เซียวเหรินคิดถึงกงอี้เทา ปกติหนึ่งหรือสองเดือนจะต้องลอบออกจากตำหนักมาหาเขาเพื่อสนทนาพูดคุยเช่นสหายรัก อย่างไรหญิงคนนี้ก็เป็นคนของกงเสวี่ยหลิง เช่นนั้นส่งนางให้กงอี้เทาดูแลต่อคงไม่เป็นไร หรือถ้าเป็นคนร้ายก็ให้จางซงหยวนจัดการเสีย
“เช่นนั้นเจ้าอยู่ที่นี่ไปก่อน รักษาตัวเองให้หายดี ข้าจะส่งข่าวให้กงอี้เทารู้ เพื่อเขาจะได้มารับเจ้าและออกติดตามคุณหนูของเจ้า”
“ข้าอยู่ที่นี่ได้หรือ?”
“ได้” เขาพยักหน้ารับ “แต่ห้ามพูดเรื่องกงเสวี่ยหลิงให้ใครได้ยิน”
“ได้! ข้าทำได้!”
“ดี”
“ขอบคุณซือจื่อ”
“อย่าเรียกชื่อนี้อีก”
หญิงสาวอ้าปากค้างสีหน้างุนงง “ก็คุณหนูกับคุณชายจางเรียกท่านว่าซือจื่อนี่”
“เรียกข้าเซียวเหริน” เขาไม่ต้องการให้ใครอื่นเรียกชื่อรองอย่างสนิทสนมพร่ำเพรื่ออีก
“แต่ว่า...” นางเคยชินกับการรับคำสั่งของกงเสวี่ยหลิงคนเดียวเท่านั้น
“หากต้องการอยู่ที่นี่ทำตามคำสั่งข้า”
หญิงสาวได้แต่พยักหน้าหงึกๆ พอเห็นร่างสูงลุกขึ้นจากตั่งของนางแล้ว นางก็รีบลุกขึ้นหมายจะเดินตามเขา แต่ร่างกายที่แทบไร้เรี่ยวแรงทำให้นางแทบไม่มีแรงทรงตัว ร่างเกือบทรุดลงไปกองกับพื้น แต่มือใหญ่เข้ามาประคองได้ทัน
“เจ้ายังไม่แข็งแรง พักผ่อนในนี้ไปก่อน”
“คือ...ข้า...ข้าหิวแล้ว”
เซียวเหรินเห็นสีหน้าประดักประเดิดของนางแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ เอาเถอะ ใครใช้ให้เขาเป็นหมอรักษาผู้อื่นกันเล่า คิดเสียว่าเลี้ยงหมาแมวเพิ่มสักตัว
เอ๊ะ! นางบอกตัวเองเป็นนก เช่นนั้นเขาเลี้ยงนกเพิ่มก็แล้วกัน
........
หญิงสาวโผล่หน้าออกมาจากเรือนหลังน้อย ดวงตาสุกใสกวาดตามองด้วยความตื่นเต้น นางฟังเรื่องราวของเซียวเหรินมามากมาย แต่ไม่คิดว่าจะได้เห็นด้วยตาตัวเองเช่นนี้ เป็นอย่างที่คุณหนูกงเสวี่ยหลิงเล่าให้ฟังจริงๆ ด้วย เรือนหลังน้อยไม่มีบ่าวรับใช้ เป็นเรือนที่อบอวลด้วยกลิ่นสมุนไพรต่างๆ เซียวเหรินเป็นคนพูดน้อยใบหน้าเรียบเฉยจึงคล้ายคนหยิ่งยโส ทว่าความจริงแล้วเขาไม่เคยนิ่งดูดาย เมื่อเห็นใครเจ็บไข้หรือบาดเจ็บมาย่อมยื่นมือช่วยเหลือทุกครั้งไป
นางมองแผ่นหลังของเซียวเหรินที่ยุ่งกับการตรวจคนป่วยที่นอนบนแคร่ไม้ไผ่ นางกินอาหารที่ติงชุ่ยยกมาให้ ติงชุ่ยหน้าตาบึ้งตึงพูดอะไรไม่รู้มากมายแล้วหมุนตัวเดินจากไป ปล่อยให้นางกินโจ๊กหอมกรุ่น เป็นครั้งแรกที่นางจับช้อนตักอาหารเข้าปากด้วยตนเอง นางเงอะงะอยู่ครู่หนึ่งจึงทำได้โดยไม่หกเลอะเทอะ นางได้กินโจ๊กหอมกรุ่นจนเกลี้ยงชาม แต่เหตุใดนางยังไม่รู้สึกอิ่ม หญิงสาวลูบท้องของตนเบาๆ เมื่อครั้งเป็นนกนางก็กินเพียงเล็กน้อย เคยเฝ้าดูคุณหนูกินอาหารแต่ละมื้อก็กินเพียงเล็กน้อยเช่นกัน แต่เหตุใดนางกินจนเกลี้ยงชามแล้วยังไม่รู้สึกอิ่ม ร่างกายยังอ่อนแรงอยู่ นางจึงยอมขัดคำสั่งของเซียวเหรินที่ให้นางอยู่แต่ในห้อง ถือชามโจ๊กออกมาด้านนอก
หญิงงามแม้อยู่ในชุดหญิงชาวบ้านเสื้อผ้าเปื่อยเก่าแต่ไม่อาจปกปิดความงามนั้นไว้ได้ ผมยาวดำขลับเพียงถูกรวบไว้ง่ายๆ ด้วยปิ่นไม้ นางประคองชามโจ๊กที่ว่างเปล่าราวกับขอทานน้อย แววตาตื่นตระหนก ริมฝีปากแดงชาดเม้มแน่นดูน่าสงสารนัก
“เจ้าออกมาทำไมกัน” ติงชุ่ยถามพลางเดินไปลากแขนแทบจะปลิวลมของหญิงสาวมาใกล้ นางไม่ยินดีเห็นสตรีอื่นหน้าตาโดดเด่นมาอยู่ใกล้นัก เดิมทีได้ยินท่านเซียวสั่งให้นางอยู่แต่ในห้อง ไม่คิดว่านางกล้าออกมาให้ผู้อื่นเห็นเช่นนี้
“ข้า...ข้ากินไม่อิ่ม” นางพูดตะกุกตะกัก “ขอ...ขอกินอีกได้ไหม”
ติงชุ่ยแม้ไม่ชอบหญิงสาวคนนี้ หรือพูดให้ถูกคือไม่ชอบหญิงสาวทุกคนที่อยู่ใกล้เซียวเหริน แต่ท่าทางน่าสงสารเช่นนี้ทำให้คนใจอ่อน ติงชุ่ยจับข้อมือผอมบางนั้นเดินไปยังครัวเล็กๆ ที่เป็นทั้งครัวและที่ต้มยา หลัววั่งที่กำลังต้มยาอยู่เห็นหญิงสาวเดินเข้ามาพร้อมติงชุ่ยก็ส่งยิ้มให้ แต่ติงชุ่ยกลับเบ้ปากใส่แล้วพยักพเยิดให้หลัววั่งมองดูในชามเปล่าในมือของนาง
“นางกินไม่อิ่ม เจ้าพอมีอะไรให้นางกินอีกหรือไม่”
หลัววั่งฉีกยิ้มกว้าง คนหิวกินอาหารได้มากแสดงว่าร่างกายกำลังฟื้นคืนกำลัง เขาเองแม้ไม่ฉลาดนัก แต่จดจำถ้อยคำของท่านเซียวไว้เป็น
ความรู้
“โจ๊กหมดแล้ว แต่มีหมั่นโถวอยู่ เจ้ากินรองท้องไปก่อนได้หรือไม่”
หญิงสาวรีบพยักหน้าหงึกๆ แววตาเป็นประกายด้วยความดีใจ หลัววั่งเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนที่คาดเอวอยู่แล้วเดินไปเปิดซึ้งหยิบหมั่นโถวออกมา เขารับชามเปล่าจากมือนางแล้วยื่นหมั่นโถวให้
“ค่อยๆ กิน มันร้อน”
“อือ” ปากเล็กๆ อ้าเป็นวงกลมแล้วเป่าหมั่นโถวขาวอวบในมือ เมื่อมั่นใจว่าไล่ความร้อนออกไปแล้วก็อ้าปากกัดกินคำโต
“ค่อยๆ กิน ประเดี๋ยวจะติดคอ” หลัววั่งเตือนแล้วรีบหมุนตัวไปรินน้ำมาเตรียมไว้ให้ดื่ม “ยังมีอีกหลายลูก เจ้าไม่ต้องกลัวจะไม่อิ่ม”
“ขอบคุณมาก” นางซาบซึ้งใจยิ่งนัก “พี่สาวกับพี่ชายช่างดีเหลือเกิน”
ถ้อยคำเอ่ยตรงไปตรงมาทำให้ติงชุ่ยและหลัววั่งเขินอายขึ้นมา ติงชุ่ยเห็นท่าทางไร้เดียงสาของนางก็อดเอ็นดูไม่ได้
“เจ้าชื่ออะไรนะ”
“หลันหลัน” นางตอบทั้งที่หมั่นโถวเต็มปาก ก้อนแป้งขาวติดริมฝีปากสีแดงช่างน่าดูนัก “คุณหนูเรียกข้าว่าหลันหลัน”
“อ่อ...” หลัววั่งพยักหน้ารับ “ข้าชื่อหลัววั่งและนี่ติงชุ่ย”
“พี่หลัววั่ง พี่ติงชุ่ย” นางเรียกขานพร้อมรอยยิ้ม
“หมั่นโถวอร่อยมากหรือ?”