“จะกลับบ้านงั้นเหรอ เพิ่งแต่งงานกันก็จะขนกระเป๋าหนีกลับบ้านแล้ว ฉันก็นึกว่าเธอจะแน่จริง”
“ฉันไม่ได้ขนกระเป๋าหนีกลับบ้านค่ะ แต่ว่าฉันจะไปขนกระเป๋ามาเพิ่มต่างหาก คุณคงไม่ได้สังเกตว่าฉันไม่ได้ขนของมาเลย เพราะคุณลุงวิชิตให้ฉันรีบย้ายมาก่อน ฉันมีแต่เสื้อผ้ามาเท่านั้น”
เมฆาเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม “อืม” คุณหมอหนุ่มหล่อตอบรับในลำคอแล้วมองร่างอ้อนแอ้นของเมียเด็กก้าวเข้าห้องน้ำ เขาไม่ชินที่มีใครอีกคนมาแชร์ห้อง แต่เมื่อคิดว่าคนคนนั้นคือภรรยา ถึงจะเป็นภรรยาม้ามืดที่เข้าวินมาท่ามกลางความงงของทุกคนก็ตาม ก็ทำให้เขามีความรู้สึกประหลาดกับคำนี้
‘ลัยลาจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขา’
ที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องแต่งงานมาก่อน และสเปกที่เขาชอบก็ห่างไกลจากลัยลามาก เขาชอบคนสวย อ่อนหวาน น่ารัก เหมือนไอรดา แต่ลัยลานั้นสวยเปรี้ยว เธอไม่เข้าใกล้คำนั้นเลย กระนั้นทำไมเขารู้สึกว่าเมื่อคืนนี้เธอทำให้เขามีความสุขมาก จนบางอย่างกลางกายคึกคักขึ้นมา น้องชายตัวดีคึกคักพร้อมชักธงรบกับสาวน้อยลัยลาอีกแล้ว
‘บ้าสิ เขาไม่มีวันหลงเมียเด็กหรอก’
หมอเมฆไม่อยากให้ลัยลารู้ว่าเขามีปฏิกิริยาต่อเมียสาว สงสัยเขาจะห่างหายเรื่องอย่างว่ามานาน เลยมีอาการของขึ้นได้ง่าย เมฆาให้เหตุผลกับตัวเองแล้วรีบแต่งตัว
ขณะที่ลัยลาเข้าห้องน้ำมาแล้วก็ยืนมองของใช้ตรงหน้ากระจกครู่หนึ่ง เพราะความรีบร้อนเลยไม่ได้เอาของใช้ส่วนตัวมาเลย ทั้งแป้ง ยาสระผม แปรงสีฟัน
“แล้วจะเอาอะไรใช้ล่ะ แปรงสีฟันมันใช้รวมกันได้ที่ไหน ไม่เหมือนบางอย่าง คนอื่นใช้แล้วก็ต้องทนเอามาใช้” พอพูดแล้วก็ก้มมองร่องรอยที่คุณหมอมาดอบอุ่นแต่บนเตียงช่างไม่อ่อนโยนกับเมียสักนิดเลยทิ้งรอยแดงเอาไว้
ดวงตาคู่กลมโตมองไปที่ของใช้ของเมฆาแล้วกัดปากแน่น “แต่บางอย่างก็พอยืมใช้ได้” เธอขอยืมใช้ของเขาไปก่อนละกัน เธอยืมใช้ครีมอาบน้ำ ยาสระผมของเขา ยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือเธอไม่ได้หยิบแปรงสีฟันของเขามาใช้
เมื่อออกมาจากห้องน้ำก็ไม่พบร่างกำยำของคนร่วมห้องอีก ลัยลาจึงจัดการหยิบเอาเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋าแล้วแขวนใส่ตู้เสื้อผ้าแบ่งอาณาเขตกับเขาเสร็จสรรพ จากนั้นก็แต่งตัวจนเรียบร้อยแล้วจึงลงไปข้างล่าง
เมฆากำลังเดินพ้นไปจากหน้าประตูบ้าน ตอนที่รถของบิดาเลี้ยวเข้ามาถึงหน้าประตูพอดี คุณหมอหนุ่มยืนมองรถของบิดาด้วยแววตาที่เป็นเครื่องหมายคำถาม
“อ้าว จะไปไหน นี่มันวันหยุดไม่ใช่เหรอ” เสียงบิดาพูดทันทีเมื่อรถจอดสนิท
เมฆามองบิดาที่ลงจากรถมาพร้อมกับมารดาที่เขารักยิ่ง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน สัมผัสได้ว่าต้องไม่ปกติแน่
“สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่ วันนี้มาแต่เช้าเลยนะครับ มีอะไรหรือเปล่า” เมฆายกมือไหว้บิดามารดาแล้วประคองมารดาเข้าบ้าน
“หมอเมฆจะไปไหนฮึ นี่เราเพิ่งแต่งงานนะ” นางมาลินีถามขึ้นทันที พร้อมกับหรี่ตาลงมองลูกชายคนเดียว ดีใจเหลือเกิน ไม่คิดว่าเขาจะยอมให้นางจับคลุมถุงชนได้ “แต่งตัวแบบนี้อย่าบอกนะว่าไปทำงาน อะไรกัน เพิ่งเป็นเจ้าบ่าวเมื่อวาน”
“ใช่สิครับ วันนี้วันเสาร์ก็จริงแต่ว่าเป็นเวรผม ผมต้องไปโรงพยาบาลครับ” เมฆาบอกแล้วนั่งลงข้างบิดามารดาที่นั่งลงเรียบร้อยแล้ว
แม่บ้านที่กำลังดูท่าทีนายอยู่เมื่อเห็นว่าทุกคนนั่งแล้วก็ยกแก้วน้ำมาเสิร์ฟแล้วถอยไปอย่างรู้งาน
“นี่โรงพยาบาลวนารมย์เขาใช้งานหมอหนักขนาดแต่งงานยังห้ามพักร้อนหรือไง ถ้าเป็นแบบนั้นลาออกเถอะลูก หมอจะไปทำงานได้ยังไง เพิ่งแต่งงานได้วันเดียว ทำไมไม่พาเมียไปฮันนีมูน” นางมาลินียังถามต่อ นึกเห็นใจลูกสะใภ้คนสวยของนางเหลือเกิน
คราวนี้เป็นบิดาพูดขึ้นบ้าง “นั่นสิ ควรพาเมียไปฮันนีมูนถึงจะถูก ไม่ใช่รีบร้อนไปทำงานเหมือนกับกลัวโรงพยาบาลจะหนี หมอคนอื่นก็มีนะตาเมฆ” คนเป็นพ่อสำทับขึ้นบ้าง แล้วมองหาใครอีกคนที่ทำหลายอย่างเพื่อท่านและภรรยา ลัยลาเป็นเด็กน่ารักเหลือเกินสำหรับเขาและภรรยา
“แล้วหนูลัยลาอยู่ไหนล่ะ”
หมอเมฆามองบิดามารดาที่มาถึงก็ถามหาสะใภ้รัก “ลัยลาเขาแต่งตัวอยู่ข้างบนห้องครับ ผมรีบลงมาก่อน ที่จริงผมก็คุยกับลัยลาเขาแล้วว่าผมต้องไปทำงาน เขารับรู้แล้วก็เข้าใจไม่ว่าอะไรผม ส่วนเรื่องฮันนีมูนไว้ว่างๆ ค่อยไปก็ได้ครับ” เมฆาอธิบาย เขามีงานล้นมือจนไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องส่วนตัวเลย อีกอย่างเรื่องฮันนีมูนเขาก็ไม่ได้วางแผนไว้ด้วย ลัยลาเองก็ไม่เคยพูดถึง
“หมอจะทำแต่งาน แล้วทำกับเมียแบบนี้ไม่ได้ หมอไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอกจะได้ต้องรีบไปทำงานงกๆ ทำงานหนักมาหลายปี หยุดพักร้อนบ้างก็ได้นี่ลูก”
“คุณแม่ครับ ผมมีงานจริงๆ งานของหมอก็มาก งานในฐานะลูกคนเดียวที่ต้องกุมธุรกิจโรงแรมของเราอีก ยิ่งช่วงนี้โรคโควิดกำลังระบาด รายได้ของโรงแรมทุกแห่งลดฮวบ ผมก็ต้องหากลยุทธ์รับมือ ไหนจะโรงแรมใหม่แถวอัมพวาที่เพิ่งตกแต่งเสร็จ งานผมล้นมือ จะให้ไม่ทำงานได้ยังไง ถ้าคุณแม่อยากให้ผมพาลัยลาไปฮันนีมูนก็ได้ แต่ว่ารอผมว่างก่อน”
“เมื่อไรล่ะ ชาติหน้าหมอเมฆาของแม่จะว่างไหมลูก”
“ไว้ผมจะคุยกับลัยลาอีกทีครับ ผมว่าเขาไม่ว่าอะไรหรอก”
เป็นจังหวะเดียวกับเจ้าสาวป้ายแดงเดินลงมาพอดี เมื่อลัยลาเห็นพ่อแม่สามีนั่งอยู่ก็เดินค้อมศีรษะอย่างเรียบร้อยเข้าไปยกมือไหว้ท่านเหมือนที่เคยเป็นมาตลอด
“คุณลุงคุณป้าสวัสดีค่ะ ขอโทษที่หนูลงมาช้านะคะ คุณลุงคุณป้ามานานหรือยังคะ”
“เรียกว่าพ่อกับแม่ดีกว่าจ้ะ ตอนนี้สถานะของเรามันยกระดับขึ้นแล้วลูก เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ พ่อกับแม่เพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เอง กำลังต่อว่าพี่หมอของเราอยู่” ปลายประโยคบุ้ยใบ้หน้าไปทางคนตัวโตที่นั่งหน้าเมื่อยบอกบุญไม่รับพลางเหนื่อยใจเหลือเกิน มัวแต่ทำงานแบบนี้เมื่อไหร่นางจะมีหลานน่ารักไว้เชยชม
“ต่อว่าเรื่องอะไรหรือคะ เกี่ยวกับลัยลาหรือเปล่า”
“เกี่ยวกับหนูเลยละจ้ะ หมอเขาจะไปทำงาน หนูไม่ห้ามพี่เขาล่ะลูก เพิ่งแต่งงานกันได้วันเดียวก็จะไปทำงานแล้ว แม่อยากให้ลูกทั้งสองคนไปฮันนีมูนกันสักหน่อย ช่วงนี้เขางดไปญี่ปุ่นหลบโควิด ไปฮันนีมูนในเมืองไทยก็ได้นี่”
“หนูเข้าใจความปรารถนาดีของคุณแม่นะคะ แต่ว่าหนูคุยกับคุณหมอแล้วว่าเราจะไปฮันนีมูนตอนที่คุณหมอว่าง ช่วงนี้คุณหมอยุ่งมาก โรงพยาบาลขาดหมอ คุณหมอไม่อยากให้คนไข้ต้องรอเลยอยากไปทำงานค่ะ”