บทที่ 4
สายสืบ
พลั่ก!
ตุ้บ!
“อะ...โอ๊ย!” เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นเป็นอันดับแรกที่ถูกผลักลงพื้นด้วยแรงมหาศาล
ร่างกายของฉันถูกผลักให้เข้ามาในที่แห่งหนึ่งซึ่งฉันเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน เพราะหลังจากที่ฉันถูกบังคับให้ขึ้นมาบนรถ รอบดวงตาก็ถูกปิดสนิทด้วยผ้าสีดำ ทั้งรอบข้างก็รู้สึกได้ทั้งการเดินทางว่ามีคนนั่งควบคุมซ้ายขวาอยู่ตลอด
ครั้นเมื่อถึงที่หมายฉันก็ถูกดึงรั้งและลากเข้ามาในที่ตรงนี้ แม้ว่าจะมองไม่เห็นแต่ก็รู้สึกได้ว่ามันคือห้องห้องหนึ่งที่น่าจะถูกปิดตายมานาน
กลิ่นสาบและอับชื้นตีคลุ้งเข้าจมูก รวมไปถึงพื้นห้องที่สัมผัสได้ว่ามันเป็นพื้นปูนเปลือยไม่ใช่กระเบื้อง
ทว่าก่อนที่ได้จินตนาการไปมากกว่านี้ ผ้าที่บดบังการมองเห็นก็ถูกเปิดออก ก่อนที่แสงสลัวสีส้มอ่อน ๆ จะสาดส่องส่งผลให้ระดับสายตาพอมองเห็นว่าที่แห่งนี้คือห้องเล็ก ๆ ที่ไม่มีแม้แต่สิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์
“อึก...พาฉันมาที่นี่ทำไม” คำถามโพล่งออกไปด้วยความสั่นระริก ในขณะที่ร่างกายก็พยายามถดหนีกระทั่งติดชิดกับกำแพง
“ใครเป็นคนส่งเธอมา!”
ไม่ได้รับคำตอบ แต่มันกลับเป็นเสียงตวาดกร้าวดุดันที่แผดลั่นออกมา
ประโยคนั้นยิ่งทำให้ร่างกายของฉันสั่นเทิ้มไปทั้งหมด เฉกเช่นเดียวกับดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำสีใสที่พร้อมไหลหลั่งออกมาได้ทุกเมื่อ
สถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้แทบไม่ต่างจากฉากโหดร้ายในละครเลยสักนิด ชายฉกรรจ์นับสิบชีวิตที่มีอาวุธติดกาย พื้นที่ลับมืดมิด การเค้นถามด้วยวิธีหยาบช้า ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน หากแต่มันเป็นเรื่องจริงที่ฉันกำลังเผชิญไม่ใช่เหตุการณ์บนหน้าจอโทรทัศน์!
“ตอบมา!”
“ฮึก...” แรงสะอื้นตีตื้นทั้งที่พยายามกักเก็บ
ฉันก้มหน้างุดเนื่องจากหวาดกลัวกับแรงตะคอกตอกหน้า ไหนจะกระบอกปืนที่ประจันหน้า และชายชุดดำหน้าตาโหดเหี้ยม สิ่งที่พบเห็นแทบไม่ต่างจากกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่กำลังรังแกคนไร้อำนาจเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าไม่อยากตายก็ตอบมา!”
“ฮึก...ฉันไม่เข้าใจ ฉันไม่ได้ทำอะไร”
“แล้วไปอยู่ในที่เกิดเหตุได้ยังไง ใครส่งเธอมา!”
ปึก!
สิ้นเสียงคำราม กระบอกปืนสีดำก็ตบทิ้งลงสู่พื้นเพื่อเป็นการขู่ขวัญให้แตกเตลิดเข้าไปใหญ่
ฉันส่ายหน้าและหลับตาแน่น ก็เป็นแค่คนธรรมดาที่โชคร้ายเข้าไปเผชิญกับเหตุการณ์นั่น ไม่เคยรู้จักกับเจ้านายของเขา ไม่เคยเห็นหน้า ไม่แม้แต่จะรู้จักชื่อ แต่ทำไมฉันถึงกลายเป็นผู้ต้องสงสัยและถูกเค้นถามด้วยวิธีกักขฬะแบบนี้
“ฮึก...ฉันเป็นพนักงานที่ร้านคุณเวย์ ฉันเปิดประตูไปเจอกับเจ้านายคุณตอนเกิดเรื่องพอดี” รวบรวมความกล้าและเปิดปากเอ่ยออกไป ไม่รู้ว่าฉันตกเป็นผู้ต้องสงสัยแบบไหน แต่การยกสถานะพนักงานและชื่อเจ้าของร้านขึ้นมา ฉันก็คิดว่ามันน่าจะมีน้ำหนักพอที่ทำให้คนตรงหน้าเชื่อถือได้บ้าง
“ชุดฮู้ดสีดำ สวมหมวกแก๊ป เรือนผมสีน้ำตาลเข้ม ส่วนสูงประมาณหนึ่งร้อยหกสิบห้า...คนในภาพนี้ใช่เธอหรือเปล่า!”
