ถงอวี้ไม่รู้ว่าคิดถูกคิดผิดกันแน่ที่ให้ทั้งสองมานอนที่จวนหลังนี้ แทนที่จะไปนอนจวนอันแสนทรุดโทรมของอาสือ ไม่ใช่นางเพิ่งรู้สึกงกหรือรังเกียจแต่อย่างใด แต่ช่วงข้าวใหม่ปลามันนี่สิทำให้นางต้องลุกขึ้นกลางดึก แม้จะเอามือป้องหูก็ไม่อาจทำให้จิตใจนางสงบลงได้ นางรู้! นางรู้ว่าทั้งอาหยวนและอาสือพยายามเบาทั้งเสียงเบาทั้งน้ำหนักแรง แต่คนที่นอนห้องข้างๆ นี่สิต้องทนฟังแรงประสานจากกระบวนการผลิตทรัพยากรมนุษย์
ถงอวี้นอนลืมตามองขื่อข้างชินจิง ขนาดตนเองยังทนไม่ได้แล้วท่านตาของนางจะทนได้หรือ นางลุกพรวดขึ้นมาอย่างเหลืออดภายใต้สายตาของหม่าหย่งเต๋อ เขามองนางอย่างขำขันแน่นอนเขาฟังเสียงอภิรมย์นั้นหัวใจย่อมเต้นไม่เป็นส่ำ แต่เขามิได้หวั่นไหวถึงเพียงนั้นแต่ดูท่าทางของนางแล้ว...
เขาหัวเราะดังลั่นนางก็ไม่ได้ยิน
หม่าหย่งเต๋อเดินตามถงอวี้ออกไปนอกเรือนจนถึงลานกว้าง ท่าทางหงุดหงิดนี้คงส่งผลให้นางออกมาโยกแขนโยกขาสินะ
‘เจ้าวางขาอย่างนี้ผิดแล้ว ปล่อยแขนออกไปให้สุด ถ้าเจ้าทำอย่างนี้เจ้าจะเหนื่อยเร็ว ไม่ถูกสิ! เจ้าอยากเหนื่อย ต้องเป็นเช่นนั้นแน่... เอาเถอะ ข้าไม่ชี้แนะแล้ว เจ้าเชิญฝึกให้ตามสบายเลยข้าจะยืนดูเจ้าอย่างนี้’ เขามองท่าทางของถงอวี้ด้วยแววตาที่อ่อนลงพร้อมกับมุมปากที่ยิ้มกว้าง แม้แต่เฉินช่านฟางยังไม่เคยได้รับ
บรรยากาศของจวนในชนบทเป็นไปด้วยความชื่นมื่นหากเทียบกับจวนหนึ่งที่ใหญ่โตโอ่อ่าสมฐานะผู้ตรวจการในเมืองอนุจี่ นามว่า ‘ม่านเหลียน’ ได้เข้ามาดูอาการหม่าหย่งเต๋อบุตรชายคนรองในวัยเพียงยี่สิบสามที่รั้งตำแหน่งถึงผู้ตรวจการ บัดนี้บุตรชายได้แต่นอนนิ่งอยู่บนเตียงเพราะเหตุจากการตกม้า นางลูบศีรษะบุตรชายด้วยความห่วงใย นึกสงสารที่เขาถูกยกให้กับฮูหยินใหญ่เพราะสามีเอ่ยแกมบังคับกอปรกับหม่าฮูหยินเพิ่งจะสูญเสียบุตรชายในวัยไล่เลี่ยกับหม่าหย่งเต๋อ บุตรของนางต้องพยายามมากแค่ไหนถึงก้าวมาสู่ตำแหน่งนี้เพื่อดึงนางให้มีเกียรติและไม่ลำบากเหมือนอดีต
สตรีผมสองสีมองเขาหลับตานิ่งภายในห้องที่มีกลิ่นยาตลบอบอวลไปทั่วห้อง แม้แต่สาวใช้ยังไม่กล้าสูดลมหายใจแรงด้วยเพราะกลิ่นยาฉุนชวนขมคอ
“นี่เจ้าจะนอนหลับเป็นเดือนเลยหรือเหตุใดเจ้าไม่ฟื้นอีก อย่าทำให้ยายแก่อย่างข้าต้องเป็นห่วงได้ไหม” จี่ม่านเหลียนเอ่ยเสียงสั่นน้ำตาซึมออกมา
สามวันหลังงานแต่งที่เรียบง่ายแต่ตรึงตราหัวใจของคู่บ่าวสาว อาสือและอาหยวนขอพบถงอวี้พร้อมกับผู้เฒ่าซุ่ย เขานำเงินเก็บบางส่วนนำมามอบเพราะได้ปรึกษากับอาหยวนไว้แล้ว
“เงินจำนวนนี้ขอน้อยขอมอบให้กับคุณหนูและท่านผู้เฒ่าซุ่ย ถือว่าเป็นค่าไถ่ตัวอาหยวนขอรับ” ถงอวี้มองเงินจำนวนหนึ่งตำลึงเงิน แม้เงินจะไม่มากแต่คนให้เปี่ยมไปด้วยน้ำใจ ถงอวี้ยื่นมือหมายจะไปรับทว่า
ซุ่ยกวนเอ่ยขัด
“ไม่ได้ๆ เจ้าเก็บเงินไว้เถอะ” ถงอวี้เหลือบตามองแต่ยังคงยิ้มรับและลุกขึ้นนำเงินส่วนนี้ไปเก็บในห้อง พร้อมกับนำบางสิ่งเดินออกมา
