บทที่2. ทรยศ

2038 Words
กีวอนคิดว่างมือจากการทำความสะอาดปืน 11 มม. คู่ใจ นอกจากนี้ยังมีอูซี่อีกสองกระบอกเก็บไว้บนหลังตู้เสื้อผ้า เป็นเวลากว่าสามสิบวันแล้วเขาถูกขอตัวมาทำงานให้กับ ‘ในวัง’ ทั้งที่เป็นหน่วยงานที่เขาอยากหลีกเลี่ยงมากที่สุด แต่ก็ไม่รู้ทำไมองค์หญิงจัสมินถึงถูกอกถูกใจเขาถึงขนาดให้องค์รัชทายาทขอตัวเขามาจากท่านคาร์ดัล แต่องค์หญิงจัสมินก็แตกต่างจากเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ที่เขาเคยรู้จัก ไม่ยอมให้เขาใช้คำราชาศัพท์ ให้ใช้คำพูดสามัญเท่าเทียมกันให้แต่งตัวตามสบายและคอยช่วยงานที่ไม่คิดว่าจะเป็นงานบอดี้การ์ดนัก อย่างเช่นเมื่อสามสัปดาห์ก่อนองค์หญิงไปชอปปิ้งงานหนังสือระดับโลก เขาต้องคอยช่วยหอบหิ้วจนปวดไหล่ องค์หญิงโปรดหนังสือเป็นชีวิตจิตใจและไม่ชอบสั่งซื้อต้องมาเดินหาด้วยตนเอง สัปดาห์ถัดมาไปประชุมเรื่องสิทธิสตรีเขาต้องช่วยหอบแฟ้มงานกองมหึมา และเวลานี้ก็ต้องมาถึงบาเรียล เมืองชายแดนของบาฮาเนียซึ่งมีอาณาเขตติดกับประเทศอาเนียดาเร ประเทศเล็กๆ แต่เข้มแข็งด้วยกำลังทหารที่ถูกฝึกมาจากกองโจรทะเลทราย โดยมีผู้ปกครองที่ได้ฉายาว่าราชสีห์ทะเลทราย และที่น่ากลัวคือไม่เคยมีใครเคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริง! ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูอย่างเกรงใจนั่นทำให้กีวอนระบายลมหายใจเบาๆ เขารู้ทันทีว่าด้านหลังบานประตูนั่นมีใครยืนรอเขาอยู่ ร่างสูงใหญ่ที่สวมเสื้อยืดพอดีตัวสีดำกับกางเกงยีนสบายๆ เดินมาเปิดประตู้ห้องพักออกและจริงดังคาดใบหน้าหวานและดวงตาประหม่าของเธอจ้องมองเขาเหมือนรอคอยแสนนาน “คุณจัสมินให้มาเชิญไปพบค่ะ” “ขอบใจ” เขาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจแต่เมื่อเห็นร่างบอบบางยังยืนอยู่ก็ได้แต่ถอนหายใจเหนื่อยๆ “คราวหน้าคราวหลังให้ใครมาตามผมก็ได้ เดี๋ยวคนอื่นจะคิดว่าผมกล้าใช้ลูกสาวของตระกูลอัลเนฮัล” “ไม่ได้ค่ะ” เสียงหวานตอบอย่างรวดเร็วและหนักแน่น “ท่านพ่อสั่งสอนไว้ไม่ให้พวกเราเกี่ยงงานใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าบ่าวหรือนายก็ต้องทำตัวเสมอภาคกัน” “เออ...ครับ” เขายกมือขึ้นเกาศีรษะที่ไว้ผมสั้นสกินเฮด แต่กลับเลี้ยงหนวดเคราหน้ากลัว กีวอนเห็นท่าทางอ่อนแอของไนราแต่รู้ดีว่าบางทีก็เข้มแข็งอย่างน่ากลัว “ขอผมหยิบเสื้อคลุมก่อนแล้วจะตามไป” “ค่ะ” ไนรายิ้มรับเหมือนตัวเองได้ทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ทั้งที่มันเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เพราะความเป็นลูกสาวคนเล็กทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าออกปากใช้งานเธอนัก