เจ้าสิเปลี่ยนใจไวแท้

1492 Words
ตัวเมืองเวียงจันทน์ปี ๒๕๓๗ ค่อนข้างเงียบ ถนนว่างโล่ง ละอองฝุ่นสีแดงปลิวคลุ้งในเปลวแดดยามบ่ายต้นฤดูร้อน ไอแดดที่เต้นยิบๆ ทั่วเมืองทำให้ทิวทัศน์ยามนี้แลดูประหลาดตา เหมือนกำลังมองภาพที่ไม่เคยคุ้นตาผ่านผิวน้ำที่เต็มไปด้วยริ้วคลื่นแปลกๆ ในขณะที่ทั้งคณะนั่งชมตัวเมืองอยู่บนรถโค้ชที่เย็นฉ่ำ อณุภาฟังเสียงไกด์เล่าเรื่องสถานที่ต่างๆ เจื้อยแจ้ว สลับกับฟังเสียงกลุ่มนักข่าวผู้ชายที่ปล่อยตัวกันตามสบาย มีกระเซ้ายั่วแหย่กันบ้างพอหอมปากหอมคอครื้นเครง รถโค้ชจอดให้กลุ่มนักข่าวลงถ่ายรูปและชมสถานที่สำคัญๆ ของเมืองหลวงแห่งนี้ อณุภาถ่ายรูปอย่างเมามัน มือเป็นระวิงเพราะหนนี้เธอเบิกฟิลม์มาด้วยเกือบ ๑๐ ม้วน ตามหมายกำหนดการแรก ซึ่งคาดว่าจะมีการพบปะบุคคลสำคัญของทั้งสองประเทศด้วย จึงเตรียมมาเผื่อไว้ แต่เมื่อหมายเดิมถูกยกเลิกไปแล้ว จึงทำให้เธอค่อนข้างสุขสำราญกับการถ่ายภาพทิวทัศน์และบรรยากาศของเมืองเป็นอันมาก จนแดดราแสงอ่อนลง ณ ริมโขง พีอาร์สาวสวยจึงเดินมาชี้ทางบอกให้อณุภาดูป้ายชื่อของโรงแรมที่พัก หลังจากที่นักข่าวสาวของไทยธุรกิจบอกว่า เธอขอเดินเตร็ดเตร่ถ่ายรูปละแวกนั้นสักพัก และจะขอเดินเท้ากลับโรงแรมในภายหลังเอง “หกโมงเย็นมีงานเลี้ยงที่โรงแรมนะคะ แล้วเจอกันคะ" พีอาร์สาวหน้าหวาน ซึ่งอณุภาได้ยินพวกนักข่าวผู้ชายเรียกเธอว่า น้องตุ๋ม บอกถึงงานตอนเย็น ก่อนจะวิ่งปรู๊ดขึ้นไปเฮฮาอยู่ท่ามกลางกลุ่มนักข่าวหนุ่มน้อยใหญ่บนรถ - -คนนี้ค่อยยังชั่วหน่อย สวยด้วย- - อณุภาคิด ลูกน้องของมุกมณีที่ติดตามมาเพียงสองคนนั้น อีกสาวสวยสุดเปรี้ยวที่ชื่อว่า เกด นั้น แทบจะไม่มองหน้าเธอหรือมาวิสาสะกันเลย ทั้งๆ ที่โดยหน้าที่แล้วพีอาร์กับนักข่าวย่อมเป็นของคู่กัน ล้วนต่างพึ่งพาอาศัยกัน แต่ก็แปลกที่สาวเปรี้ยวคนนั้น ดูเหมือนไม่ถูกชะตากับเธอเอาเสียเลย คนเราก็แปลกอย่างนี้เอง บทนึกจะรักจะชอบใคร ก็นึกรักนึกชอบขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย โดยที่ใครคนนั้นไม่จำเป็นไม่ต้องมาทำอะไรให้ ก็นึกรักเอ็นดูขึ้นมาโดยไม่ต้องมีอะไรมาอธิบาย แต่ครั้นบทจะเกลียดขึ้นมา บางทียังไม่ทันได้สบตากันด้วยซ้ำก็เกลียดขี้หน้ากันไปซะเฉยๆ เสียอย่างนั้น มิน่าละ คนโบราณถึงได้กำหนดคำว่า “ถูกชะตา” มาใช้กับคน หรือกำหนดคำว่า “ถูกโฉลก” มากับสิ่งอื่นๆ เพื่ออธิบายปฏิกิริยานัยนี้ของมนุษย์ ถ้าเป็นย่าหรือยายของอณุภาก็ต้องพูดว่า เป็นเพราะชาติก่อนเคยได้มีวาสนาเกื้อกูลกันมา คนเราถึงมีเหตุให้ต้องมาพบเจอ ผูกพันช่วยเหลือดูแลกันต่อมาในชาตินี้อีก อณุภาถอนใจเฮือกใหญ่ พร้อมกับนึกไปถึงคำสอนสั่งและรอยยิ้มอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาของหญิงสูงวัยทั้งหลายผู้รักเอ็นดูเธอไม่เสื่อมคลายแล้ว ความคิดอันสับสนอลหม่านก็คลายลง เย็นลง ภาพวิวทิวทัศน์ที่แปลกตา แปลกถิ่น ทำให้อณุภาหมกมุ่นอยู่กับการถ่ายภาพจนลืมเรื่องราวต่างๆ นั้นไปได้เอง ในเวลาไม่นานนัก แดดยามเย็นสีเหลืองรำไรส่องสว่างเหนือแม่น้ำโขงที่ท้องน้ำแห้งขอดไหลเอื่อยอ้อยอิ่งอยู่เบื้องล่าง ชาวลาวทั้งหญิงและชาย บ้างปั่นจักรยาน บ้างเดินตามกันไป คุยกันหงุงหงิงริมถนนเลียบฝั่ง แต่ละคนที่เห็นล้วนแย้มยิ้มและสงบเสงี่ยมเรียบร้อย โดยเฉพาะแม่สาวลาวที่นุ่งผ้าซิ่นสวย เดินแช่มช้อยใบหน้ายิ้มละไมกันไปทุกนาง ... นักข่าวสาวถ่ายภาพบรรยากาศไป ชื่นชมทัศนียภาพแม่น้ำโขงยามเย็นอย่างเบิกบานใจ สองเท้าก้าวไปตามแต่ใจไปเรื่อยๆ ในช่วงแรกๆ เธอยังคงหันมาดูป้ายโรงแรมเป็นระยะ แต่พอความคิดมัวจดจ่อกับสิ่งที่ทำก็พลันลืมไปเสียสิ้น กว่าจะรู้ตัวอีกทีความมืดก็โรยตัวห่มคลุมเมืองจนเกือบมืดมิด ยิ่งสองข้างทางล้วนร่มครึ้มด้วยร่มเงาของแถวต้นมะฮอกกานีที่ขึ้นเรียงรายในถนนสายเก่าก็ยิ่งทำให้หญิงสาวหวั่นใจ - -อ๋อย หลงทางแล้วซิเรา- - ตลอดเส้นทางที่มีเพียงแสงไฟสีส้มมัวซัว อณุภาชะเง้อชะแง้หาสิ่งที่พอจะทบทวนความจำ แต่ก็ว่าเหมือนทุกอย่างดูคล้ายกันไปหมด ผู้คนก็ไม่รู้หลบลี้หายไปไหนกัน แม้จะหาใครสักคนพอถามไถ่ก็ยากเย็นยิ่ง ... ตายแล้วเรา... หญิงสาวรีบจ้ำเท้าไปยังหัวมุมถนนไกลๆ ที่พอเห็นไฟส่องสว่างและมีรถราแล่นผ่านให้เห็นบ้าง ขณะจ้ำเดินผมยาวของเธอแผ่สยายเต็มหลัง เหงื่อออกหลังจนรู้สึกชื้น แต่ยิ่งเดินก็ยิ่งหลงก่อนที่จะมายืนหอบแฮ่กแทบหมดเรี่ยวแรงริมถนนตรงสี่แยกใหญ่ และแล้วสายตาก็ยังทันได้เห็นเจ้ารถสกายแล็ป ที่คนลาวใช้เรียกรถสามล้อที่คล้ายรถตุ๊กๆ ในเมืองไทย วิ่งผ่านตัดหน้าไปอย่างรวดเร็วคันหนึ่ง และถ้าจำไม่ผิด... ผู้หญิงไทยสองคนบนรถสกายแล็ปนั้นต้องเป็นงามแสงเดือนกับมุกมณี อย่างไม่ต้องสงสัย ...เธอตะโกนเรียก กระโดดโลดเต้นโบกไม้โบกมือ แต่ทั้งสองคนไม่มีท่าทีจะรู้เลยว่า เธอกำลังตะโกนเรียกเพราะหลงทางอยู่ตรงนี้ --ทำไงดีหว่า...