บทที่ 3 คนโชคร้าย

1584 Words
บทที่ 3 คนโชคร้าย SAIPAN’S PART ; “หุบปาก! อยากตายหรือไง!” เสียงตะคอกตอกหน้าพร้อมกับมือใหญ่ที่ปิดทาบทับริมฝีปากทำให้ฉันรีบเก็บกลั้นเสียงกลืนกลับสู่ลำคอ “อึก...” “ถ้าเธอร้องไอ้พวกคนนั้นมันก็จะกลับมาฆ่าทั้งเธอและฉัน!” สิ้นประโยคร่างกายของฉันถูกกระชากรั้งให้อยู่ในอ้อมแขนของเขา และเพียงเสี้ยววินาทีก็ถูกนำพาให้วิ่งไปหลบซ่อนที่ตรอกซอยเล็ก ๆ คนตัวใหญ่จับให้ฉันนั่งทรุดตัวลงกับพื้น ตามมาด้วยร่างกายใหญ่โตที่ทิ้งผ่อนลงมา เสียงหอบหายใจดังถี่กระชั้น ฉันจึงผินใบหน้าไปมองคนข้างกายถึงได้พบว่า บริเวณหน้าท้องฝั่งซ้ายของเขามีหยาดเลือดสีแดงสดที่ไหลหลั่งออกมา “คะ...คุณ คุณถูกยิงเหรอ!” ฉันเบิกตากว้างกับสิ่งที่เห็น แถมใบหน้าของเขาก็ซีดเซียวไร้สีเลือดเปลี่ยนไปถนัดตา “อึก...หุบปากอย่าส่งเสียง! ฉันรับรองว่าฉันจะไม่ทำให้เธอตายแน่นอน” เสียงเข้มเอ่ยบางเบาที่ฉันฟังแทบไม่ได้ศัพท์จนถึงขั้นต้องโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ รับรู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เราพูดคุยกันมากไม่ได้ แต่บาดแผลและอาการบาดเจ็บของเขาก็สำคัญไม่แพ้กัน “ฮึก...นี่มันอะไรกัน ฉันจะโทรแจ้งตำรวจ ฉันจะ...” ฉันพยายามตั้งสติและหาหนทางหนีไปจากพื้นที่ตรงนี้ สิ่งแรกที่คิดได้ก็คือการหยิบโทรศัพท์ออกมาหวังจะโทรหาเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ช่วยเหลือ แต่ทว่าเสียงเข้มดุดันกลับตวาดดังออกมา “อยู่เฉย ๆ ได้ไหมวะ!” “อึก ฉะ...ฉัน...” ฉันสะดุ้งด้วยความตกใจ มือไม้ที่สั่นเทาก็รีบเก็บเครื่องมือสื่อสารและพยายามทำให้เสียงของตัวเองเบาบางมากที่สุด สถานการณ์ในตอนนี้เหมือนกับการลงเรือลำเดียวกันกับเขา ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตต่ออีกหรือเปล่า แต่การทำตามคำสั่งย่อมดีกว่าดื้อรั้นทำในสิ่งที่ไม่ควร “พวกมันวนกลับมาทางนี้!” ประโยคนั้นทำให้ฉันรีบยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ซึ่งไม่นานมือใหญ่ของเขาก็ปิดทาบทับประสานที่มือของฉันอีกครั้ง รวมไปถึงวงแขนแกร่งโอบรัดให้ร่างกายฉันนั่งเกยบนตัก เขาใช้แผ่นหลังกำบังตัวฉัน ซึ่งขณะนั้นเสียงฝีเท้าหนักขงคนหลายชีวิตก็คืบคลานเข้ามาใกล้มากขึ้น จนกระทั่งได้ยินเสียงตะเบ็งที่อัดแน่นไปด้วยแรงโทสะ “กูได้ยินเสียงแถว ๆ นี้ พวกมึงมาค้นดูตรงนี้! กูว่ามันต้องหลบอยู่แถว ๆ นี้แน่!” “นายสั่งมา ถ้าเจอก็ให้ฆ่ามันทันที!” เสียงหนักแน่นยิ่งทำให้ฉันตัวสั่น แต่ก็พยายามเก็บกลั้นเสียงตัวเองให้ได้มากที่สุด เช่นเดียวกับลมหายใจที่เบาบางไร้กำลัง ฉันซุกใบหน้าเข้าสู่อกแกร่ง ขดตัวให้เล็กที่สุด หวังใช้ความกำยำของแผ่นหลังกลมกลืนประสาน เผื่อว่ามันจะทำให้การหลบซ่อนครั้งนี้แนบเนียนและช่วยให้มีชีวิตต่อได้บ้าง “ไม่ต้องกลัว เธอจะไม่เป็นอะไรแน่นอน” เสียงทุ้มเอ่ยแนบชิด ในขณะที่มือใหญ่ก็ค่อย ๆ ลูบที่แผ่นหลังของฉันราวกับเป็นการปลอบประโลม ประโยคนั้นทำให้ฉันเชยใบหน้าขึ้นมอง มันมีความอาทรและอ่อนโยนอยู่ในนั้น หากแต่กระแสน้ำเสียงที่บางเบากลับเต็มไปด้วยความอ่อนล้าที่พร้อมพรากสติให้ดับวูบลงได้ทุกเมื่อ ใบหน้าคมคายซีดเซียว เม็ดเหงื่อผุดทั่วทั้งร่างกาย รวมไปถึงลมหายใจอ่อนกำลังอย่างน่าใจหาย ฉันจับใบหน้าของเขาเพื่อเรียกสติ เอ่ยเรียกซ้ำ ๆ โดยไม่สนใจว่าคนที่ตามฆ่าจะได้ยินหรือเปล่า เพราะอาการของเขาในตอนนี้ย่ำแย่เข้าขั้นวิกฤต เหมือนกับว่าสติของเขาเริ่มลดน้อยลงทุกที แถมหยาดเลือดที่บาดแผลก็ยังคงไหลหลั่งออกมาเป็นจำนวนมาก “คุณไตร! คุณไตรคุณได้ยินฉันไหม อย่าหลับนะ คุณ!” ฉันรีบผละตัวออกจากการกำบังและดันร่างกายของเขาให้นอนราบไปกับพื้น มือสองข้างก็พยายามถอดเสื้อของเขาออก และหยิบผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวมากดทาบทับเบา ๆ บริเวณปากแผลที่เป็นต้นตอของความเจ็บปวด ไม่รู้ว่าวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นทำแบบนี้หรือเปล่า ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกต้องหรือไม่ แต่มันก็ดีกว่าการปล่อยเวลาที่เพียรผ่านให้สูญเปล่าไปเฉย ๆ “อึก...” “คุณ! คุณไตรได้ยินฉันไหมคะ ฮึก...อย่าตายนะ” ฉันส่งเสียงเรียกในระดับที่ดังขึ้น แต่การตอบโต้ยังคงเป็นความเงียบที่ดูเหมือนว่าเขาไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกต่อไปแล้ว มือหนึ่งข้างใช้ผ้ากดห้ามเลือด ส่วนอีกข้างก็พยายามกระตุกเรียกหวังให้สติของเขากลับคืน ถึงเขาคนนี้จะเป็นคนแปลกหน้าที่ฉันนิยามว่าเขาคือบุคคลอันตราย แต่จากการช่วยเหลือของเขาเมื่อครู่ก็พอทำให้เธอรู้ซึ้งได้บ้างว่าเขาไม่ใช่คนเลวร้ายหรือคนที่สมควรตายในค่ำคืนนี้ แต่ทว่า... ปัง! ปัง! ปัง! เสียงปืนกังวานกึกก้องจนฉันเผลอละมือออกจากบาดแผลและยกขึ้นปิดหูทั้งสองข้างด้วยความตกใจ ระดับเสียงมันชัดเจนและใกล้กับพื้นที่ตรงนี้มาก รวมไปถึงฝีเท้าของสิ่งมีชีวิตที่กำลังขยับใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ฉันโน้มตัวเข้าไปกอดคนตัวใหญ่เอาไว้ พยายามใช้ร่างกายตัวเองกำบัง หวังให้ความมืดมิดของค่ำคืนช่วยหลบซ่อนให้ทั้งฉันและเขาปลอดภัยจากเงื้อมมือคนเหล่านั้น “อึก คนของฉัน...” “คุณไตร คุณพูดว่าอะไรนะคะ” เสียงเลือนรางทำให้ฉันผละตัวขึ้นและมองอย่างเอาคำตอบ มันเบาบางแถมยังฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ทว่ามันกลับทำให้ฉันพอใจชื้นขึ้นมาเมื่อเห็นว่าตอนนี้สติของเขากำลังกลับคืน แม้ว่ามันจะไม่เต็มร้อยก็ตาม “ฮึก มีคนกำลังมาทางนี้...” “นายครับ! นาย!” ไม่ทันที่จะเอ่ยจบประโยค สุ้มเสียงเข้มตวาดขึ้นก่อนที่ร่างสูงใหญ่ของชายชุดดำนับสิบชีวิตจะปรากฏตัวและยืนล้อมร่างกายฉันเอาไว้ โดยมีอาวุธปืนที่จ่อเล็งมาที่ศีรษะเป็นจุดเดียว ความหวาดหวั่นส่งผลให้ร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งตัว แต่วงแขนสองข้างกลับยังคงกอดรัดคนสติเลือนรางเอาไว้แน่น เนื่องจากเขาเป็นเพียงคนเดียวที่อยู่ร่วมเผชิญเหตุการณ์ความเลวร้ายด้วยกันในค่ำคืนนี้ “พวกมึงเข้ามาพยุงตัวนายเร็วสิวะ!” ร่างของฉันถูกผลักด้วยแรงมหาศาลก่อนที่คนพวกนั้นจะตรงปรี่เข้าพยุงรั้งคนบาดเจ็บไปประคอง ความตกใจและความกลัวถาโถมจนไม่สามารถประมวลคิดค้นคำพูดออกมาได้ท่วงที แต่การกระทำเหล่านั้นทำให้ฉันรีบวิ่งเข้าไปขวาง ก่อนจะรวบรวมเรี่ยวแรงเหนี่ยวรั้งแขนแกร่งของเขาให้กลับคืน “พวกคุณเป็นใครคะ จะเอาตัวเขาไปไหน เขาเจ็บอยู่นะ!” ฉันถามทั้งที่ดวงตาสั่นไหวเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำ “เขาเป็นเจ้านายของผม ผมกำลังจะพาเขาไปในที่ปลอดภัย ส่วนคุณช่วยขยับออกไปด้วยครับ ผมไม่อยากรังแกผู้หญิง” คำตอบนั้นแน่นอนว่าทำให้ฉันถอยหลังหนีโดยอัตโนมัติ ไหนจะน้ำเสียงดุดัน สายตาแข็งกร้าว รวมถึงรังสีอันตราย ทั้งหมดทั้งมวลแผ่ซ่านออกมาจนไม่อาจต่อต้านหรือดื้อรั้นในการกระทำของตัวเองได้ “ไปครับนาย ตอนนี้นายเสียเลือดมาก ผมโทรตามหมอรินให้แล้วครับ!” “เธอ...อึก...ชื่อเธอ เธอชื่ออะไร” ก่อนที่เขาจะถูกพยุงตัวไปที่รถ เสียงสั่นพร่าเลือนรางก็ดังขึ้นเบา ๆ แต่มันดังพอที่จะทำให้ฉันและคนบริเวณนั้นได้ยินอย่างชัดเจน “ป่าน...สายป่าน ฉันชื่อสายป่าน” เป็นคำตอบที่เอ่ยเอื้อนออกไปแทบจะทันทีโดยไม่มีจังหวะเว้นว่าง พร้อมกันนั้นสายตาก็ทอดมองตามการประคองจวบจนถึงตัวรถยนต์คันหรูสีดำเงาที่จอดเทียบอยู่ใกล้ ๆ “เชิญคุณไปกับผมด้วยนะครับ” ร่างสูงของผู้ชายคนหนึ่งเดินมาขวางหน้า เขาผายมือไปยังรถยนต์อีกคันที่จอดอยู่ด้านหลัง โดยมีสายตาคมเข้มดุดันกดมองราวกับว่าคำพูดของเขาเมื่อครู่นี้ไม่ใช่การร้องขอ หากแต่มันคือการบังคับให้ฉันจำต้องทำตาม “ปะ...ไปไหน” ฉันถอยหลังหนีพร้อมกับการส่ายหน้าปฏิเสธ ถึงแม้ว่าคุณไตรจะช่วยเหลือให้ฉันรอดพ้นจากการถูกยิง แต่การที่ต้องนั่งรถไปพร้อมกับลูกน้องของเขาที่เป็นคนแปลกหน้ามันก็ทำให้หวาดหวั่นได้เหมือนกัน “ขึ้นรถเถอะครับ อย่าให้ผมต้องใช้กำลังเลย” “อึก!” คำพูดราบเรียบแต่เต็มไปด้วยความเหี้ยมเกรียมที่เหมือนกับคำสาปให้ฉันยอมทำตาม ขาสองข้างก้าวขึ้นไปบนรถอย่างว่าง่าย ปากที่ใช้เอื้อนเอ่ยก็นิ่งงันไปโดยปริยาย อาจเป็นเพราะความดุดันของเขา หรือไม่ก็ลำปืนสีดำขลับที่ปรากฏเหนือเอวให้เห็น ซึ่งฉันมั่นใจว่ามันสามารถพรากชีวิตด้วยระยะเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD