บทที่๔ กลับมาก็เหมือนไม่มา
เข็มหอมนั่งมองหน้าลูกชายที่เริ่มเห็นแก้มชัดเจนจนทำให้จมูกโด่งแหลมที่เป็นจุดเด่นบนใบหน้าตอนแรกเกิดเหมือนจะด้อยลงไป เพราะแก้มเป่งแดงระเรื่อเหมือนมะเขือเทศสุกดึงความสนใจไปหมด จนพยาบาลกับหมอวิวัฒน์เย้าว่าหล่อนขุนลูกจนอ้วนผิดหูผิดตาในตอนที่พาไปตรวจสุขภาพและฉีดวัคซีนเมื่ออายุครบหนึ่งเดือน
นี่หนึ่งเดือนแล้วหรือ หล่อนสะท้อนใจเมื่อนึกถึงวันเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วไม่ได้สะท้อนใจที่ต้องเลี้ยงดูลูกคนเดียว แต่สะท้อนใจกับการเฝ้ารอให้เขากลับมา
หลังจากวันที่นิกรมาส่งข่าวด้วยตนเองแล้วจากนั้นฟารุสก็โทรทางไกลมาพูดคุย แน่นอนย่อมคุยกันแบบงูๆ ปลาๆ เพราะต่างไม่เก่งภาษาอังกฤษ แต่ท่านอยากเห็นหน้าหลานจึงได้โทรมาหานับว่าบ่อยพอสมควร และทุกครั้งหล่อนจะมองเห็นไฟรัสอยู่แถวนั้นด้วย เขาดูผอมลงมากอาจเพราะร่างกายยังไม่แข็งแรงเต็มที่ เขามองหล่อนและเด็กทั้งสองนิ่งไม่พูดไม่จา อาจมียิ้มบ้างหากข้าวสวยเรียกแดดดี๊เพราะแม่หนูน้อยจำเขาได้จากที่หล่อนให้ดูรูปถ่ายทุกๆ วัน และที่ทำให้หล่อนรู้สึกแย่ที่สุดคือในสายตาที่มองมานั้นว่างเปล่าเหลือเกิน
อย่าบอกนะว่านายจำฉันไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
แรกๆ ก็คิดว่าครั้งสองครั้งแรกเขาอาจยังจำไม่ได้ แต่พอหลายครั้งเขาก็ยังใช้สายตาแบบเดิมมองหล่อนก็อดใจเสียไม่ได้กลัวว่าไฟรัสจะจำไม่ได้จริงๆ แต่พ่อเขาบอกว่าความทรงจำค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาแล้วและมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องเป็นห่วง แล้วจะรีบพาเขากลับมาในเร็วๆ นี้ หลังเคลียร์งานที่ค้างไว้นานเสร็จ
จะไม่ห่วงไหวหรือ ผัวทั้งคน
วันนี้เข็มหอมได้รับการแจ้งข่าวแต่เช้าหลังจากไม่ได้พูดคุยกับฟารุสเสียหลายวันว่าจะพาไฟรัสกลับมาหาหล่อนกับลูก ในความยินดีปรีดานั้นมีความกังวลเคลือบอยู่มาก หากมาแล้วเขาจำไม่ได้เลยและไม่อยากอยู่ที่นี่กับหล่อนและลูกจะทำอย่างไร แต่หากเขาจำได้จะยอมรับข้าวตอกเป็นลูกไหม เพราะเขาไม่รู้ว่าหล่อนท้อง และอีกหลายเรื่องที่กังวลซึ่งทำให้หล่อนคิ้วขมวดมาทั้งวันจนข้าวสวยเอ่ยปากถามว่า
‘มามี๊โกรธใคร’
โถ เด็กน้อย มามี๊จะโกรธใครละลูก นอกจากโกรธตัวเองที่ไม่อาจเก็บความกังวลเอาไว้ข้างในได้ จึงแสดงออกมาทางสีหน้าแบบนี้
และตอนนี้เข็มหอมก็มานั่งชะเง้อคอยาวมองประตูครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะพ่อเขาไม่ได้บอกเวลาที่แน่ชัด บอกแค่จะมาวันนี้
