“ท่านซาคีลพวกเราถูกพวกโจรล้อมแล้ว พระองค์รีบเสด็จหนีก่อนเถิดพระเจ้าข้า!”
“หนี ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะพูดเช่นนี้กับข้านะซายาร์ด”
“อภัยให้กระหม่อมเถิด แต่เวลานี้จำเป็นต้องเสด็จหนี มิใช่เพื่อพระองค์เองแต่เพื่ออาเนียดาเรของเรา พระเจ้าข้า”
“ซายาร์ด”
“กระหม่อมจะยิงคุมกันพระองค์เอง รีบเสด็จเถิด”
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ร่างสูงใหญ่ลืมตาโพลงขึ้นเมื่อร่างกายของเขาถูกเขย่าให้รู้สึกตัว ใบหน้าคมเข้มเปื้อนหนวดเคราเต็มไปด้วยเหงื่อ จัสมิ-นเองก็ตกใจกับการลืมตาตื่นของเขา แต่เธอมั่นใจว่าเขากำลังอยู่ในฝันร้าย และคงร้ายมากที่ทำให้ผู้ชายหน้าดุคนนี้นอนละเมอเพ้อด้วยพิษไข้เช่นนี้
“คุณฝันร้ายค่ะเลโอ”
น้ำเสียงแผ่วเจือความห่วงใยของจัสมินทำให้ซาคีลรู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงนอนโดยมีมือเรียวเล็กช่วยประคอง กลิ่นหอมจากเรือนผมสีตะวันฉายหอมละมุน เขาเผลอจับจ้องริมฝีปากอิ่มที่เผยอขึ้นเล็กน้อยราวกับจะถอนหายใจ
“ผมคงทำให้คุณลำบากใจ” เขาถามเหมือนจะแหย่เล่นเสียมากกว่าจริงจัง
ลมหายใจของเขาที่เป่ารดอยู่ใกล้ๆ แก้มทำให้จัสมินหายใจติดขัดขึ้นมา “เปล่านี่ ฉันแค่เห็นคุณละเมอ...”
“ผมเป็นหนี้ชีวิตคุณ” คนอย่างซาคีลไม่เคยติดหนี้ชีวิตใครเสียด้วยซิ ถ้าร่างกายแข็งแรงกว่านี้คงต้องรีบใช้หนี้เสียแล้ว!
“ไม่เป็นไร เป็นใครอยู่ตรงนั้นก็ต้องช่วยคุณ” จัสมินขยับตัวออกห่างแล้วนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงคนเจ็บ “แผลคุณหายเร็วมากนะ แค่อาทิตย์เดียวอาการคุณก็ดีขึ้นมาก”
“กำลังไล่ผมทางอ้อมหรือเปล่า” เขายิ้มพรายออกมา
ฉันพูดประโยคนั้นแล้วเหรอ” จัสมินขมวดคิ้ว “ฉันอาจจะไม่ได้ดูแลคุณอย่างดีแต่ก็เชื่อว่าไม่เคยหลุดปากไล่คุณนี่นะ”
“คุณดูแลผมดีมาก” เขาก้มศีรษะยอมรับ ตลอดเวลาที่ผ่านมาทุกครั้งที่ลืมตาจะเห็นหญิงสาวนั่งอยู่ใกล้ๆ ถ้าไม่ยุ่งกับเอกสารก็อ่านหนังสือซึ่งบังเอิญเหลือเกินว่าเป็นหนังสือแนวเดียวกับที่เขาอ่าน
“อาจไม่ใช่ทุกคนที่จะยื่นมือช่วยเหลือคนอื่นเช่นคุณนะ”
“มองโลกในแง่ร้ายไปหรือเปล่า” จัสมินหัวเราะคิกคัก “ชาวทะเลทรายย่อมช่วยเหลือทุกคนที่เดือดร้อนไม่ใช่เหรอ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณก็มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้วล่ะ”ซาคีลหัวเราะหึ หึ ในลำคอนึกตลกร้ายกับโชคชะตาตัวเอง
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูอย่างเกรงใจของไนราทำให้จัสมินเผลอถอนหายใจออกมา ไม่ว่าจะพูดหรืออธิบายแค่ไหน หญิงสาวคนนี้ก็ช่างแสนจะขี้อายและขี้เกรงใจเหลือเกิน
“เอ่อ...คุณจัสมินค่ะ เด็กๆ มากันเต็มแล้วค่ะ”
ไนราโผล่หน้ามาจากหลังบานประตู เธอรู้ดีว่าธรรมเนียนของอาบาเนียนั้น หากไม่ใช่สามีภรรยาแล้วชายหนุ่มหญิงสาวไม่ควรอยู่กันตามลำพังในที่ลับตาคน แต่กับคนที่เติบโตมาจากซีกโลกตะวันตกอย่างองค์หญิงจัสมินนั้น ไม่มีใครคาดเดาความคิดแผลงๆ ของเธอได้
“จริงเหรอ มากันเร็วจัง” จัสมินแทบจะกระโดดขึ้นจากเก้าอี้ ท่าทางดีอกดีใจของเธอทำให้คนเจ็บขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
“ฉันมีนัดกับเด็กๆ ต้องขอตัวก่อนนะคะ”
“เด็กๆ” เขาทวนคำอย่างแปลกใจ เท่าที่รู้คือองค์หญิงนิสัยประหลาดคนนี้ยังไม่ได้แต่งงานนี่นะ
จัสมินไม่ตอบแต่พยักหน้ารับแล้วรีบเดินออกไปทันที ไนรากำลังจะปิดประตูแต่ถูกเรียกไว้ก่อน เธอหันกลับมามองด้วยสายตาฉงนแต่ก็ยิ้มบางๆ เมื่อเจอคำถาม
“คุณเลโออยากลงไปดูหรือคะ”
“ผมแข็งแรงดีแล้วนะ ขอไปดูด้วยคนเถอะนะครับ”
เขายิ้มที่มุมปาก ไนรานิ่งคิดไปนิดหนึ่งก่อนพยักหน้ารับ เธอเดินเข้าไปจะช่วยพยุง แต่ซาคีลลุกขึ้นนั่งเรียบร้อย ร่างเล็กๆ จึงเดินไปหยิบเสื้อมาให้เขาสวมแล้วเดินนำมาที่หมาย
ลานบ้านบริเวณด้านหลังซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ร่มรื่น กีวอนและคนสวนชายคนหนึ่งเพิ่งช่วยกันยกกระดานไวท์บอร์ดออกมา
เด็กๆ อายุประมาณแปดถึงสิบสองปีจำนวนสิบสามคนเป็นเด็กผู้ชายเสียสิบเอ็ดคนและอีกสองคนเป็นผู้หญิง แม้เด็กๆ จะแต่งตัวมอมแมมแต่แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น
“สวัสดีจ๊ะเด็กๆ เราเจอกันเป็นครั้งที่สองแล้วนะ” จัสมินทักทายด้วยน้ำเสียงดังและสดใส เด็กๆ ต่างทักทายตอบเธออย่างเป็นกันเองมากขึ้น ผิดกับครั้งแรกที่ยังกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าพูดจาอะไรกันนัก
“วันนี้ถ้าใครเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียนจะมีขนมอร่อยๆ ของพี่ไนราด้วยนะจ๊ะ”
พอจัสมินพูดเรื่องของกินเด็กๆ ก็เริ่มน้ำลายสอ เพราะขนมฝีมือไนราอร่อยไม่แพ้ใคร เมื่อครั้งที่ผ่านมาก็ได้ขนมนมเนยหิ้วกลับบ้านไปคนละถุงสองถุงเลยทีเดียว
“อย่าเห็นแก่กินละ ตั้งใจเรียนด้วย” น้ำเสียงเข้มๆ ดุๆ และสายตาคมกริบของกีวอนทำให้เด็กๆ อดกลัวไม่ได้ เขามักจะทำหน้านิ่งไร้อารมณ์เวลาที่องค์หญิงจัสมินทรงสอนหนังสือเด็กเร่ร่อนเหล่านี้
“เอาละ วันนี้เรามาทบทวนของเดิมก่อนนะจ๊ะ เอ้า!ใครตอบได้บ้างว่า คราวที่แล้วเราเรียนอะไรกันใครตอบได้ยกมือขึ้น พี่จัสมินมีสมุดสวยๆ ให้เป็นของรางวัล”
จัสมินหยิบสมุดบันทึกเล่มสวยขึ้นมาโชว์อวดเด็กๆ เอาเด็กๆ รีบแย่งกันยกมือขึ้นตอบ หญิงสาวหัวเราะเสียงใส ไม่รู้จะเลือกใครขึ้นมาตอบเพื่อรับของรางวัลดี กีวอนใช้สายตาดุๆ จ้องเขม็งไปยังร่างเล็กๆ ที่ยกมืออย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะเรียกชื่อเด็กชายออกมาด้วยเสียงอันดังจนเด็กๆ พากันสะดุ้งโหย่ง
“อาลี!”
“คะ...คะ...ครับ” เด็กชายอาลีตัวเล็กที่สุดแม้ว่าเขาจะอายุสิบขวบแล้วแต่เพราะรูปร่างผอมบาง จนเหมือนอายุหกเจ็ดขวบ
“ตอบซิ...คราวที่แล้วเรียนอะไรไปบ้าง” น้ำเสียงห้าวห้วนของกีวอนทำเอาเด็กน้อยตัวสั่น จัสมินตกยกมือขึ้นตีต้นแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเป็นเชิงเตือน
“เธอนี่...ดุเด็กของฉันอีกแล้วนะ”
“ผมไม่ได้ดุ แค่เรียกให้เขาตอบ” กีวอนตอบหน้าตาย “และเด็กผู้ชายควรมีความกล้าไม่ใช่มาทำอะไรเงอะๆ งะๆ แบบนี้”
จัสมินโคลงศีรษะอย่างจนปัญญาไม่รู้จะทำยังไงให้คุณองครักษ์รู้จัก ‘อ่อนโยน’ เสียบ้าง! เธอได้แต่ถอนหายใจหนักๆ แล้วเดินไปปลอบเด็กชายอาลี มือที่อ่อนโยนแตะที่ไหล่อาลีเบาๆ ถ่ายทอดความอบอุ่นผ่านรอยยิ้ม เด็กชายจึงยิ้มตอบเมื่อหายหวาดกลัว
“จำได้ไหมว่าคราวที่แล้วเรียนอะไรไปเอ่ย” เด็กชายอาลีพยักหน้าหงึกหงัก “เราเรียนเรื่องตัวอักษรและสระภาษาอังกฤษครับ”
“ถูกต้อง ก่อนเริ่มบทต่อไปเรามาทบทวนของเก่าก่อนนะ”
เด็กๆ ต่างส่งเสียงเจื้อยแจ้วท่อง ABC เป็นทำนองเพลงอย่างสนุกสนาน และเมื่อท่องจบ จัสมินจึงเริ่มสอนบทเรียนภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานต่อไป
สิ่งที่สายตาคมกริบของซาคีลเห็นนั้นทำให้เขาเผลอขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว นอกจากไม่คิดว่าองค์หญิงแห่งบาฮาเนียจะมาเป็นครูสอนหนังสือเด็กๆ แล้ว ยังเป็นการสอนเด็กๆ ชาวทะเลทรายให้พูด-อ่าน-เขียนภาษาอังกฤษได้ เขาจะไม่แปลกใจนักหากหญิงสาวผมแดงคนนั้นจะสอนภาษาบาฮาเนียน แต่นี่....มันสร้างความงุนงงให้เขามาก แต่กระนั้นเขาก็ได้แต่นั่งดูจัสมิน สอนเด็กๆ อย่างสนุกสนาน ที่เหนือความคาดหมายคือการได้เห็นท่าทางหัวเราะสดใสกับดวงตาที่เปล่งประกายระยิบระยับนั้น ทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลิน ยิ่งกว่าการชมระบำหน้าท้องของนางรำสวยๆ ในฮาเร็มของเขาเสียอีก
ไนราอดปลื้มและชื่นชมองค์หญิงจัสมินไม่ได้ เมื่อพาคนเจ็บนั่งชมการสอนขององค์หญิงแล้วเธอก็ขอตัวไปตระเตรียมขนมของว่างให้เด็กๆ แม้ว่าจะเคยคิดน้อยเนื้อต่ำใจที่ตัวเองไม่มีความสามารถเก่งกาจอะไรเลย แต่ถ้าเป็นเรื่องขนมของกินเธอมั่นใจในฝีมือตัวเอง ทว่ากับคนที่ไม่ชอบกินของหวานนี่สิ! คงยากที่จะทำให้ประทับใจได้
เวลาผ่านไปเกือบสามชั่วโมงแล้ว ถ้าไม่มีเสียงมือถือที่ตั้งเตือนเวลาไว้เอจะต้องเล่นกับเด็กๆ เพลินแน่ จัสมินเรียกเด็กมารวมกลุ่มเพื่อสั่งการบ้านก่อนที่จะปล่อยให้กินขนมหวานฝีมือไนราและกลับบ้าน แต่พอร่างเพรียวลมหันกลับมาก็ต้องสะดุ้งเมื่อถูกดวงตาสีควันบุหรี่จ้องมอง ใบหน้าคมเข้มเปื้อนรอยยิ้มที่มุมปากเพียงเท่านี้ก็ทำให้ร่างบางสะท้านขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็น
“กีวอนช่วยดูเด็กๆ กลับบ้านด้วยนะ แล้วค่อยเก็บของเข้าที่” เธอหันไปสั่งงานกับองครักษ์แก้เขิน
“ครับ” แม้จะรับคำอย่างหนักแน่นแต่ก็อดบ่นในใจไม่ได้ ‘ไม่ต้องสั่งก็ได้ ก็มันหน้าที่ที่เคยทำอยู่แล้ว’
“เป็นการเรียนการสอนที่สนุกสนานดี” ซาคีลเอ่ยชมอย่างจริงเมื่อเห็นว่าหญิงสาวรู้ตัวเสียทีว่าเขาจ้องมองจนแทบจะใช้สายตาฉีกทึ้งเสื้อผ้าบนร่างเพรียวลมออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ฉันจะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน” จัสมินไหวไหล่เล็กน้อยเดินมานั่งดื่มน้ำข้างๆ ชายหนุ่มที่เธอรู้จักในนามเลโอ
“ผมชื่นชมจริงๆ” เขาเอ่ยน้ำเสียงระรื่นเกือบจะกลายเป็นหัวเราะ “เพียงแต่...”
“สงสัยที่ฉันสอนพวกเขาเรียนภาษาอังกฤษนะเหรอ”เธอยิ้มอย่างรู้ทัน เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับ ริมฝีปากอิ่มก็คลี่ยิ้มออกมา
“ถ้าเป็นลูกๆ ของคนมีเงินพวกเขาย่อมได้รับการศึกษาเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว แต่เด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กยากจนและบางคนก็เป็นเด็กเร่ร่อน ฉันอยากให้พวกเราเรียนรู้ภาษาที่สองที่เป็นภาษาสากล มันเป็นผลดีต่อพวกเขาเอง หากวันหนึ่งข้างหน้าต้องพบปะพูดคุยกับคนต่างชาติจะได้ไม่ลำบาก พวกเขาสามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ ไม่ถูกหลอกหรือโดนล่อลวง”
“แล้วคุณไม่กลัวว่าเขาจะลืมภาษาบาฮาเนียนหรอกหรือ”
“ไม่หรอก” จัสมินยิ้มกว้างอย่างมั่นใจ “หากพวกเขายังระลึกว่า ตนเองเป็นคนบาฮาเนียนที่มีเลือดของชาวทะเลทรายเต็มเปี่ยม พวกเขาจะไม่มีวันลืมภาษาแม่ของตัวเอง”
ซาคีลทึ่งในความคิดของหญิงสาวแต่ก็ต้องยอมรับความคิดและเหตุผลของเธอซึ่งเป็นเรื่องจริงนิ่งนานวันเขาก็ได้รู้จักแง่มุมที่แปลกใหม่ของหญิงสาวผู้มีเส้นผมสีเพลิงอันเจิดจ้าและดวงตาที่เย้ายวน
เธอไม่ได้มีแค่ความงดงามแค่ภายนอกแต่กลับมีสติปัญญาที่เรียกได้ว่า ‘ชาญฉลาด’ เธอช่างเหมือนของล่ำค่าที่หายากในทะเลทรายจริงๆ.