"ไม่พูดถึงเรื่องนี้กันดีกว่า..." ช่อลดารีบตัดบท ว่าแล้วรีบเบียดตัวนั่งลงใกล้กับผู้เป็นแม่ เข้าเรื่องที่ต้องการจะพูดกับท่านเสียที "ลดามีเรื่องที่จะถามคุณแม่ค่ะ เรื่องสำคัญของลดา"
คุณผกากรองมองบุตรสาวอย่างสนเท่ห์ขึ้น "เรื่องอะไรลูก?"
"ก็เรื่องที่คุณน้ารุ่งเคยพูดต่อหน้าคุณพ่อ คุณแม่ตรงนี้ว่า ถ้าหาก ลดาโตขึ้น จะให้พี่รันหมั้นกับลดา…เมื่อไหร่ดีล่ะคะ"
คุณผกากรองมีสีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดขึ้นมา "ลูก...ลดา!"
ช่อลดาจึงรีบชี้ไปที่ใบหน้าของสร้อย ที่เดินติดตามหล่อนมาไม่ห่างแต่แรก แล้วบอกผู้เป็นแม่ "สร้อยสิคะ สร้อยเคยบอกลดามาอย่างนี้"
สร้อยจึงรีบก้มหน้า รีบแก้ตัวด้วยสีหน้าตกใจ "สร้อย! สร้อยก็ฟังมาจากละครวิทยุอีกทีค่ะ!"
ป้าอบมองสร้อยหลานสาวตนอย่างไม่ชอบใจ ขยับตัวเข้าไปใกล้แม่หลานตัวดีได้แล้วจึงหยิกลงที่สีข้างของอีกฝ่ายทันใด
"โอ๊ย เจ็บนะป้า!" สร้อยบอกพลางลูบตรงที่โดนป้าหยิกตาม
"เจ็บสิดีจะได้จำ! พูดจาทะลึ่งตึงตังเกินหญิงแบบนี้มันไม่งาม!" แล้วป้าอบก็อบรมหลานสาวต่อหน้าเจ้านายอีกชุด
"ไม่พูดถึงเรื่องนี้กันดีกว่า..." ช่อลดารีบตัดบท ว่าแล้วรีบเบียดตัวนั่งลงใกล้กับผู้เป็นแม่ เข้าเรื่องที่ต้องการจะพูดกับท่านเสียที "ลดามีเรื่องที่จะถามคุณแม่ค่ะ เรื่องสำคัญของลดา"
คุณผกากรองมองบุตรสาวอย่างสนเท่ห์ขึ้น "เรื่องอะไรลูก?"
"ก็เรื่องที่คุณน้ารุ่งเคยพูดต่อหน้าคุณพ่อ คุณแม่ตรงนี้ว่า ถ้าหาก ลดาโตขึ้น จะให้พี่รันหมั้นกับลดา…เมื่อไหร่ดีล่ะคะ"
คุณผกากรองมีสีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดขึ้นมา "ลูก...ลดา!"
คุณผกากรองมองบุตรสาวอย่างสนเท่ห์ขึ้น "เรื่องอะไรลูก?"
"ก็เรื่องที่คุณน้ารุ่งเคยพูดต่อหน้าคุณพ่อ คุณแม่ตรงนี้ว่า ถ้าหาก ลดาโตขึ้น จะให้พี่รันหมั้นกับลดา…เมื่อไหร่ดีล่ะคะ"
คุณผกากรองมีสีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดขึ้นมา "ลูก...ลดา!"