ภาพถ่ายมากมายถูกปาเข้าใส่ใบหน้าอย่างจังก่อนที่มันจะร่วงหล่นลงสู่พื้น
“เธอตามเจ้านายฉันมาตั้งแต่แรก แอบซุ่มดูอยู่ห่าง ๆ และพอล่อให้ออกจากร้านเธอก็ลอบยิงเจ้านายของฉัน!”
ฉันกวาดสายตามองไปยังภาพถ่ายนับสิบใบเหล่านั้น มันเป็นภาพของคนคนหนึ่งที่อยู่ในชุดฮู้ดแขนยาวและมีรูปร่างตามที่คนตรงหน้าบอกทุกอย่าง หากมองผ่าน ๆ ก็กล้าตอบออกไปตรง ๆ ว่าคนในภาพนั้นคล้ายฉันพอสมควร แต่ถ้าลองสังเกตดี ๆ ก็รู้ได้เลยว่าคนในภาพนั้นไม่ใช่ตัวฉันอย่างที่ถูกกล่าวหา
“ไม่ใช่ฉัน! ฉันมาถึงร้านตอนสองทุ่ม เดินเข้าประตูด้านหลังร้าน หลังจากนั้นก็เริ่มทำงานโดยที่ไม่ได้ออกไปไหนเลย ถ้าคุณไม่เชื่อก็ไปหาดูจากกล้องวงจรปิดแถวนั้นก็ได้ แต่ฉันขอยืนยันว่าฉันไม่ใช่คนในภาพนี้แน่นอน”
จากความหวาดหวั่นกลายมาเป็นความกล้าที่พร้อมจะกล่าวความจริงตอกหน้า ฉันเองก็ไม่รู้ว่าคนกลุ่มนี้มีอิทธิพลมากแค่ไหน แต่ก็ควรได้อธิบายและยืนยันความจริงออกไปว่าฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแน่นอน
“แล้วการที่คุณจับตัวฉันมาแบบนี้ ฉันสามารถแจ้งตำรวจได้เลยนะ!”
“ไม่มีอะไรที่เจ้านายฉันทำไม่ได้ ถ้าไม่อยากหายสาบสูญแบบไม่ได้เผาผีก็บอกความจริงมาซะว่าเธอเป็นใคร แล้วใครส่งเธอมา!”
“อึก...” น้ำลายอึกใหญ่ลอบกลืนลงคอเมื่อทวนคำคำนั้นอยู่ในหัว
หายสาบสูญอย่างนั้นเหรอ...
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ทว่าแรงเคาะประตูดังขึ้นส่งผลให้การพูดคุยภายในห้องหยุดชะงักไปพัลวัน กระทั่งประตูห้องถูกเปิดออก ตามมาด้วยร่างสูงของคนคนหนึ่งในชุดนักศึกษาที่โผล่ใบหน้าเข้ามา
“ขออนุญาตคร้าบ ทำอะไรกันอยู่เหรอ”
ร่างสูงของผู้ชายคนนั้นเดินเข้ามาด้านในห้อง ซึ่งก็อยู่ในมุมองศาที่จะทำให้ฉันเห็นหน้าบุคคลที่เข้ามาใหม่ได้อย่างชัดเจน
ความคลับคล้ายและคุ้นตาบางอย่างกลับทำให้ฉันกดสายตาเพ่งเล็งไปที่เขาคนนั้นอย่างลืมตัว จวบจนกวาดสายตามองไปยังชุดนักศึกษาที่เจ้าตัวสวมใส่ก็พบว่ามันเป็นชุดของมหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนอยู่เช่นกัน
“ตุลย์...”
“อ้าว เธอ...เธอชื่อไรนะ สายป่านที่เรียนบัญชีใช่ป้ะ ที่เพื่อนฉันเคยจีบเธออะ เอ๊ะ...หรือไม่ใช่วะ”
คำกล่าวทักทายเหล่านั้นทำให้ฉันรีบพยักหน้ารับ เพราะปากหนักและคิดหาคำพูดใดเอ่ยออกมาไม่ได้ ถึงได้แสดงท่าทางออกไปแทน
‘ตุลย์’ เป็นนักศึกษาที่อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันและชั้นปีเดียวกัน ต่างกันแค่คณะที่เลือกเรียนเท่านั้น ในส่วนการรู้จักและสนิทสนมก็ต้องเรียกได้ว่าไม่ถึงขั้นคำว่าเพื่อน เนื่องจากฉันรู้จักตุลย์เพราะเขาค่อนข้างฮอตในหมู่สาว ๆ อีกทั้งเพื่อนร่วมคณะของตุลย์เองก็เคยคุย ๆ ทำความรู้จักกับฉันมาก่อนเหมือนกัน
นั่นจึงทำให้ทั้งฉันและตุลย์ต่างก็พอรู้จักตัวตนและการมีอยู่ของกันและกัน ในฐานะเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกันเท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้นพี่รุต” ตุลย์ถามและเดินเข้ามาหาฉันก่อนที่เขาจะย่อตัวลงสู่พื้นให้อยู่ในระดับเดียวกัน
“ตุลย์ ชะ...ช่วยเราด้วย” เหมือนเห็นความหวังอยู่รำไร อย่างน้อย ๆ ฉันก็ควรขอความช่วยเหลือจากคนรู้จัก ที่ถึงแม้ว่าตุลย์นั้นน่าจะสนิทสนมกับคนที่กำลังเค้นถามฉันก็ตาม
“คุณตุลย์ออกไปเถอะครับ ถึงคุณจะรู้จักเธอ แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเธอจะบริสุทธิ์”
“เฮ้ย เขาเป็นเพื่อนผมที่มหา’ลัย ป่านไม่ใช่สายสืบอย่างที่พี่เข้าใจหรอก อันนี้ผมรับรองได้” ตุลย์รีบแย้งพร้อมกับการเดินมาอยู่ตรงกลางระหว่างฉันและคนตรงหน้า
คำพูดของเขาทำให้ฉันเข้าใจเพิ่มอีกหนึ่งอย่างว่านี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาจับมาเค้นถามหาความจริง ฉันเป็นหนึ่งในกี่คนไม่รู้ที่โชคร้ายโดนจับมาอยู่ในห้องคับแคบเหม็นอับแบบนี้
“เราทำงานพิเศษที่คลับดาร์กไนต์ แต่บังเอิญเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ที่คุณไตรโดนยิงเข้า เราไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นนะ เราเองก็เกือบตายเหมือนกัน” ฉันพยายามอธิบายให้ตุลย์ฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ซึ่งหลังจากที่พูดจบ ดวงตาคมเข้มของตุลย์ก็เบิกกว้าง ตามมาด้วยร่างสูงใหญ่ที่หยัดขึ้นราวกับกำลังร้อนรนตกใจ
“พี่ไตรถูกยิงเหรอ!”
“ครับ แต่ตอนนี้หมอรินดูแลอยู่ครับ คุณตุลย์ไม่ต้องห่วง”
“พี่ผมถูกยิงทั้งคนไม่ให้ห่วงได้ไงวะ! แม่งเอ๊ย...พักนี้พวกมันเริ่มหนักข้อขึ้นทุกทีแล้วนะ อย่าให้เจอตัว!”
เสียงสบถด่าของตุลย์ทำให้ฉันขยับตัวหนี มันเป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นความเดือดดาลออกมาจากตัวเขา เพราะภายนอกของตุลย์นั้นเป็นคนร่าเริงและเข้าถึงง่าย ออกแนวเจ้าเสน่ห์แพรวพราว ครั้นเห็นท่าทางแบบนี้ก็อดที่จะทำให้กลัวขึ้นมาได้เหมือนกัน
และอีกหนึ่งข้อมูลที่รับรู้เข้าสู่สมองที่ทำให้ฉันทั้งตกใจแปลกใจ นั่นก็คือตุลย์เป็นน้องชายของคุณไตร
“เพราะแบบนี้ผมถึงต้องเค้นถามความจริงจากเธอคนนี้ไงครับ ผมไม่สามารถไว้ใจใครได้!”
“แต่ป่านไม่ใช่สายสืบพี่รุต ป่านเป็นพนักงานร้านพี่เวย์จริง ๆ ทำงานตั้งนานแล้วด้วย ผมว่าพี่ถูกไอ้สายสืบนั่นตลบหลังแล้วล่ะ”
จากท่าทางขึงขังดุดันของตุลย์กลายเป็นความปกติที่ผ่อนคลายลง เหตุนั้นฉันถึงกับรีบพยักหน้าเพื่อยืนยันว่าฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“แต่...”
“ผมไม่ออกหน้าแทนใครหรอกนะ ปล่อยเธอไปซะ นี่คือคำสั่งของผม!”
เสียงตวาดกร้าวดังสนั่นไปทั่วทั้งห้องที่ปิดสนิท ความน่ากลัวที่แผ่ซ่านออกมาทำให้ฉันหลุบสายตาต่ำลง แต่ก็เกิดความรู้สึกดีใจที่สามารถรอดพ้นไปจากสถานการณ์เลวร้ายตรงหน้าได้
จังหวะที่ฉันกำลังหยัดตัวขึ้นเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เสียงทุ้มห้าวเค้นลอดไรฟันที่เต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธทำให้ฉันตัวสั่นจนแทบไม่กล้าก้าวขาเดิน
“ถ้าฉันเจอเธออีกเมื่อไหร่...เธอไม่ได้โชคดีเหมือนครั้งนี้แน่!”