เพราะฉะนั้นการที่องค์หญิงจัสมินมาประทับอยู่ที่บ้านของเธอ ท่านพ่อมอบหมายให้เธอดูแลองค์หญิงมันเหมือนกับความไว้ใจที่ท่านพ่อมีให้ ซึ่งเธอปฏิญาณว่าจะทำให้ดีที่สุด แม้ว่าครั้งแรกที่รู้ข่าวว่าจะมีองค์หญิงมาประทับด้วยนั้นทำให้เธอหวาดหวั่นไม่น้อย เพราะนิสัยขี้อายแก้ไม่หายทำให้เธอกลัวว่าจะทำอะไรไม่ดีไม่เหมาะออกไป แต่เมื่อได้พบองค์หญิงจัสมินที่มีนิสัยเรียบง่ายเป็นกันเองทำให้เธอเบาใจลงมาก แต่คนที่ทำให้หวั่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็นคือองครักษ์ติดตามองค์หญิงนาม กีวอน ชายหนุ่มเจ้าของร่างกายสูงใหญ่บึกบึนราวกับหินผา ดวงตาสีสนิมเหล็กปราศจากร่องรอยอารมณ์ใดแต่กลับทำให้ใจเธอร้อนรุ่มราวกับเป็นไข้ ไม่ถึงห้านาทีประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง ชายหนุ่มสะดุ้งเมื่อรู้ว่าร่างบางยังไม่ขยับไปไหน เขาโคลงศีรษะไปมาจนคำพูดใดๆ เขาไม่ได้บอกให้เธอรอเสียหน่อย หน้าที่ของเขาจำเป็นต้องพกอาวุธตลอดเวลา แต่จะให้ใครเห็นคงไม่ดีแน่จึงต้องหยิบเสื้อคลุมมาสวมทับอีกชั้น “ทางนี้ค่ะ” ไนราเดินนำหน้าชายหนุ่มไปยังห้องทำงานขององค์หญิงจัสมินซึ่งถูกจัดให้อยู่ติดสวนย่อมแสนสวยและร่มรื่น กีวอนเดินตามไปอย่างเงียบๆ เขาไม่อยากหญิงสาวตัวเล็กนี่เลยว่าเขารู้ดีอยู่แล้วว่าองค์หญิงทรงงานอยู่ที่ใด แต่ถ้าจะพูดไปก็เกรงจะทำให้เสียน้ำใจกันเปล่าๆ เดินไปไม่ถึงห้านาทีก็พบหญิงสาวเจ้าของเรือนผมหยิกสวยราวกับตุ๊กตาฝรั่งเศสสีแดงราวกับดวงอาทิตย์นั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะทำงาน “กีวอน...คุณพอจะดูโฉนดพวกนี้เป็นไหม” จัสมินถามพลางเอนหลังพิงพนังเก้าอี้ก่อนถอดแว่นสายตาออก เวลาทำงานเธอมักส่วนแว่นสายตาเสมอ “ครับ” กีวอนเลื่อนโฉนดที่ดินตรงหน้ามาดู แล้วเงยหน้าขึ้นเหมือนจะตั้งคำถามแต่อีกฝ่ายกลับชิงตอบเสียก่อน “ที่ๆ เราจะสร้างโรงเรียนนะจ๊ะ ฉันไม่รู้ว่าโรงเรียนประถมในแบบที่ฉันคิดไว้มันจะเข้ากับพื้นที่ตรงนี้หรือเปล่า” “แล้วที่เราเพิ่งฝ่าพายุทรายไปดูมาละครับ” เขาหมายถึงเมื่อสี่ห้าวันก่อนที่เขาและองค์หญิงรวมทั้งผู้ติดตามอีกห้าคนติดพายุทรายจนได้เจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น “มันก็ดีนะ...แต่มันอันตรายไปหน่อยหรือคุณว่าไงละ” “ผมก็คิดอย่างนั้นครับ” เขาก้มศีรษะให้ยอมรับการตัดสินใจของเจ้านายคนใหม่ของเขาในเวลานี้ “ถ้างั้นเราก็โทรตามสถาปนิกได้เลยซินะ” จัสมินยิ้มออกมาแล้วหยิบแบบสเก็ตโรงเรียนออกมา “แล้วคนเจ็บของเราเป็นยังไงบ้าง” “เขารู้สึกตัวแล้วแต่ยังไม่ได้สติดีนัก ในตัวเขาไม่มีอะไรบ่งบอกที่มาที่ไป ไม่มีบัตรประจำตัวทั้งพาสปอร์ตหรือวีซ่าอะไรสักอย่างก็ไม่มี