Mafia Part
.
“ห้องนายไม่มีพวกมะนาวหรือน้ำขิงเลยเหรอ” นับดาวหันกลับมาถามผม หลังจากที่พยายามหาของที่ต้องการมาหลายนาที
วันแรกของเราหลังจากยุติความสัมพันธ์แบบ Friend With Benefit ลงอย่างเป็นทางการเริ่มต้นขึ้นแบบงง ๆ และค่อนข้างวุ่นวาย เพราะหลังจากที่คุยกันได้ไม่กี่ประโยคผมก็ปวดหัวจากอาการเมาค้างอย่างรุนแรง เดือดร้อนให้นับดาวต้องคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง ช่างเป็นการเริ่มต้นที่น่าประทับเหลือเกิน
“ไม่มีหรอก ฉันไม่ได้กลับห้องมาเป็นเดือนแล้ว”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“ไม่มีคนให้นอนกอด” ผมหยอดอีกครั้งเมื่อมีโอกาส พร้อมส่งสายตาที่คิดว่าหวานที่สุดให้อีกฝ่ายอย่างไม่เจียมสังขาร แต่มันคงแปลก ๆ น่าดูเพราะนับดาวทำหน้าปุเลี่ยนใส่เสียอย่างนั้น
“นายนี่ เหมือนโดนผีสิงเลยอะ”
“ฉันกำลังจีบเธอไง”
“จีบแบบนี้ไม่ชินเลย” เธอว่าพร้อมหันกลับไปทำอะไรกุกกักที่ครัวอีกครั้ง ด้วยความสงสัยผมจึงเดินเข้าไปเมี่ยง ๆ มอง ๆ และดูเหมือนว่าเธอจะไม่รู้ตัว เพราะเสียงหวานยังคงเอ่ยต่อไม่หยุด “แล้วสายตาแบบนั้นเลิกทำเลยนะ มันแปลก ๆ โอ๊ะ!”
นับดาวร้องเสียงดังเมื่อหันกลับมาแล้วหน้าผากชนเข้ากับปลายคางของผม แม้จะไม่แรงนักแต่ก็ทำให้เธอเสียหลักไม่น้อย ซีนโรแมนติกที่หวังไว้จึงกลายเป็นซีนอุบัติเหตุทำให้นางเอกเจ็บตัวแทน
บอกเลยว่าเป็นการเริ่มต้นที่พังมาก
“เจ็บมากไหม” ผมถามพร้อมสำรวจส่วนที่คิดว่าอาจจะได้รับแรงกระแทกมากที่สุด แต่เมื่อเห็นผิวตรงนั้นไม่ได้เกิดร่องรอยอะไรก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความโล่งอก
“ไม่เจ็บ แต่ตกใจ อย่าทำแบบนี้อีกนะ”
“ไม่ชอบเหรอ”
“ไม่ชอบ ถ้าฉันถือของอยู่มันจะอันตราย ทั้งกับตัวนายแล้วก็ฉัน”
“ฉันขอโทษ แค่อยากจะดูว่าเธอกำลังทำอะไร” ผมเอ่ยขอโทษอย่างรู้สึกผิดจริง ๆ เพิ่งตระหนักได้ว่าชีวิตจริงไม่ใช่ละคร การที่พระเอกนางเอกจะหันกลับมาแล้วจ้องตากันมันเป็นแค่เรื่องเพ้อเจ้อ เพราะชีวิตจริงอาจจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ถ้าอีกฝ่ายถือของอยู่
“ไม่เป็นไร ไปนั่งสิ ไหนว่าปวดหัว”
“อือ” ผมรับคำและเดินกลับไปนั่งที่อย่างว่าง่าย นับดาวหันกลับไปทำสิ่งที่ทำค้างอยู่อีกครั้ง ไม่ถึงนาทีกลิ่นกาแฟเข้ม ๆ ก็ลอยมาเตะจมูก
กึก
“ห้องนายเหลือแค่กาแฟ ฉันเคยอ่านในอินเตอร์เน็ตมาว่ามันช่วยแก้อาการแฮงค์ได้”
“ขอบใจนะ”
“อืม”
เธอตอบรับพร้อมยืนจ้องไม่ยอมไปไหน ผมจึงค่อย ๆ ยกกาแฟขึ้นดื่ม รสชาติขม ๆ ของมันทำให้ร่างกายรู้สึกตื่น ใช้เวลาเพียงไม่นานน้ำสีดำสนิทก็หมดเกลี้ยง
“วันนี้เข้ามหาลัยหรือเปล่า”
“เข้าบ่าย ๆ”
“ฉันไปส่งนะ”
“ไม่ต้องหรอก” นับดาวปฏิเสธทันที “ปวดหัวอยู่ก็พักเถอะ ฉันไปเองได้”
“เอางั้นเหรอ”
“เอางี้แหละ”
“ตามใจเธอ” ผมยอมจำนน ดูเหมือนว่านับดาวจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ชอบการเอาอกเอาใจเท่าไหร่ ยิ่งเซ้าซี้เธอจะยิ่งรำคาญ “แต่อยู่จนฉันหลับก่อนค่อยไปได้ไหม ฉันนอนคนเดียวแล้วฝันร้าย”
“นาย...” นับดาวมองผมเหมือนเห็นผี ก่อนจะเดินเข้ามาหาแล้วใช้หลังมือทาบลงบนหน้าผากและซอกคอของผม “ตัวก็ไม่ได้ร้อนนี่นา”
“แล้วทำไมฉันต้องตัวร้อนด้วย” ผมถามกลับด้วยความไม่เข้าใจ ผมแค่ปวดหัวเพราะแฮงค์ ไม่ได้มีอาการป่วยอย่างอื่นร่วมด้วย อะไรที่ทำให้นับดาวคิดว่าผมกำลังป่วย
“ก็นายแปลกเกินไป มาเฟียที่ฉันรู้จักไม่ใช่คนแบบนี้”
“แล้วมาเฟียที่นับดาวรู้จักเป็นคนยังไง ไหนบอกกันหน่อย”
ผมตั้งคำถามพร้อมดึงร่างบางมานั่งบนตัก นับดาวขัดขืนเพียงนิดเดียวก็ยอมนั่งนิ่ง ๆ
เพราะเธอรู้ดีว่าถ้าขยับต่อ จะเกิดอะไรขึ้น
"นายหน้านิ่ง เย็นชา พูดน้อยเหมือนกลัวดอกพิกุลร่วงออกมา ยกเว้นเวลานั้นนะ”
“เวลานั้นมันคือเวลาไหน”
“นี่! ไม่ต้องมาทำตัวใสซื่อเลย”
“ก็ฉันไม่รู้จริง ๆ” ผมว่าพลางรั้งเอวบางเข้าหาตัวเองมากขึ้น นับดาวหันกลับมาส่งสายตาดุ ๆ ใส่เมื่อสัมผัสได้ว่าผมกำลังทำอะไร แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาเพราะกลัวจะเข้าตัวเองอีกครั้ง
“ไม่รู้ก็ไม่ต้องรู้ ปล่อย”
“แต่รู้ไหมที่เธอพูดถึงฉันเมื่อกี้ เหมือนเธอกำลังพูดถึงตัวเองด้วย” ผมกระซิบข้างใบหูเล็กที่เริ่มขึ้นสีแดง “เพราะเราเหมือนกัน เราถึงเข้ากันได้ดี...ทุกเรื่อง”
ผมใช้ปลายจมูกสัมผัสกับซอกคอขาวผ่องแผ่วเบา เพียงเท่านั้นร่างกายของนับดาวก็มีปฏิกิริยาทันที เธอบีบแขนของผมที่วางบนเอวตัวเองแน่นพร้อมกับลมหายใจที่ติดขัด นับดาวเป็นผู้หญิงที่จุดติดง่ายถ้ารู้จุด และจากการที่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของร่างกายนี้มาหลายต่อหลายครั้ง มันทำให้ผมรู้จักร่างกายของเธอดีกว่าเจ้าตัวเสียอีก
พึ่บ
ผมตัดใจยกร่างของเธอลงจากตัก ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินเข้าห้องนอนท่ามกลางสายตาอาฆาตแค้นจากอีกฝ่าย
“ไปนอนก่อนนะ”
“ฝากไว้ก่อนเถอะ!”
.
.
สามทุ่มเศษ ผมบิดขี้เกียจจนกระดูกลั่นดังกร๊อบ งานที่ทำคืบหน้าได้ค่อนข้างเยอะ แต่ก็ต้องวัดดวงกันไปว่าส่งตรวจแล้วจะโดนแก้แค่ไหน
อาการปวดหัวหายดีแล้ว แต่อาการปวดตัวกลับมาแทนที่ เพราะช่วงนี้ต้องเคลียร์งานให้เรียบร้อยเลยไม่มีเวลาได้ออกกำลังกาย โชคดีที่ซิกแพคที่ปั้นมานานยังไม่หายไป แต่สุขภาพแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเป็นแต่ก่อนต่อให้นั่งนานกว่านี้ก็ไม่ได้มีอาการปวดเมื่อยมากขนาดนี้ นี่นั่งแค่ไม่กี่ชั่วโมงกล้ามเนื้อก็แข็งไปหมด
ติ้ง
ผมมองมือถือที่ปิดแจ้งเตือนจากทั้งหมดไว้เหลือเพียงแค่เพื่อนและนับดาว ก่อนจะรีบเปิดอ่านทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
‘เสร็จงานแล้ว’
“เพิ่งเสร็จเหรอ สามทุ่มกว่าแล้วนะ”
'นี่เร็วแล้วนะ’
“หมายความว่าปกติดึกกว่านี้”
’ช่ายแล้วค่า’
คำตอบจากอีกฝ่ายทำให้ผมอดยิ้มออกมาไม่ได้ คิดถูกจริง ๆ ที่กล้า(เพราะเมา)พูดออกไปว่าอยากเริ่มต้นใหม่กับนับดาว จากที่เคยคุยกันแค่ถามไถ่ว่าวันนี้ว่างมาเจอกันไหม ถ้าว่างก็แค่นัดเจอ มีเซ็กส์ แล้วก็แยกย้ายกัน กลับกลายเป็นได้รู้ชีวิตประจำวันของเธอด้วย เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่นเธอทำอะไร กลับบ้านเวลาไหนกลับกลายเป็นความแปลกใหม่ที่ผมรู้สึกชอบที่จะได้รับรู้
และที่สำคัญคือผมได้เรียนรู้ตัวตนของเธอมากขึ้น นับดาวที่เคยรู้จักคือผู้หญิงสวย หยิ่ง เข้าถึงยาก แต่นับดาวในวันนี้กลับเป็นผู้หญิงธรรมดาที่มีความน่ารักน่าแกล้ง แถมยังแอบกวนเล็ก ๆ ด้วยซ้ำ
แปลกดี มันทำให้ผมอยากรู้ว่าคน ๆ หนึ่งจะมีกี่ด้านที่ซ่อนไว้
“แล้วกลับยังไง”
’เอารถมา’
’ขับรถก่อนนะ’
“ถึงคอนโดแล้วบอกด้วยนะ”
’อือ’
นับดาวตอบมาสั้น ๆ พร้อมสติ๊กเกอร์การ์ตูนผู้หญิงทำท่าโอเคมาให้หนึ่งตัว ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงจบบทสนทนาด้วยคำว่า อือ คำเดียว แต่เพราะตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป ทั้งผมและเธอจึงพยายามลดกำแพงลงเพื่อเข้าหากันได้มากขึ้น และสิ่งน่ารักเล็ก ๆ อย่างเช่นการส่งสติ๊กเกอร์ของเธอก็ทำให้ผมยิ้มได้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ในวันนี้
เป็นอีกครั้งที่ผมบอกตัวเองว่าตัดสินใจไม่ผิดจริง ๆ
แต่แล้วรอยยิ้มของผมก็เลือนหายไปทันทีเมื่อเห็นว่าหน้าจอขึ้นชื่อของใครบางคนที่โทรเข้ามาแทนหน้าแชทของนับดาว
ใครบางคนที่ผมพยายามเลี่ยงที่จะติดต่อมาตลอด ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่ายังไงก็คงไม่มีทางหนีพ้น
ชั่งใจอยู่เพียงครู่เดียว ผมก็ตัดสินใจกดรับสายนั้น
“ครับ คุณย่า”