“นี่หนังสือสัญญาของพี่หยวน ซึ่งเดิมทีข้าไม่เคยคิดว่านางเป็นบ่าวกลับคิดว่านางเป็นพี่สาวเสียมากกว่า แต่เพื่อความสบายใจ ข้าจึงยินดีเก็บเงินที่พี่ยินดีนำมามอบให้ บัดนี้พี่เป็นครอบครัวเดียวกัน พี่เขยให้เงินหลานชายคงไม่ผิดใช่ไหมท่านตา” ซุ่ยกวนมองหลานสาวของตนอย่างกระอักกระอ่วนใจ แต่อาสือที่คิดตามก็หัวเราะอย่างชอบใจ เขาไม่รู้ถึงสาเหตุของดรุณีผู้นี้ว่าเหตุใดถึงมีลูกติดอย่างชินจิงรู้แต่เพียงว่านางมีชีวิตลำบากเพราะญาติทางฝั่งสามีไม่ชอบจึงให้มาอยู่ที่หมู่บ้านนี้และฐานะนางคงสูงกว่าอาหยวนดูได้จากคำเรียกขานของคนทั้งสอง
“ใช่ๆ ถือเสียว่าเมื่อครู่นี้ข้าน้อยพูดผิดไป ข้ามอบเงินนี้รับขวัญ
ชินจิง” ถงอวี้ยิ้มรับก้บความลื่นไหลของอีกฝ่าย
“เอาล่ะ ต่อไปเราจะอยู่กันอย่างสามัคคีกลมเกลียวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน หากเจริญก็เจริญไปด้วยกัน ตกเหวก็ตกเหวร่วมกัน เพราะฉะนั้นใครมีปัญหาอะไรเราต้องช่วยกันแก้ปัญหา” ถงอวี้กวาดตามองเห็นสายตาสี่คู่มองมาที่ตนด้วยความแน่วแน่ นางรู้สึกพอใจและเอ่ยต่อ “ปัญหาของเราตอนนี้ที่เห็นได้ชัดเจนคือจวนหลังนี้ยังเช่าคุณชายเจิ้งอยู่ ซึ่งข้าไม่ต้องการและไม่คิดที่จะเดินทางลัด ประการต่อมาชีวิตเราทุกคนยังไม่มั่นคง เราจะต้องหาหนทางอยู่รอดในอนาคต”
“ทำไมหรือ? อนาคตจะเกิดอะไร” ซุ่ยกวนเอ่ยถามพร้อมกับชินจิงนั่งเล่นอยู่ที่ตัก
“ข้าไม่รู้หรอกเจ้าค่ะท่านตา แต่ที่ข้าหมายความถึงทางรอดนั่นคือ ข้ามีลูก ต่อไปพี่หยวนย่อมมีลูก วันพรุ่งนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไร พวกเราต้องหาทางป้องกันให้มั่นเหมือนป้อมปราการที่ป้องกันศัตรูในภายหน้า
ป้อมปราการของเราคือเงิน!” ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนโลกหมุนได้ด้วยเงิน เสียดายที่ตอนนั้นถงอวี้ยังไม่ได้ทันใช้เงินดันตายเสียก่อน เพราะฉะนั้นเมื่อมีชีวิตอีกครั้งนางจะไม่ทนอดอยากทำแต่งานอย่างเดียว เงินทองบันดาลสุข!
“เงิน!” ทั้งสามเอ่ยพร้อมกันแม้แต่ชายไร้ร่างยังตั้งใจฟังว่านางจะกล่าวอะไรต่อไป
“ใช่... เงิน! เงินจะนำมาซึ่งศักดิ์ศรีและอำนาจ ข้ารู้ว่าท่านตาเข้าใจ แต่ข้าไม่ได้ต้องการสิ่งนั้น แต่ถ้ามีเงิน เราจะมีเสบียงตุนไว้ หากป่วยแค่มีเงินก็สามารถเรียกหมอมารักษาได้” ทุกคนฟังคำของถงอวี้ต่างพยักหน้าเห็นด้วย หม่าหย่งเต๋อมองสตรีด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปทุกครั้ง เขาไม่คิดว่าสตรีคนนี้จะมองถึงอนาคตและเตรียมการป้องกัน นางเป็นสตรีรอบคอบ
“เราต้องทำตัวเหมือนมดงาน เตรียมการไว้ล่วงหน้าจะไม่ลำบาก ครอบครัวเราทำแล้วคิดว่าจวนอื่นไม่ทำหรือ อย่างเช่นที่ข้ารีบไปเก็บฟืนนั่นเพราะไม่นานก็อากาศหนาวจะมาเยือน ตอนนั้นมีคนที่ยังเรี่ยวแรงดีคือข้ากับพี่หยวนแต่ตอนนี้ไม่ใช่
“ช่วงนี้ต้องรบกวนพี่สือขึ้นเขาหาของป่า แต่ไม่ต้องเข้าลึก กลัวจะได้มาไม่คุ้มเสีย พี่หยวน...พี่พลิกหน้าดินเตรียมปลูกผัก ต่อให้นำผักไปขายไม่ได้แต่ยังมีเสบียงไว้ก็ถือว่าคุ้ม ส่วนท่านตาข้ากับชินจิงก็เลี้ยงไก่เลี้ยงปลา”
“แล้วเจ้าเล่าจะทำอะไร” ซุ่ยกวนถามอย่างสงสัย ถงอวี้ยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์
“ข้าจะไปหาเงิน!”