จะออกนามรายนี้ได้ "...ว่าแต่เมื่อคืนที่ป้าไม่อยู่บ้าน มีอะไรเกิดขึ้นมั้ย แล้วนายใบ้มาอยู่เฝ้าบ้านดูแลคุณขวัญมั้ยคะ"
"ค่ะ...นายใบ้ก็อยู่ตามที่ป้าช้อยขอร้อง" หล่อนตอบเรียบ ๆ ทว่า คำตอบนี้กลับสามารถจุดประกายบางอย่างขึ้นมาในจิตใจของหล่อนได้
ในขณะที่ป้าช้อยได้หันไปดูลุงชดบนเตียง หญิงสาวจึงพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ว่า "ใบ้ นายใบ้หรือ..."
พะนอขวัญพยายามคิดเงียบ ๆ คนเดียวอีก ใช่ นอกจากหล่อน ป้าช้อยและส้มเช้งที่ทราบว่าลุงชดต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วน ก็มีนายใบ้อีกคนที่รู้เรื่องนี้ และเขาก็ได้เดินตามหล่อนตั้งแต่ออกจากบ้านจนมาถึงร้านทอง จากนั้นนายใบ้ก็หายตัวไปเลย... แต่...จะเป็นเขาไปได้หรือ ...ไม่หรอกกระมัง
หลังจากเยี่ยมลุงชดที่โรงพยาบาลแล้ว พะนอขวัญก็รีบกลับบ้านทันที เมื่อลงจากรถเมล์ตรงปากทางเข้าบ้าน หญิงสาวก็ไม่ได้ใช้บริการรถรับจ้างใด ๆ อีก นั่นเป็นเพราะความต้องการที่อยากจะเดินแล้วใช้ความคิดเงียบ ๆ ไปด้วยมากกว่า เนื่องจากจิตใจของหล่อนยังยึดติดอยู่กับเรื่อง ๆ หนึ่งมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว
เรื่องที่ว่าก็คือ 'ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม' แต่จะประสงค์อย่างอื่นด้วยหรือเปล่า อันนี้หล่อนก็ไม่รู้แน่ ด้วยเพราะหญิงสาวคิดว่าเป็นไปไม่ได้หรอก กับคนที่ไม่แม้แต่จะเคยเห็นหน้ากันมาก่อน แล้วจะสามารถหยิบยื่นเงินก้อนจำนวนเท่านี้มาให้อีกฝ่ายได้ง่าย ๆ
เขาเป็นใครกันนะ?
เขาต้องการอะไรกับการช่วยเหลือหล่อนในครั้งนี้ หรือแม้เจตนาจริง ๆ ของเขาจะให้มาด้วยความบริสุทธิ์ใจก็ตาม ทว่า สิ่งที่บิดาหล่อนมาพร่ำสอนมาเสมอ ๆ ว่า ไม่ควรรับของ ๆ ใครมาโดยปราศจากการตอบแทน หรือหากตอบแทนไม่ได้ การกล่าวขอบคุณ ก็คือสิ่งที่คนเราควรทำต่อความอ่อนโยน ความมีเมตตาของคน ๆ นั้น นี่ก็คืออีกความรู้สึกที่ยังค้างคาอยู่ในใจหล่อนด้วย
คนใกล้ตัวของหล่อน ก็ไม่มีใครรู้อีกแล้วว่าลุงชดนอนป่วยอยู่โรงพยาบาล แถมรู้ด้วยว่าถึงคราวคับขันว่าหล่อนไม่มีเงินพอที่จะจ่ายกับค่ารักษาพยาบาลให้กับลุงชดแก ดังนั้น คนที่น่าสงสัยที่สุดในยามนี้ของหล่อนก็มีแค่...นายใบ้คนเดียวเท่านั้น เพราะนายใบ้ เป็นคน ๆ เดียวที่ยังวนเวียนอยู่ในหัวหล่อน ความจริงจะว่าไปแล้ว หล่อนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนายใบ้คนนี้เลย นอกจากการรับรองของลุงชดว่า นายใบ้คือชายที่กินอยู่แต่ในเรือ เร่ร่อนค้าขายไปตามแม่น้ำลำคลองต่าง ๆ แถมแว่วเสียงลุงชดที่เคยพูดให้ได้ยินอีกว่า 'ใคร ๆ ก็ร่ำลือว่านายใบ้นี่มันมีเงินเก็บเอาไว้ในเรือเยอะเชียวนา เป็นผลมาจากความขยันหาของค้าขายไปตามแม่น้ำ ตามลำคลองนั่นน่ะ'
นายใบ้จะมีเงินมากมายถึงเพียงนั้นเชียว?