ช่อลดามองมารดาที่ทำสีหน้าทั้งประหลาด และตกใจ อย่างคาดไม่ถึงว่าหล่อนจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา และคงคาดไม่ถึงว่าหล่อนจะรู้เรื่องนี้ด้วย
คุณผกากรองเหลือบมองดูสาวใช้และป้าอบ แม้จะเป็นเจ้านาย แต่คุณผกากรองก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่แฝงไว้ด้วยความกระดากอายของแต่ละคนที่มีต่อบุตรสาวคนเดียวของตัวเอง แล้วจึงหันมาตำหนิบุตรสาวอีกว่า "เป็นผู้หญิงพูดเรื่องแบบนี้ออกมาเองได้อย่างไรกันลูก แล้ว...ลดาไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน หรือว่า..." ว่าแล้วจึงเบนสายตาไปทางสร้อย
สร้อยจึงส่ายหน้าหลุกหลิกปฏิเสธ "ไม่ ๆ ค่ะ คุณผู้หญิง! สร้อยไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้คุณหนูฟัง และสร้อยก็ไม่รู้เรื่องนี้ด้วยค่ะ"
"คุณแม่ไม่ต้องไปถามสร้อยหรอก ลดารู้เรื่องนี้ด้วยตัวเองค่ะ" ช่อลดายิ้ม ท่าทีไม่ได้ทุกข์ร้อนเหมือนคุณแม่ แล้วบอกความจริงว่าหล่อนรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่พวกผู้ใหญ่ไม่เคยบอกหล่อนเลยสักครั้ง "ตอนเด็กลดาแอบฟังคุณแม่และคุณน้ารุ่งพูดคุยกันจากตรงนั้น..."
ช่อลดาชี้ไปยังชั้นวางของที่อยู่ไม่ห่างจากบันได ตอนนั้นหล่อนอายุราวเจ็ดขวบ หล่อนกำลังเดินลงบันไดมา ได้ยินเสียงพูดคุยของผู้ใหญ่ที่นั่งคุยกันอยู่ เป็นคุณแม่และคุณพ่อหล่อนกำลังนั่งรับแขกคือเพื่อนคนสนิทของคุณแม่กับสามี ซึ่งหล่อนก็มาทราบภายหลังว่า เป็นคุณน้ารุ่งระวี และคุณลุงอัศวิน อาจณรงค์ นั่นเอง
ช่อลดาจึงแอบยืนอยู่ด้านหลังชั้นวางของ เพื่อลอบฟังพวกผู้ใหญ่คุยกัน โดยช่วงหนึ่งของการสนทนาหล่อนจำได้ดีว่า คุณน้ารุ่งระวีได้เอ่ยคำพูดที่สำคัญไหนออกมา...
'แหม ถ้าเด็ก ๆ โตขึ้น เราก็ให้ทั้งสองคนเขาหมั้นกันเลยดีมั้ย'
แม้จะเป็นคำพูดเชิงกระเซ้าเย้าแหย่กันก็ตาม แต่สำหรับช่อลดา หล่อนเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ควรทำเป็นเรื่องเล่น ว่าแล้วจึงจ้องใบหน้าที่ค่อย ๆ ซีดเผือดของคุณแม่ด้วยแววตานิ่งสงบ เยือกเย็น พลางกดรอยยิ้มลงมุมปากเล็กน้อย หมายมาดต่อเรื่องนี้อย่างแรงกล้า ซึ่งก็ได้สร้างความรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ต่อคุณผกากรองที่ยังมองใบหน้าบุตรสาวอยู่ไม่น้อย
"ว่าอย่างไรคะ คุณแม่..." ช่อลดาถามย้ำด้วยน้ำเสียงราบเรียบและใช้กิริยาดุจเดิมคือนิ่งสงบ หล่อนมีความต้องการต่อเรื่องนี้ด้วยดวงใจที่แรงกล้า เพราะหล่อนถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญของหล่อน เนื่องจากผู้ชายที่หล่อนอยากผูกใจเขาให้รักแต่หล่อนคนเดียวก็คือ พี่รัน หรือดรัน อาจณรงค์ นั่นเอง!
"คุณคะ..."
เสียงของป้าอบดังขึ้นมาในความเงียบที่ปกคลุมอยู่รอบ ๆ ตัว ขณะที่คุณผกากรองกำลังนั่งอยู่ในห้องนอน หลังจากที่บุตรสาวคนเดียวของตัวเองมาพูดเรื่องสำคัญด้วยแล้ว คุณผกากรองจึงหาเรื่องผละออกมาหาที่สงบเงียบอยู่ตามลำพัง ซึ่งก็คงไม่พ้นห้องนอนของตัวเอง โดยมีป้าอบผู้ซึ่งเคยทำหน้าที่พี่เลี้ยงของตนมาก่อน จากนั้นก็กลายมาเป็นแม่บ้านใหญ่ของบ้านชลันทร แทนและป้าอบผู้นี้ นอกจากสามีของตัวเองแล้ว ก็คือเพื่อนคู่คิดของตนด้วยนั่นแหละ
คุณผกากรองหันกลับมาสบตากับผู้สูงวัยกว่า แววตาทั้งคู่ได้สะท้อนความหนักอกหนักใจออกมาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว "เรื่องที่คุณหนูพูด ... เรื่องจริงหรือเปล่าคะ" ป้าอบค่อย ๆ ถาม เพราะตนก็ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน
คุณผกากรองพยักหน้ารับ นี่ก็เป็นเรื่องที่ได้ซุกซ่อนอยู่ภายในใจของคุณผกากรอง ทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัด และน้อยใจอยู่เพราะ ความจริงก็เป็นอย่างที่ช่อลดาว่ามา ย้อนไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน รุ่งระวีเพื่อนรักของตนเอง ได้มาเยี่ยมเยือนตนที่นี่ได้พูดคุยกันตามประสาเพื่อนฝูง ก่อนจะวกกลับมาพูดในเรื่องเด็ก ๆ ที่หมายถึงลูกสาวของตนและหลานชายคนเดียวที่รุ่งระวีได้เลี้ยงดูราวกับลูกชายแท้ ๆ
ช่วงหนึ่ง รุ่งระวีเอ่ยว่าอยากจะเกี่ยวดองทั้งสองบ้านเข้าไว้ด้วยกัน ดังนั้น เมื่อเด็ก ๆ โตขึ้น จะให้ดรันหลานชายของรุ่งระวีและช่อลดาลูกสาวตนได้หมั้นหมายกันเอาไว้
แต่แล้วคำพูดเหล่านั้นก็เลือนหายไปกับกาลเวลา กระทั่งถูกกระทบให้กระเพื่อมขึ้นมาอีกครั้ง ที่ไม่ได้มาจากคำพูดของช่อลดาหรอก แต่มาจากการกระทำของรุ่งระวีนั่นเอง เพราะหลายเดือนมาแล้วที่มีข่าวมาเข้าหูคุณผกากรองเป็นระยะ ๆ ว่ารุ่งระวีได้ใช้เวลาในแต่ละวันตระเวนดูตัวหญิงสาวให้กับหลานชายคนเดียวตามแวดวงของคนรู้จัก เนื่องจากใคร ๆ ก็รู้ว่ารุ่งระวีอยากให้หลานชายได้แต่งงานกับหญิงสาวที่เหมาะสม จากบ้านนั้นไปสู่บ้านนี้… ทว่า กลับข้ามบ้านหลังนี้ มองข้ามลูกสาวของตัวเองไป
ทีแรกคุณผกากรองก็รู้สึกน้อยใจอยู่ทีเดียว แต่เมื่อมาคิดดูอีกที ตนก็พอจะเข้าใจว่าทำไมรุ่งระวีถึงไม่ยอมเหลียวแลบุตรสาวคนนี้ ทั้งที่อีกฝ่ายก็เคยพลั้งปากอยากหมั้นหมายช่อลดาให้ดรัน นั่นก็เพราะช่อลดามีนิสัยที่ไม่น่ารักหลายอย่าง ทั้งเกียจคร้าน เอาแต่ใจ บางทีก็เจ้าอารมณ์ และชอบใช้วาจากระด้างไม่อ่อนหวานกับผู้คน ซึ่งก็เป็นนิสัยที่ตนเองได้พยายามแก้อยู่ แต่ก็แก้ไขไม่ได้สักที
เมื่อใคร่ครวญได้ สุดท้าย คุณผกากรองจึงเข้าใจว่า ในเมื่อลูกสาวตนเองสอบตกคุณสมบัติของหญิงสาวที่ดี จะให้รุ่งระวีเอาชีวิตหลานชายคนเดียวของเขามาไว้กับลูกสาวคนนี้ก็ใช่ที่ คุณผกากรองเลยไม่นึกถึงเรื่องหมั้นหมายนั้นอีก แต่กับช่อลดาที่บอกกับตัวเองเมื่อครู่ ก็ทำเอาคุณผกากรองหนักใจขึ้นมาอีกครั้ง เพราะหากช่อลดาไม่ทราบเรื่องนี้เลยยังจะดีเสียกว่า แต่ช่อลดากลับรู้เรื่องการพูดจาหมั้นหมายในวันวาน แถมช่อลดาคงมีใจให้กับดรันไม่อยู่น้อยด้วย เมื่อครู่จึงได้อาจหาญมาทวงคำพูดนั้นต่อหน้าคนอื่น ๆ
ตอนนี้คุณผกากรองเริ่มกลุ้มใจขึ้นมาหลายอย่าง เนื่องว่า หากช่อลดามีใจให้กับดรัน ฉะนั้นหัวอกของคนเป็นแม่จึงอดรู้สึกสงสารเห็นใจบุตรสาวตัวเองไม่ได้เช่นกัน ขณะเดียวกันจะไปทวงถามเรื่องนี้กับรุ่งระวีเพื่อลูกสาวคนเดียว ตนก็ทำไม่ได้ด้วยเหตุผลหลายอย่างอย่างที่ว่ามา และที่พลอยหนักใจที่สุดก็คือ
จากแววตาที่มุ่งมาดปรารถนาของช่อลดาก่อนหน้า ก็ทำเอาคุณผกากรองเริ่มรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ขึ้นมา หากลูกสาวคนนี้ไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ก็คงไม่ยอมเลิกราจากเรื่องนี้ไปง่าย ๆ แน่ เพราะนิสัยของช่อลดาที่ตนหนักใจอีกอย่างก็คือ การจะเอาชนะเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ตัวเองต้องการนั่นเอง!
"ฉันไม่ยอมหรอกนะ!"
ช่อลดาว่าอย่างเกรี้ยวกราด พร้อมกับตบมือลงกับโต๊ะจนเกิดเสียงดัง จนสร้อยที่เพิ่งปิดประตูห้องพลอยสะดุ้งโหยงตามไปด้วย "เป็นผู้ใหญ่จะพูดจาพล่อย ๆ แล้วไม่รับผิดชอบ นั่นเหมาะสมหรือไง!"
"ไม่เหมาะหรอกค่ะ คุณลดา" สร้อยว่าอย่างเอาใจเจ้านาย พลางนั่งหมอบกระแตลงอยู่ตรงประตูห้องนอน พร้อมกับทอดสายตามองหญิงสาวที่กระแทกตัวลงนั่งกับเตียงนอนด้วยน้ำหนักพอควร พลางทำใบหน้าบึ้งตึง ดวงตาขวางจัดไปอีก
"หน็อย... ทีจะมาสั่งสอนเด็ก ๆ ให้เป็นคนรักษาคำพูดละก็พากันพูดดีเชียว แล้วทำไมตอนนี้พวกผู้ใหญ่ถึงไม่ยอมรักษาคำพูดพวกนั้นกันล่ะ!" ช่อลดาก่นว่าอย่างโกรธเคือง พร้อมกับย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องราวในวันนั้น
เมื่อหล่อนยังเป็นเด็กผู้หญิงอายุเจ็ดขวบอีกครั้ง ยามนั้นหล่อนยังเด็กก็เลยไม่เข้าใจความหมายคำว่า 'หมั้นหมาย' เท่าที่ควร กระทั่งโตขึ้นนั่นเอง จึงได้รู้ความหมาย และยิ่งลึกซึ้งกลายเป็นความต้องการมากขึ้นก็ตอนที่ หล่อนเติบโตเป็นสาวแรกรุ่นอายุสิบห้าย่างสิบหก ตอนนั้นหล่อนได้ติดตามคุณแม่ไปเที่ยวคฤหาสน์อาจณรงค์ของคุณน้ารุ่งระวี แล้วก็ได้เห็นรูปถ่ายของดรันที่ถูกส่งมาจากประเทศอังกฤษเพื่อให้คนทางนี้ดู
เขา...ช่างเป็นชายหนุ่มที่ดูดีด้วยรูปร่างสูงในสูทสีกรม พร้อมด้วยหน้าตาหล่อเหลา จนหาใครมาเทียบไม่ได้ในความรู้สึกของ ช่อลดา ใช่ จากภาพถ่ายเพียงใบเดียว หล่อนได้ตกหลุมรักเขาแล้วนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
และไม่นานมานี้ หล่อนก็บังเอิญได้พบเจอกับเขาอีกครั้ง หล่อนได้ติดตามคุณพ่อคุณแม่ไปที่งานแต่งงานของคนที่คุณพ่อหล่อนรู้จัก ดรันได้มาทักทายคุณพ่อและคุณแม่ แล้วก็ได้ทักทายหญิงสาวอย่างสุภาพตามด้วย แต่แล้วเขาก็ขอตัวกลับไปอยู่ร่วมกับกลุ่มของเพื่อนเจ้าบ่าวเสีย
จากนั้น ช่อลดาจึงเข้าใจหัวอกของคนที่ถูกพิษรักกลุ้มรุมทำร้ายว่าเป็นอย่างไร หล่อนเข้าใจดีแล้ว เพราะหลังจากกลับจากงานแต่งงานในคืนนั้น ช่อลดาก็เอาแต่เฝ้าเพียรคิดถึงชายหนุ่มคนนี้อยู่ทุกขณะจิต หากให้หล่อนนั่งรอนอนรออยู่เฉย ๆ ก็คงไม่สมหวังในรักเสียที วันนี้หล่อนจึงต้องลองพูดเรื่องหมั้นหมายนี้ขึ้นมากับคุณแม่เอง เพราะรู้ว่าคุณแม่น่าจะพูดกับคุณน้ารุ่งระวีได้ไม่ยาก
ทว่า ท่าทีของคุณแม่ที่ตอบกลับมาอย่างอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เมื่อครู่ บอกปัดแต่เพียงว่า นั่นเป็นคำพูดเชิงกระเซ้าเหย้าแหย่กันระหว่างผู้ใหญ่เท่านั้น ไม่ใช่คำพูดที่จะสามารถยึดถือเอาเป็นคำสัญญามั่นหมายได้ เท่านี้ก็แสดงออกแล้วว่า ท่านไม่สามารถทำเพื่อให้ลูกสาวคนเดียวนี้สมหวังในรักได้แล้ว
"สร้อย มาหาฉันหน่อย..." ช่อลดาหันไปสั่งสร้อยที่นั่งอยู่ไม่ห่างออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
คนถูกสั่งลอบกลืนน้ำลายลงคอทีเดียว แม้จะเริ่มหวาดหวั่นแต่เมื่อเป็นคำสั่งจากเจ้านาย สาวใช้อย่างตนก็ขัดไม่ได้ ว่าแล้วสร้อยจึงค่อย ๆ เข้าไปนั่งหมอบลงตรงข้างกายหญิงสาว
ช่อลดาจึงได้วางมือข้างหนึ่งลูบลงตรงศีรษะสร้อย แต่สร้อยกลับผวาแทนที่จะรู้สึกดีเพราะ...
"โอ๊ย! คุณลดาอย่าจิกผมสร้อย...สร้อยเจ็บค่ะ!"
ช่อลดาเหลือบมองมือข้างที่เผลอจิกทึ้งผมยาวของสร้อย อย่างเต็มกำมือ แม้สร้อยจะขอร้องอ้อนวอนอย่างเจ็บปวด แต่หญิงสาวก็หาคลายมือออกให้ไม่
ช่อลดากลับพูดด้วยน้ำเสียงเคียดแค้นเสียเองอีกว่า "ฉันจะไม่ยอมให้เรื่องนี้มันเงียบหายไปอย่างนี้หรอกนะสร้อย ไม่มีทาง!"