ผมมีความคิดว่าเราน่าจะนำส่งให้ทางตำรวจจัดการต่อเพราะอาจเป็นคนร้ายก็ได้” “มองโลกในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่ากีวอน” “คุณจัสมินก็มองโลกในแง่ดีเกินไป” “ก็อย่าลืมซิว่าโลกของเราเป็นทรงกลม เราต้องมองทั้งสามร้อยหกสิบองศาถึงจะถูก” ดวงตาสีฟ้าพราวระยิบแล้วลุกขึ้นเดินนำหน้ากีวอนและไนราออกมา “ไปดูคนร้ายของกีวอนกันเถอะ” ไนราเดินตามแผ่นหลังของจัสมินไปด้วยความชื่นชม เธออยากเป็นผู้หญิงเก่งอย่างองค์หญิงจัสมินแต่ก็รู้ตัวเองดีว่าขี้อายและแสนประหม่าขนาดไหน แต่ท่านแม่มักสอนเสมอว่าหญิงที่ดีควรสงบเสงี่ยมเรียบร้อยไม่ควรมีปากเสียงโต้เถียงกับใครโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชาย แต่ก็ไม่รู้ว่าผู้ชายอย่างกีวอน คิดวาลจะชอบผู้หญิงแบบไหน ได้ยินว่าเขาเคยไปใช้ชีวิตในอเมริกาและรัสเซียอย่างละสามหรือสี่ปี แต่เมื่อเขาอยู่ในเมืองบาเรียลแห่งนี้ก็เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นได้ดีราวกับเป็นคนที่นี้เลยทีเดียว คุณหมอเงยหน้าจากการเก็บเครื่องมือทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตู หญิงสาวผู้เป็นหน่อเนื้อราชวงศ์อัจฟาห์เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มสดใส ไม่มีใครที่จะไม่หลงรักหญิงสาวคนนี้ได้เลยเพราะนิสัยจริงใจและเป็นกันเองทำให้เวลาไม่นานนักที่องค์หญิงจัสมินประทับที่นี่ผู้คนจึงหลงรักและพร้อมจะมอบชีวิตให้ด้วยความภักดี “ผู้มีพระคุณตัวจริงมาแล้ว” “ได้สติแล้วเหรอคะคุณหมอ” จัสมินแทบจะถลาเข้าไปดูคนเจ็บ แต่ก็ต้องชะงักเท้าเมื่อดวงตาสีควันบุหรี่ตวัดสายตาจ้องเขม็งมาทางเธอ ชายหนุ่มผมยาวประบ่าสีดำกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง รัศมีบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวเขาทำเธอรู้ได้ทันทีว่าเขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อจัสมิน...เมื่อห้าวันก่อนฉันกับเพื่อนบังเอิญพบคุณเข้าที่โอเอซิสใกล้กับบาเรียล” กีวอนเลิกคิ้วสูงข้างหนึ่งก่อนจะกระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปาก ‘เพื่อน’ นี่เขากลายเป็นเพื่อนขององค์หญิงไปตั้งแต่เมื่อไหร่เชียว แต่องค์หญิงก็ชาญฉลาดพอที่จะไม่เปิดเผยฐานะของตนเอง เขาประเมินรูปร่างความสูงไม่ต่ำกว่า 190 เซนติเมตรของชายคนนี้แล้วก็รู้สึกว่าเขามีบางอย่างที่ ‘ไม่ธรรมดา’ และด้วยสัญชาตญาณทำให้เขาก้าวเข้าไปประชิดด้านหลังองค์หญิงพร้อมจะปกป้องเจ้านายของเขาทันที! “บาเรียล? ชายแดนของบาฮาเนียซินะ” น้ำเสียงแหบแห้งพึมพำเหมือนบอกกับตนเองมากกว่า แต่ภาพหญิงสาวสวยหมดจดตรงหน้าก็ทำให้เขาไม่อาจละสายตาได้ ดูเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นชาวต่างชาติแต่น่าแปลกที่พูดด้วยภาษาถิ่นอย่างชัดเจนราวกับเกิดที่นี่ ดวงตาสีฟ้าสดใสที่แสนคุ้นเคยทำให้เขาหลับตานิ่งไปครู่หนึ่ง และสิ่งที่เขาทำส่งผลให้จัสมินเป็นวิตกเพราะคิดว่าเขาคงเจ็บแผล “อย่ากังวลไปเลยค่ะ คุณจะปลอดภัยในดินแดนของราชวงศ์อัจฟาห์” ‘ราชวงศ์อัจฟาห์’ ชายหนุ่มพึมพำในใจแล้วความทรงจำเก่าๆ ก็ผุดพรายขึ้นมาราวกับพรายน้ำในสระที่สงบนิ่ง ‘ถ้าไม่ถูกแนะนำว่าเป็นองค์หญิงแห่งบาฮาเนีย กระหม่อมคงไม่มีทางเชื่อว่าท่านมีสายเลือดชาวทะเลทรายอยู่’ ‘เอ๊ะ!’ หญิงสาวหันขวับทันที่ได้ยินประโยคสบประมาท แม้น้ำเสียงจะทุ้มกังวานแต่คำพูดที่เสียมารยาทเช่นนี้ทำให้หญิงสาวไม่พอใจอย่างยิ่ง ‘รูปกายเป็นแค่สิ่งภายนอก แต่เลือดในกายของเราไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้เช่นเดียวกับความจงรักภักดีที่มีให้ต่อแผ่นดินเกิดนี้ด้วย’ มุมปากของคนเจ็บเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว เขาลืมตาขึ้นจ้องมองเรือนร่างสมส่วนที่อยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับกางเกงยีนดูทะมัดทะแมง เสียดายก็แต่ผมหยักสลวยเหมือนตุ๊กตาถูกขมวดขึ้นเหมือนกับเจ้าของแสนจะรำคาญหากปล่อยให้มันเป็นอิสระ แปลกดีที่เธอมีผิวสีน้ำผึ้งชวนหลงใหลไม่ใช่ขาวซีดอย่างคนอเมริกันผู้เป็นมารดาของเธอ “บอกชื่อของคุณมา หรือจะให้เราติดต่อญาติพี่น้องที่ไหนก็บอกได้” กีวอนเอ่ยด้วยน้ำเสียงห้วนห้าวจนไนราที่ยืนอยู่ใกล้ๆ สะดุ้งไปด้วย “ชื่อของเรา...” เขานิ่งคิดไปครู่หนึ่ง บาดแผลที่เกิดขึ้นทำให้เขาต้องระมัดระวังที่จะเปิดเผยตัวตนแม้จะอยู่ในดินแดนของมิตรประเทศก็ตาม “เรียกเราว่าเลโอ” “เลโอ...” จัสมินทวนชื่อของเขาในลำคอ แต่อดคิดไม่ได้ว่าช่างเป็นชื่อที่เหมาะกับเขาเสียยิ่ง เพราะดวงตาของเขาช่างเหมือนสิงโตที่จ้องตะครุบเหยื่อ “แล้วคุณไปทำอะไรจนถูกยิงบาดเจ็บขนาดนี้” กีวอนหรี่ตามองชายหนุ่มที่อยู่บนเตียงอย่างคาดคั้น “แค่กๆ ” “ว๊าย! คุณพักผ่อนก่อนเถอะ เดี๋ยวเราค่อยๆ คุยกันก็ได้” จัสมินรีบเข้าไปประคองให้ชายหนุ่มลงนอนโดยมีกีวอนเข้าไปช่วย แต่กระนั้นกีวอนก็ยังจ้องเขม็งไปที่ดวงตาสีควันบุหรี่ของเลโอ คนเจ็บแสร้งปิดเปลือกตาอย่างเหนื่อยอ่อนทำให้ไม่มีใครกล้าซักถามอะไรเขาอีก ทั้งหมดจึงออกจากห้องปล่อยให้เขาได้พักผ่อน เมื่อรู้สึกตัวว่าในห้องไม่มีใครแล้วเขาก็ลุกขึ้นนั่งอีกครั้งและสำรวจบาดแผลบนร่างกาย เผลอขบกรามแน่นจนเป็นสันนูนด้วยความโมโห ‘ทรยศ’ เขาเกลียดคำนี้นัก! ใครที่กล้าทรยศชีคซาคีล อัล ดาเรผู้ปกครองประเทศอาเนียดาเรหรือราชสีห์ทะเลทราย มันผู้นั้นต้องได้รับผลตอบแทนอย่างสาสมอย่างที่สุด!.
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD