“ภรรยาพี่ติ คงไม่ใจร้ายถึงเพียงนั้นใช่ไหมขอรับ”
“หืมมอย่าบอกนะว่าตาดลของแม่ห่วงนางจิกมัน อย่ายุ่งกับมันได้ไหมแม่ขอร้องถึงมันจะหน้าตาเหมือนนางเจิมที่ลูกเคยวิ่งเล่นด้วยกันก็ตาม ตาดลของแม่ไปร่ำเรียนมาถึงเมื่องฝรั่งไม่ควรเกลือกกลั้วกับเด็กรับใช้ในบ้านให้คนเขาค่อนแคะ”
ธราดลยิ้ม
“ขอรับ กระผมทราบแล้วขอรับ แค่มีมิตรกะจิตมิตรกะใจให้บ้างตามประสาคนศิวิไลด์สมัยนี้โลกเราเป็นประชาธิปไตยแล้วครับคุณแม่ ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน”
“ไม่มีจริงหรอกอะไรไตไตของลูก ตราบใดที่คนยังนิยมความสะดวกสบายและเงินทองยังมีความสำคัญ การที่มีบ่าวรับใช้แทนมือแทนตีนก็ยังคงอยู่ ยิ่งแสดงให้พวกมันเห็นว่าพวกเราเหนือกว่าก็เพื่อที่จะกดให้พวกมันเจียมตัว”
“คุณแม่ ครับสักวันผมจะเปลี่ยนความคิดคุณแม่เสียโลกเราไปถึงไหนแล้ว หาใช่ชนเผ่าที่ต้องเคารพแค่เพียงผู้นำและยอมมอบกายถวายชีวิตกับหัวหน้าเผ่าเพียงคนเดียว”
"เชิญเถอะยะ เขาว่าโลกศิวิไลช์ผู้ต่างมีความสุขยิ้มแย้มแจ่มใส แต่แม่ว่าแบบเดิมก็ดีแล้ว มีสิ่งยึดเหนี่ยวและศูนย์รวมจิตใจ เหมือนครอบครัวใหญ่ที่ต้องมีนายมีคุณท่านมีคุณหญิงบ้านจึงจะร่มเย็นเป็นสุข"
ธราดลยิ้มบางๆ ไม่อยากขัดใจคุณหญิงละม้ายที่จากไปตั้งห้าปีเพิ่งจะได้พบหน้า เขาเชื่อว่าทุกอย่างต้องใช้เวลา เขาไม่มีทางล่วงรู้เลยว่าปัญหาเดียวกันนี้ยังคงอยู่ในสังคมไทยจนถึงปัจจุบัน ต่างกันแค่ เมื่อเวลาผ่านไปสิทธิและเสียงที่ว่ายังถูกคุมกำเนิดไม่ให้แสดงออก ได้อย่างอิสระในมุมมองของคนรุ่นใหม่ หรือหากจะแสดงออกจนเกินงามในมุมของคนรุ่นเก่าที่ยังยึดถือขนบธรรมเนียมและแนวคิดอาบน้ำร้อนมาก่อนหรือแบบเดิมก็ดีอยู่แล้ว
มุจินทร์เดินเข้าไปทีละห้องไม่มีใครให้ถามไถ่ ก็คงไม่ยากเท่าไหร่แค่เดินเข้าไปดูไม่ได้ขโมยอะไรเสียหน่อยหยิบหนังสือแล้วไป
“นั่นไงเจอแล้ว”
พึมพำเบาๆ เดินเข้าไปในห้องที่มีโต๊ะวางหนังสือไว้เล่มหนึ่งพร้อมทั้งกระดาษที่ประทับตราลงยาไว้
มุจรินทร์หยิบนิราศเมืองแกลงมาถือเปิดดูคร่าวๆ สมัยก่อนจะมีโรงพิมพ์กี่โรงกันฟร์อนที่ไม่คุ้นตาแต่ก็เรียงเป็นระเบียบไว้
ยิ้มกับกระดาษที่ค่อนข้างหยาบและสีออกเหลืองเกือบน้ำตาแบบนี้อ่านสบายตามีช่วงหนึ่งที่สมัยใหม่ที่เธอจากมานิยมใช้กระดาษขาวมีความมันวาวพิมพิ์เล่มหนังสือมองดูสะอาดตาพากันเห่อไปพักหนึ่ง ลืมกระดาษสีน้ำตาลเนื้อหยาบไป แต่เมื่อไม่นานผ่านไปกลับรู้ว่ากระดาษสีเหลืองเกือบน้ำตาลนี้สบายตายามอ่านแค่ไหนจนในที่สุดสำนักพิมพิ์บางแห่งก็กลับมาใช้กระดาษถนอมสายตาซึ่งสีสันก็ไม่ต่างจากกระดาษเนื้อหยาบในสมัยโบราณ
เหลือบตามองเอกสารสีเดียวกันกับเนื้อในหนังสือที่มีตราประทับมองดูขลังก็เห็นว่าเป็นภาษาอังกฤษ
จั่วหัวด้วยคำที่คุ้นหู
“คณะราษฎร ประเทศ ฝรั่งเศส….”
มุจิรทร์เอื้อมมือไปหยิบเอกสารแผ่นนั้นขึ้นมาไล่สายตาไปมาบนตัวหนังสือมือเย็นเฉียบตัวชา
“เจอหรือยังหนังสือ”
เสียงทุ้มของธิตินันท์ดังอยู่ด้านหลัง มุจรินทร์รีบวางกระดาษแผ่นนั้นลงที่เดิม ธิตินันท์คว้ากระดาษมากำไว้
“เนื้อความในกระดาษแผ่นนี้ว่าอย่างไร”
“หา อะไรนะคะ”
ทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ธิตินันท์ไม่ใช่คนโง่ เขาลองทดสอบภูมิปัญญาของมุจรินทร์
“ไม่ทราบค่ะ”
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น แต่ฉันได้ยินมาว่าจิกตามไปเรียนโรงเรียนฝรั่งกับภรรยาฉันมีมิชชั่นนารีมาสอนภาษามิใช่หรือ”
ธิตินันท์พูดไปก็ล้วงหยิบกุญแจในกระเป๋ากางเกงออกมาไขลิ้นชักที่โต๊ะหนังสือก่อนจะวางมันลงไปแบบไม่ให้ยับย่น
“อ๋อค่ะ จิกลืมเรื่องนี้ไปแล้ว”
จะบอกว่าไม่เคยรู้ต่างหากว่าจิกเคยเรียนโรงเรียนฝรั่งแล้วยังได้เรียนภาษาอังกฤษแต่ธิตินันท์นั้นกับคิดว่ามุจรินทร์ก็คงเหมือนประพาพรที่ไม่เอาอ่าว เรื่องเรียนปัดตกไปสนใจเรื่องการครองเรือนเสียมากกว่าตามแบบผู้หญิงสวยๆ ในพระนครหลายบ้าน
“คุณหญิงเล็กอยากให้ จิกไปงานเลี้ยงด้วย รออยู่ที่รถนู่นแนะ ฉันเลยอาสามาตามและกลับมาหยิบของขวัญไปฝากเจ้าภาพด้วยจะไปมือเปล่าก็กระไรอยู่ คุณหญิงเล็กเปรยว่าจิกไปก็ช่วยได้เยอะอย่างน้อยอากาศร้อนๆ ก็พอได้พัดวีให้”
มุจรินทร์ยิ้มแทนคำตอบไม่เข้าใจว่าคุณหลวงทำไมต้องอธิบายเสียยืดยาว แต่ในใจกับคิดว่ามือหงิกหรือไงถึงพัดเองไม่ได้
“ค่ะ”
“อืมมฉันออกไปก่อนแล้วอย่าลืมหยิบพัดกระดาษสาไปด้วยนะ”
มุจรินท์ทำตัวลีบออกไป แล้วพัดกระดาษสานั่นอยู่ที่ไหน นึกออกแล้วตอนที่แต่งหน้าเห็นมันอยู่ที่โต๊ะอีกตัววางปะปนกับของใช้จุกจิก มุจรินทร์รีบวิ่งไปหยิบพัดกลัวว่าประพาพรจะคอยนานแล้วจะโมโหเอาอีก เฮ้อนี่มุจรินทร์ต้องมาทนรับใช้เด็กไม่ทันโตแบบประพาพรไปอีกนานเท่าไหร่ ความคิดกับหยุดชะงักเมื่อคิดถึงข้อความบนเอกสารแผ่นนั้น
“จะทำการให้สำเร็จลุล่วงในอีกไม่นานนี้ตอนนี้แค่ช่วยกันเผยแผ่แนวคิด ให้กับคนบางกลุ่มโดยเฉพาะคนที่มีการศึกษาที่สามารถเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยและอย่าลืมหลักหกประการ ซึ่งสองประการที่สำคัญยิ่งต้องส่งเสริมให้ผู้คนสนใจและเข้าร่วม
3.จะต้องให้ราษฎรได้มีสิทธิเสมอภาคกัน ไม่ใช่ให้พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่
4.จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการดังกล่าวข้างต้น
“คุณหลวง เป็นคนของคณะราษฎร”
“หืมว่าอย่างไรนะฉันได้ยินไม่ถนัด”
ธิตินันท์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แตะที่ข้อศอของมุจรินทร์เบาๆ
“ไปกันเถอะ ฉันหยิบพัดของฉันมาแล้ว หากขืนให้จิกขึ้นหยิบ คุณหญิงคงอาละวาด”
มุจรินท์ยิ้มเจื่อนๆ ธิตินันท์ เดินนำไปที่รถมุจรินทร์วิ่งตามไปห่างๆ ที่นั่นคุณหญิงเล็กกำลังหน้ามุ่ย
“รอนานแล้วค่ะคุณพี่ มัวทำอะไรกันอยู่”
ธิตินันท์ยิ้มอ่อนโยน
“พี่หาของสำคัญไม่พบแล้วก็ลืมว่ายังไม่ได้เก็บเอกสารสำคัญกลัวว่าจะปลิวหายไปเลยเสียเวลานิดหน่อยอย่าอารมณ์เสียไปเลยคุณหญิง เดี๋ยวจะพาให้ไม่รื่นรมย์งานเลี้ยงเริ่ม 20:00 น ยังมีเวลาอีกมากพี่ว่าจะให้แหวงขับรถกินลมพาคุณหญิงเที่ยวชมแสงสีของพระนครก่อนวันจักรี”
ประพาพรค่อยยิ้มออกกอดแขนคุณหลวงธิตินันท์ไว้แน่น
“นางจิกแกไปนั่งด้านหน้ากับนายแหวง ด้านหลังนี่ฉันจะนั่งกับคุณพี่”มุจรินทร์เปิดประตูรถก้าวเข้าไปนั่งด้านหน้า
เมื่อรถแล่นไปได้สักพัก
“อ้อนางจิกแกอย่าลืมทาสีปากกับผัดแป้งเสียหน่อยฉันไม่อยากให้พวกเพื่อนๆ ในวงสังคมค่อนแคะว่าพาคนรับใช้เนื้อตัวมอมแมมเข้าไปในงานสังคมฉันให้แกยืมแป้งกระป๋องทาตัวจากประเทศฝรั่งกับสีทาปากในกระเป๋าถือของฉัน”
“เจ้าค่ะ”
มุจรินทร์ตอบรับพร้อมกับควานหาของ 2 สิ่งในกระเป๋าของประพาพร ลูบหน้าแบบลวกๆ ด้วยแป้งแล้วป้ายสีทาปากที่เป็นตลับคล้ายกับขี้ผึ้งเพียงแต่มีสี ขึ้นป้ายบนริมฝีปากของตัวเอง
“หันมาให้ฉันช่วยดู”
ประพาพรออกคำสั่ง มุจรินทร์หันหน้านวลไปหาคนทั้งสอง
“ฉันและเกลียดแกจริงๆ นางจิก แกมักดูดีในยามที่ผัดหน้าทาแป้ง”ธิตินันท์จ้องใบหน้านวลของมุจรินทร์นิ่ง
“จิกลบออกก็ได้นะคะคุณหญิงถ้าคุณหญิงไม่ชอบ”
“แกนี่คิดเป็นจริงเสียหมด ฉันแค่อย่าเย้าแกเล่นทำไมฉันจะไม่ชอบ ในเมื่อใครๆ จะได้พูดว่าแม้แต่คนรับใช้ยังดูดีสะอาดสะอ้านคนเขาจะได้ไม่ดูถูกมาถึงฉันและคุณหลวง”
“คุณหญิงดูนั่นไฟประดับวิบวับสวยงามเสียจริง”
ประพาพรหันไปมองตามมือที่ธิตินันท์ชี้ชวน
“จริงด้วยค่ะคุณพี่สวยจังเลยน้องพึ่งจะมีโอกาสได้ชมพระนครยามค่ำคืน ปกติคุณพ่อกับคุณหญิงแม่ไม่ใคร่จะอนุญาตให้ออกมาข้างนอกยิ่งเวลาอย่างนี้ด้วยแล้ว”
มุจรินทร์เองก็ตื่นตาตื่นใจกลับกรุงเทพฯยามราตรีที่มีรถยนต์วิ่งแทบจะนับคันได้ถนนหนทางแม้ไม่กว้างขวางแต่ก็สบายตาต้นไม้สองข้างทางยังมีให้เห็นอยู่มากร่มรื่นและสบายตาไม่เหมือนกรุงเทพฯสมัยนี้
“คุณหญิงชอบพี่ก็ดีใจ อีกไม่ไกลข้างหน้าก็ถึงบ้านคุณหลวงกษิสินแล้ว”
มุจรินทร์พานชะเง้อคอมองตาม ตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้ร่วมงานเลี้ยงในอดีต นึกถึงภาพการเต้นลีลาศและการเลือกคู่เหมือนในนิยาย อดคิดไม่ได้ว่าหากมุจรินทร์แต่งตัวสวยๆ เหมือนคุณหญิงประพาพรไปยืนอยู่ที่ในงานเลี้ยงจะตื่นเต้นแค่ไหนกัน