“หิวมั้ยลูก หม่ำๆ มั้ย” หล่อนรีบถามเมื่อได้ยินเสียงถอนหายใจเล็กๆ ของเด็กน้อยที่นั่งชิดบนเก้าอี้
ข้าวสวยเงยหน้ามองแล้วจับแขนเพื่อพยุงตัวยามลุกขึ้นยืน แล้วกอดคอหล่อนก่อนตอบ
“หม่ำฉ้าว”
“จ้ะลูก เดี๋ยวมามี๊ทำให้ วันนี้หนูจะกินข้าวกับต้มซุปไก่ใช่ไหมคะ” หล่อนถาม ข้าวสวยพยักหน้าทันที พร้อมพูดตาม
“ซุปก่าย ซุปก่าย”
“รอแป๊บนะคะ เดี๋ยวมามี๊ไปเอาข้าวมาป้อน” หล่อนหอมแก้มยุ้ยของข้าวสวยที่ยุ้ยเกินหน้าเกินตาน้องข้าวตอกไปมากเพราะหนูน้อยอายุมากกว่าเกือบสองปีนี่เอง ก่อนจะวางร่างอ้วนกลมที่หลับในอ้อมแขนลงในเปลรถเข็นที่วิวัฒน์ซื้อให้เป็นของขวัญซึ่งสะดวกต่อการเคลื่อนย้ายโดยไม่ต้องพาลูกไปนอนในเตียงเด็กทุกครั้ง ตลอดกลางวันหล่อนจึงให้ข้าวตอกนอนในเปลนี้โดยมีข้าวสวยนั่งเล่นวนเวียนอยู่ไม่ไกล ทว่าแม่สาวน้อยไม่เคยส่งเสียงดังให้น้องตกใจตื่นเลย เรียกว่ารู้อยู่จนน่าเอ็นดู
แรกทีเดียวหล่อนกลัวว่าข้าวสวยจะอิจฉาน้องเหมือนเด็กที่เคยเป็นลูกคนเดียวหลายๆ คนเป็นกัน แต่หล่อนคิดผิดถนัด นอกจากข้าวสวยไม่อิจฉาน้องแล้วยังช่วยดูแลน้องและหวงน้องมากเสียด้วย ยิ่งเวลานี้หล่อนต้องทำงานบ้านทั้งหมดด้วยตนเองเพราะครบกำหนดว่าจ้างน้ำเพชรแล้วแต่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเลยเพราะมีข้าวสวยคอยช่วยดูน้องโดยคอยนั่งเล่นข้างๆ คอยหยอกเย้าน้องตามประสาทำให้น้องไม่รู้สึกว่าโดดเดี่ยวจึงไม่งอแง บางครั้งบางคราพี่น้องก็นอนหลับทั้งที่ยังจับมือกันอยู่ ยามเห็นภาพนั้นหล่อนก็บอกตนเองเสมอว่า
ลูกของฉัน ทั้งสองคนคือลูกของฉันกับไฟรัส
เข็มหอมเตรียมข้าวกับซุปให้ลูกพลางชะเง้อแล้วส่งยิ้มให้เมื่อข้าวสวยหันมายิ้มตาหยีตอบ หล่อนถือถาดอาหารที่มีชามข้าวกับแก้วน้ำออกมาวางบนโต๊ะไม่ไกลนัก
“เดี๋ยวมามี๊ไปเอาผ้ากันเปื้อนให้ลูกก่อนนะคะ รอแป๊บนึง อย่าเพิ่งกินนะคะ เดี๋ยวจะเลอะ เข้าใจไหมลูก”
“เจ้าใจค่ะ” ข้าวสวยพยักหน้าแล้วนั่งกอดอกเป็นสัญญาณว่าจะไม่ลุกไปยุ่งเหยิงกับถาดอาหารจนเข็มหอมอดยิ้มขันไม่ได้ หล่อนยิ้มกว้างให้อีกครั้งแล้วเดินเข้าห้องนอน
เมื่อเข้ามาหยิบของแล้วจึงถือโอกาสล้างมือให้สะอาดอีกครั้งก่อนหยิบผ้ากันเปื้อนออกไป แล้วต้องตกตะลึงเพราะโถงนั่งเล่นนั้นว่างเปล่า ไม่มีทั้งข้าวสวยและข้าวตอก
“ลูก! ข้าวสวยเอาน้องไปไหนลูก ข้าวสวย” เข็มหอมร้องเรียกแล้ววิ่งไปที่ประตู สะดุดตากับรองเท้าผู้ชายวางอยู่ หญิงสาวหันกลับเข้าไปในบ้านแล้วถอนหายใจเฮ้อใหญ่ โล่งอกแต่ยังก้าวขาไม่ออก