ถ้าสองคนนั้นอยู่ที่นี่ ก็เท่ากับว่าโรงแรมคงอยู่ละแวกนี้แหละ ตามเขาไปเลยแล้วกัน -- ไวเท่าความคิด นักข่าวสาวตัดสินใจวิ่งพรวดข้ามถนนมาอีกฝั่ง เพื่อดักหน้าสกายแล็ปอีกคัน ที่เพิ่งวิ่งเข้ามาส่งผู้โดยสารตรงจุดนั้นพอดี “ตามคันหน้าไปโลดเด้ออ้าย” ว่าแล้ว ไอ้ฟ้าแลบก็กระโดดขึ้นรถสกายแลปโดยทันใด ที่ถ้าอิงควัตหรือนุ้ย หรือพี่เสือหรือใครๆ รู้เข้าคงพากันขำกลิ้ง ค่าที่รู้ว่าไอ้ฟ้าแลบกำลังขึ้นนั่งบนรถสกายแลป อา...ช่างเหมาะเหม็งคล้องจองกันอะไรเช่นนี้ คนขับรถทำหน้าตาเหรอหราแต่ก็รีบพยักหน้าอย่างไว เขาคงจะตกใจที่จู่ๆ ก็มีสาวไทยผมยาวที่วิ่งทะเร่อทะร่าหัวหูกระเจิงยุ่งเหยิงเต็มหลังมาแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ เพราะถ้าเป็นผู้คนที่นี่แล้ว คงไม่มีสาวนางใดกล้ากระโดดขึ้นรถ ด้วยท่าทางกระโดกกระเดกแถมส่งเสียงล้งเล้งเอ็ดตะโรแบบนี้ “เจ้าสิมาจากบางกอกบ่” คนขับหันมาถามเพื่อความแน่ใจก่อนจะสตาร์ทรถ “แม่นอ้าย” อณุภาตอบ เขายืนเกาหัวอยู่สองสามแกรกเสร็จสรรพแล้วถึงสตาร์ทรถ แล้วค่อยๆ แล่นออกไป - -ฮ่วย แล้วเมื่อไรจะตามทันเนี่ย- - อณุภานึกในใจ แต่แล้วก็พลันนึกได้ว่าแล้วเธอจะตามคนคู่นั้นไปทำไม เพื่ออะไรละนี่ ...แทนที่จะให้รถวิ่งกลับไปที่โรงแรม เพื่อไปงานเลี้ยงรับรองตอนเย็นนี้ไม่ดีกว่าหรือ เพราะมันก็จะเลยเวลางานเลี้ยงแล้วด้วย นี่ถ้าเธอบอกชื่อโรงแรมไป ยังไงเขาก็ต้องรู้จัก “เอ้อ... พี่ หนูเปลี่ยนใจล่ะ ไปโรงแรมดีกว่านะ โทษที” คนขับจอดรถพรึ่บ เขาเอาเท้าเหยียบพื้น ก่อนจะหันมามองหน้านางสาวชาวไทยผมยาวกระเซิงชัดๆ ก่อนจะเกาหัวแกรกๆ อีกครั้ง ด้วยทำตามความคิดคนบางกอกไม่ทัน “เจ้าคือสิเปลี่ยนใจไวแท้น้อ” “แฮ่ๆ โทษทีนะพี่นะ ไปเหอะเร็วๆ เดี๋ยวหนูไม่ทันงานเลี้ยง” คนขับขึ้นนั่งบนเบาะและสตาร์ทรถ ทว่ารถเจ้ากรรมดันนิ่งเงียบไม่ไหวติง ไม่ว่าพี่แกจะทุ่มแรงสตาร์ทสักปานใดเจ้าสกายแล็ปเพื่อนยากก็ไม่มีทีท่าว่าจะเขยื้อน หรือแม้จะส่งเสียงมาให้ชื่นใจสักบรืน...สองบรืน หลังจากอณุภายืนให้กำลังใจคนขับรถได้พักใหญ่ เธอก็รู้ว่าคงหมดหวังที่จะได้โดยสารเจ้าสกายแล็ปจอมเกเรคันนั้นแล้ว อณุภาจึงจะจ่ายเงินแต่เขาปฏิเสธเสียงหลง “บ่เอ้า บ่เอา เจ้ายังไปบ่ถึงไหนเลย” ...โอเค บ่เอาก็บ่เอา... เธอเลยเอาเงินเก็บและหันมายกมือไหว้ขอบคุณเขาแทน แล้วเดินดุ่มไปตามแสงไฟตามที่คนขับรถชี้บอกทางไปโรงแรม เธอยังมีความหวังว่า เผื่อจะมีสกายแลปอีกสักคันหรือเจอผู้คนเดินกันให้ขวักไขว่กว่านี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD