Mafia Part
.
ผมกลับมาใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิมที่เคยเป็น เพื่อน ๆ ไม่จำเป็นต้องหลอกล่อให้ผมไปเที่ยวด้วยเหมือนแต่ก่อน เพราะชีวิตที่ไม่ต้องระวังความรู้สึกใครทำให้บางครั้งก็เป็นผมที่เสนอตัวเอง คอนโดนั้นถูกปล่อยทิ้งไว้ เพราะผมตัดสินใจย้ายกลับไปอยู่ที่บ้าน แม้จะต้องเจอหน้าพ่อและแม่ที่จ้องจะกำหนดชีวิตลูก ๆ ตลอดเวลา แต่มันก็ดีกว่าต้องกลับไปเจอภาพเดิม ๆ ในห้องเดิม ๆ
“โปรเจกต์จบถึงไหนแล้วมึง” เควิลชวนคุยคนแรก มันดูสภาพดีที่สุดแล้วในกลุ่ม วันนี้พวกเรารวมตัวกันได้ในรอบเดือนหลังจากที่หัวปั่นอยู่กับโปรเจกต์จบ เลยตกลงกันว่าจะนั่งดื่มเงียบ ๆ ไม่ต้องการใครมายุ่งวุ่นวายเพื่อพักสมอง
“สามสิบเปอร์เซ็น”
“เฮ้อออออออออ” คริสถอนหายใจออกมาแรง ๆ “เลิกพูดเรื่องงานกันก่อนเถอะพวกมึง กูจะอ้วกออกมาเป็นโมเดลอยู่แล้ว”
“เออ ๆ รีแล็กซ์ ๆ” เนตั้นเอ่ยอย่างเห็นด้วย ก่อนที่พวกเราทุกคนจะนั่งดื่มกันเงียบ ๆ ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดตัวเอง
“พวกมึง” เควิลเป็นคนที่ทำลายความเงียบอีกครั้ง ผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่ดูเครียดขรึมของเพื่อนด้วยความแปลกใจ เควิลเป็นคนที่ขี้เล่นและดูเหมือนจะไร้เรื่องเครียดที่สุดในกลุ่ม น้อยครั้งที่จะเห็นทำหน้าแบบนี้
“เป็นไรวะ ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“พวกมึงคิดว่าไงวะ...คือกูกับพบรัก เราคบกันแล้วว่ะ” เควิลว่าพลางเกาหัวเก้อ ๆ มันคงคิดมากอยู่ไม่น้อยก่อนที่จะกล้าพูดเรื่องนี้ออกมา
“ก็ดีหนิ” คริสเอ่ยแบบสบาย ๆ ส่วนผมและเนตั้นก็ได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย
“ไม่แปลกใจกันเลยหรอวะ”
“ไม่อะ ใคร ๆ เขาก็ดูออกว่ายังไงมึงกับรักก็ต้องลงเอยกัน ตัวติดกันเป็นตังเม มึงอะตัวดี หวงเขาเป็นหมาหวงก้างจนไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าจีบรักมันซักคน”
“มันขนาดนั้นเลยเหรอวะพวกมึง”
“เออ!” สามเสียงที่ประสานกันทำให้เควิลต้องยกเหล้าเข้าปากอย่างกระดากอาย ผมมองภาพนั้นก่อนจะยิ้มออกมานิด ๆ ไม่ยักรู้ว่าคนหน้าด้านหน้าทนแบบมันจะมีมุมนี้ด้วย
“แล้วคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
“เมื่ออาทิตย์ก่อนนี่เอง”
“รู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ว่ารักเขาเกินเพื่อน” คริสถามคำถามที่ผมอยากรู้พอดี พบรักกับเควิลเป็นเพื่อนกัน แน่นอนว่าพบรักก็เป็นเพื่อนกับเราทั้งสามคนด้วย ตั้งแต่เล็กจนโตเธอเปรียบเสมือนเจ้าหญิงของกลุ่มที่มีอัศวินสี่คนคอยดูแล แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเจ้าหญิงองค์นี้มีอัศวินดูแลแค่เพียงคนเดียว เพราะไอ้อัศวินคนนั้นมันหวงก้าง ไม่ให้ใครยุ่งไม่ให้ใครเข้าใกล้ แม้แต่เพื่อนอย่างพวกผมมันยังขู่ฟ่อ ๆ นับประสาอะไรกับคนอื่น หวงเขา แต่ก็แกล้งให้เขางอนได้ทุกวี่ทุกวัน โคตรโรคจิต
“ไม่รู้เลยว่ะ” เควิลตอบเสียงอ่อย “รู้ตัวอีกทีก็เสียเขาไปไม่ได้แล้ว กูเลยสารภาพไป ตอนแรกไม่คิดว่ารักมันจะรับรักกูด้วยซ้ำ”
ไม่รับได้ไง พบรักมันรักมึงมาตั้งนาน ไอ้เพื่อนโง่
ผมแอบด่ามันในใจ ใคร ๆ เขาก็ดูออกทั้งนั้นว่าพบรักชอบมัน มีแต่มันนั่นแหละที่ไม่รู้และทำให้พบรักเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“สถานะเพื่อน พอเปลี่ยนแล้วมันกลับไปเป็นเหมือนเดิมยากนะวิล” ผมพูดเรียบ ๆ เป็นประโยคแรกที่ผมเอ่ยออกมาหลังจากที่ฟังเพื่อน ๆ พูดกันมานาน “รู้ใช่ไหม”
“กูรู้ แต่กูรักเขา กูปล่อยเขาไปไม่ได้อีกแล้ว”
“อืม”
“เฮ้อออออออออออออ” คริสถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่สอง “กูแม่งโคตรไม่เข้าใจคนมีความรักเลยว่ะ ความรักมันเป็นยังไงวะ หน้าตาดีเหมือนกูหรือเปล่า”
“ดีกว่ามึงหลายขุมเลยแหละได้เพื่อนเวร มาขัดอารมณ์ตอนกูกำลังจะซึ้ง ๆ” คำพูดของเควิลทำให้ทั้งโต๊ะหัวเราะออกมาได้ ผมเองก็ยิ้มออกมาบาง ๆ ก่อนจะยกแก้วของตัวเองขึ้นกระดกเรื่อย ๆ
“แล้วมึงอะเฟีย”
“กูทำไม”
“ช่วงนี้เลิกกับแฟนแล้วเหรอ ถึงได้ชวนพวกกูออกเที่ยวจัง”
“กูไม่มีแฟน”
“โกหกเพื่อนนะมึง” เควิลชี้หน้าผมเหมือนจะหาเรื่อง “กูยังบอกเรื่องของกูเลย มึงเล่าเรื่องของมึงบ้างสิวะ”
“ก็กูไม่มีแฟนจริง ๆ ให้กูเล่าอะไร”
“ไม่มีแฟนแล้วทำไมสี่ห้าเดือนที่แล้วมึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคนขนาดนั้น ใช้เวลากับเพื่อนน้อยลง สาวก็ไม่สนใจ แถมยังยิ้มบ่อยอีก โคตรไม่ใช่มึง”
“กูไม่ได้โกหก กูไม่มีแฟนจริง ๆ”
“แล้วผู้หญิงที่มึงพาขึ้นคอนโดคือใคร” คริสเอ่ยประโยคเด็ดออกมา เล่นเอาเพื่อนอีกสองคนมองผมตาค้าง ตาโตหูตั้งพร้อมเผือกเต็มที่ “มึงเคยให้ใครไปคอนโดที่ไหน พ่อแม่มึงยังไม่มีสิทธิ์ แต่เมื่อสองสามเดือนก่อนกูเห็นนะว่ามึงพาสาวเข้าคอนโด เสียดายที่ได้เห็นแค่ข้างหลัง แต่ขนาดเห็นแค่ผ่าน ๆ กูยังพอเดาได้เลยว่าต้องโคตรสวย ที่สำคัญหุ่นโคตรดี มีแฟนสวยแล้วเก็บเงียบเลยนะมึง”
ที่คริสพูดไม่ได้เกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียว คอนโดส่วนตัวของผมไม่เคยมีใครได้เข้าไปยกเว้นเพื่อนทั้งสี่คนรวมถึงพบรักด้วย แม้แต่พ่อแม่พี่น้องก็ไม่มีสิทธิ์ เพราะคอนโดนี้ผมซื้อด้วยเงินที่หามาได้ด้วยตัวเอง พวกเขาจึงไม่กล้ามายุ่งวุ่นวาย และผมมักจะอยู่คอนโดเป็นหลักเพราะเบื่อบ้านที่ไม่เหมือนไม่ใช่บ้านเต็มทน
นับดาวคือผู้หญิงคนแรกที่ไม่ใช่เพื่อนในกลุ่ม แต่ได้รับสิทธิพิเศษในการได้เข้าไปเหยียบในคอนโดนั้น หนำซ้ำยังเป็นคนแรกที่ได้ค้างคืนที่นั่น มีสิทธิ์เข้าออกไม่ต่างจากผมที่เป็นเจ้าของห้อง
“ไม่ใช่แฟน”
“แล้ว?”
“Friend With Benefit”
“ใครวะ”
ผมถอนหายใจ ยังไงวันนี้ก็คงโดนซักจนสะอาด
“นับดาว”
“เชี่ยยยยยยยยยยยยย”
เพื่อนแต่ละคนมีปฏิกิริยาต่างกันออกไปเมื่อรู้ความลับของผม เควิลได้แต่อ้าปากค้าง เนตั้นถึงกับอุทานคำหยาบคายออกมา ส่วนไอ้คริสกลับยิ้มร่าอย่างผู้ชนะ
“กูว่าแล้ว!”
“ว่าอะไรของมึงวะคริส” เนตั้นรีบถามเพื่อนกะล่อนด้วยความอยากรู้ ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนสนิทกันมันคงกระชากคอเสื้อไอ้คริสเพื่อเค้นเอาคำตอบไปแล้ว นิสัยใจร้อนของมันฝังรากเข้าไปในสันดานจนยากจะแก้
“กูว่าแล้วว่าต้องเป็นนับดาว”
“ทำไม มึงรู้อะไรมา”
“กูไม่รู้อะไรหรอก แต่สัญชาติญาณมันบอกว่าสองคนนี้ไม่ธรรมดา ก็แค่นั้น” คริสตัดบทพร้อมยักไหล่อย่างกวน ๆ เล่นเอาเนตั้นแทบจะยกโต๊ะทุบหัวมัน เมื่อหาประโยชน์อะไรจากคริสไม่ได้พวกมันจึงพุ่งเป้ามาที่ผมแทน
“มึงต้องเล่าแล้วแหละ อย่ามาใช้ความเงียบกับหน้าตาย ๆ ของมึงกลบเกลื่อน พวกกูไม่ยอมแล้วนะเว้ย”
“พวกมึงอยากรู้อะไรก็ถามมา เพราะให้เล่าเองกูก็ไม่รู้จะเล่าอะไรเหมือนกัน”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มึงกับนับดาว...”
“ก่อนปิดเทอมปีสาม”
“แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไงวะ”
“กูเมา เขาเมา”
“ก็เลยแดกกันเอง” คริสต่อประโยคของผมให้จบ ก่อนจะกระดกเหล้าเข้าปากด้วยท่าทีที่โคตรกวนเบื้องล่าง
“แล้วตอนนี้?”
“จบแล้ว”
“ทำไมวะ นับดาวโคตรสวยเลย มึงปล่อยเขาไปได้ยังไง มึงรู้ไหมผู้ชายทั้งคณะจ้องจะกลืนนับดาวลงท้องทุกครั้งที่เขาเดินผ่าน ไม่เสียดายหรอวะ” เนตั้นถาม มันดูอินกับเรื่องของผมจนออกนอกหน้า
“ผู้ชายที่ว่ารวมถึงมึงด้วยงั้นสิ”
“ก็...” มันอึกอัก “ก็ด้วยแหละ สวยขนาดนั้น หุ่นเต็มไม้เต็มมือ ผิวขาวอมชมพูเนียนกริบ ใครบ้างไม่อยากได้วะ แต่ถ้ากูรู้ว่าของเพื่อนกูคงไม่คิดแบบนั้นหรอก กูไม่ชอบแย่งของเพื่อนมึงก็รู้”
“นับดาวไม่ใช่ของ ๆ กู”
“เออ ๆ นั่นแหละ กูหมายถึงจะไม่กินผู้หญิงคนเดียวกับเพื่อนไง”
“คิดยังไงถึงไปมีความสัมพันธ์อะไรแบบนั้นกับนับดาววะ” คริสเอ่ยถามอย่างจริงจัง ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มดูเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด “เท่าที่กูเคยเห็นมา ไอ้ Friend With Benefit อะไรเนี้ยทำคนเจ็บมาเยอะแล้วนะ ที่บอกว่าได้กันบ่อย ๆ แต่ไม่ผูกพันมันมีจริงที่ไหน อย่างน้อยก็ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่รู้สึกอะ แล้วคนที่รู้สึกก็มักจะเจ็บที่สุดด้วย”
“กูก็คิดแบบนั้น” เควิลเสริม “ถามจริง ระหว่างพวกมึงไม่มีใครรู้สึกเลยอะไรเหรอวะ”
คำถามนั้นทำให้มือที่กำลังจะกระดกเหล้าเข้าปากชะงัก ผมมองหน้าเพื่อนทุกคน ก่อนจะตัดสินใจพูดมันออกมา
“มี”
“ใคร”
“กู”