คำถามมากมายที่ยังวนเวียนอยู่ในหัว ซึ่งพะนอขวัญคิดว่า ถ้าได้พบหน้านายใบ้อีกครั้ง หล่อนจะถามเขาตรง ๆ ว่าได้เกี่ยวข้องกับผู้ไม่ประสงค์จะออกนามคนนั้นหรือไม่
"อ้าว! หลานสาวของลุง..."
พะนอขวัญที่กำลังเดินใช้ความคิดอยู่บนทางเท้าอย่างเงียบๆ ต้องสะดุ้งขึ้นกับเสียงห้าวนี้ หล่อนหันไปตามเสียงนั้นทันที เป็นสุรทินนั่นเองที่กำลังขับรถเก๋งคันเก่า ๆ พร้อมกับมองหล่อนอย่างเลียบ ๆ เคียง ๆ ไปด้วย
จากนั้นอีกฝ่ายก็ยื่นหน้าออกมาจากตัวรถ แล้วตะโกนบอก "ขึ้นรถสิ! ลุงกำลังจะไปบ้านหลานอยู่พอดี "
ไม่ทันจะอ้าปากปฏิเสธ สุรทินก็ส่งเสียงสั่งอีก "เร็วสิหลาน!" "แต่ว่า..." พะนอขวัญพยายามจะหาเรื่องบ่ายเบี่ยงปฏิเสธ แต่อีกฝ่ายก็ว่าอย่างดักคอ
"...หรือหลานไม่ไว้ใจลุง"
"เปล่า ๆ ค่ะ!" หล่อนปฏิเสธเร็ว ๆ
สุรทินจึงแค่นยิ้มอย่างพอใจ แล้วว่ามาอีก "ก็นั่นน่ะซี่ มีอะไรให้ไม่ไว้ใจกัน ก็เรามันเป็นลุงเป็นหลานกันแท้ ๆ เชียวนะ"
อีกฝ่ายใช้คำว่าลุงและหลานแท้ ๆ ขึ้นมาอ้าง คงทำให้หญิงสาวลดความลังเลได้บ้าง อีกทั้งยังมองหญิงสาวด้วยความเรียบเฉย จนพะนอขวัญต้องผ่อนลมหายใจสั้น ๆ เพราะเห็นว่าระยะทางก็อีกไม่ไกลแล้วที่จะถึงบ้าน กลั้นใจนั่งรถไปกับอีกฝ่ายแค่ประเดี๋ยวเดียวเอง คงไม่มีอะไรกระมัง และหากหล่อนไม่ขึ้นรถผู้ที่อยู่ในฐานะลุงคงไม่เลิกตื้อแน่ ๆ
"ค่ะ" แล้วหญิงสาวก็ตรงไปขึ้นรถเก๋งคันสีฟ้า
เมื่อนั่งรถแล้ว สุรทินก็ขับรถไปปกติ แต่ได้ครึ่งทางเท่านั้น กลับอุทานออกว่า "ตายจริง! ลุงลืมของไว้ที่บ้านเพื่อน ลุงขอกลับไปเอาของหน่อยนะ"
"งั้น จอดให้ขวัญเดินต่อก็ไปก็ได้ค่ะ!" หล่อนรีบบอก พลางหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมาทำท่าพร้อมจะลงจากรถ แต่...
"อื้อ! ไม่ต้องหรอก หลานไปเป็นเพื่อนลุงดีกว่า บ้านเพื่อนลุงก็อยู่ไม่ไกล ถัดจากนี้ไปไม่กี่ซอยเองจะเดินเองทำไมให้เหนื่อยเปล่า ๆ"
พะนอขวัญกำมือแน่น ตัวเริ่มเกร็งขึ้น เมื่อสุริทนได้เพิกเฉยคำพูดของหล่อนเสีย จากนั้นก็รีบขับตรงไปที่ที่ตัวเองอ้างว่าเป็นบ้านเพื่อนแล้วลืมของสำคัญไว้ที่นั่นทันที!