ชีวิตบัดซบ!
มีใครรันทด ดวงตก เทวดาไม่รักหนักเท่าฉันบ้างไหม? คงมีสินะคะ บนโลกนี้มีคนเป็นล้านคนฉันก็แค่คนหนึ่ง แค่ชีวิตเล็กๆ ที่ต้องเจอบททดสอบของชีวิตใช่ไหม
“ฮึก! ฮื่อ~” ฉันนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ในห้องนอนเล็กๆ ของตัวเอง ฉันเกลียดการร้องไห้ ฉันไม่ชอบการร้องไห้ที่สุด เพราะไม่ว่าฉันจะร้องด้วยความเจ็บปวดเสียใจแค่ไหน ร้องเป็นชั่วโมงหรือร้องทั้งวัน สุดท้ายก็มีแค่ฉันที่ต้องปลอบใจตัวเอง
...สุดท้ายก็มีแค่สองมือของฉันที่ต้องเช็ดน้ำตาของตัวเอง
“อีนับโว้ย! มึงไม่ไปทำงานทำการรึไงฮะ 2 ทุ่มแล้วนะ ถ้าไม่ไปทำก็เชิญเสด็จออกมาช่วยกูทำงานหน่อยเถอะอีคุณนาย! ว่างก็มาช่วยงานบ้านกูบ้าง!” เสียงคนที่ดังอยู่หน้าห้องทำให้ฉันต้องกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ ให้ทำงานบ้านอะไรตอน 2 ทุ่มกัน ถ้าไม่ใช่มาเรียกให้ฉันทำกับแกล้มไปให้วงไพ่ของแก
“นับกำลังจะไปทำงานป้า” ฉันตะโกนตอบไปด้วยเสียงที่พยายามให้มันปกติ ป้าจันทร์ไม่ใช่คนที่จะหวังดีกับฉันมาแต่ไหนแต่ไร เพราะฉะนั้นฉันไม่ควรที่จะให้ป้าจันทร์รู้ว่าฉันร้องไห้ ไม่งั้นคงได้ตีความว่าฉันร้องไห้เพราะโดนผู้ชายทิ้งโดยที่ยังไม่ได้ถามความจริงจากปากฉัน ถึงมันจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะนะ
ฉันฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นมาแต่งตัว แต่ไม่ได้ไปทำงานหรอกนะคะ ฉันโทรไปลางานเรียบร้อยแล้ว วันนี้ฉันแทบจะไม่มีเรี่ยวแรง รู้สึกเหมือนจะไม่สบาย แต่ออกไปข้างนอกก่อนดีกว่า ไม่อยากฟังเสียงป้าจันทร์ตะโกนด่ากระแนะกระแหน ฉันเกรงใจชาวบ้านเขา
“นับ จะไปทำงานเหรอ” ฉันเดินออกมาจากบ้านจนจะถึงปากซอย รถของพี่อาร์ตก็ขับเข้ามา แล้วพี่เขาก็ชะลอรถทักทายฉัน
“พี่อาร์ต” ฉันมองหน้าพี่ชายข้างบ้านที่เป็นเพื่อนเล่นและคอยอยู่ข้างฉันในเวลาที่มีปัญหาเกี่ยวกับครอบครัวมาตลอด ฉันเหมือนคนไร้ที่พึ่งจริงๆ พอเห็นหน้าเขาน้ำตามันก็ไหลออกมาในทันที
“เฮ้ยนับ! เป็นอะไร” พี่อาร์ตอุทานด้วยความตกใจแล้วก็รีบลงจากรถมาหาฉัน
“ฮื่อๆๆๆ พี่อาร์ต” ฉันโผเข้ากอดพี่อาร์ตเต็มแรงเหมือนคนที่ต้องการหาที่พักพิง แค่ใครสักคนก็ได้ที่พอจะรับฟังฉัน
“นับใจเย็นๆ ขึ้นรถพี่ก่อนเร็ว” พี่อาร์ตดูจะตกใจที่เห็นท่าทางของฉันในตอนนี้
มันไม่บ่อยที่ฉันจะร้องไห้ให้ใครเห็น เพราะหลังจากพ่อแม่ไม่อยู่ชีวิตฉันก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้า จากที่เคยร้องไห้ให้กับทุกอย่างที่เจอในช่วงแรก ฉันต้องพยายามอย่างมากที่จะเช็ดน้ำตาทิ้งให้หมดเพื่อต่อสู้กับชีวิต แล้วพอยืนได้ ฉันก็ไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็นอีกเลย
“นับเป็นอะไรบอกพี่ได้ไหม ไปทำงานไหวรึเปล่า” พอขึ้นมาบนรถพี่อาร์ต ฉันก็ร้องไห้ออกมาไม่หยุด
“ไม่ค่ะ ฮึก! นับลางานแต่ไม่อยากอยู่บ้าน ฮื่อๆ ขอนับไปหลบที่บ้านพี่อาร์ตก่อนได้ไหมคะ” ฉันตอบพี่อาร์ตไปเช็ดน้ำตาไป
“ได้สิ ไปบ้านพี่กันเนอะ” พี่อาร์ตตอบฉันแล้วก็บีบมือฉันเพื่อให้กำลังใจ
“ตามสบายนะนับ” พอเดินเข้ามาในบ้านพี่อาร์ตโดยการหลบสายตาจากบ้านรั้วข้างๆ จนเข้ามาในบ้านได้เรียบร้อย ฉันก็ไปนั่งทำใจอยู่ที่โซฟาโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาเห็นฉันในสภาพนี้ พี่อาร์ตอยู่บ้านหลังนี้คนเดียว เพราะพ่อกับแม่พี่เขาย้ายไปใช้บั้นปลายชีวิตที่ต่างจังหวัดแล้ว
“ขอบคุณนะคะพี่อาร์ต”
“อื้อ พี่ไม่รู้ว่าเรามีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรอกนะ แต่คงหนักจนเด็กเก่งของพี่ทนไม่ไหวใช่ไหม” พี่อาร์ตนั่งลงที่โซฟาตรงข้ามแล้วก็พูดกับฉันด้วยน้ำเสียงอบอุ่น และสายตาที่มองฉันด้วยความเป็นห่วง จนฉันน้ำตาไหลออกมาอีกรอบ
“ฮื่อๆๆ ไม่ไหวค่ะ นับไม่ไหวแล้วจริงๆ ไม่รู้เรื่องอะไรมันเข้ามาถาโถมนับนักหนา” ฉันปล่อยโฮอีกรอบเพราะความเก็บกดที่มีอยู่ในใจมานาน
“ถ้าสบายใจแล้วอยากเล่าหรืออยากระบายพี่พร้อมรับฟังนะนับ”
“นับอยากหายไปพี่อาร์ต นับคิดถึงพ่อกับแม่” ฉันเช็ดน้ำตาแล้วก็ตอบพี่อาร์ตเสียงแผ่ว จะดีแค่ไหนนะถ้าฉันเหนื่อยหรือทุกข์ใจแล้วได้อ้อมกอดอบอุ่นของพวกท่าน ฉันว่าความเจ็บปวดในใจฉันมันจะต้องลดน้อยลงไปได้อย่างไม่น่าเชื่อแค่เพราะมีกอดที่อบอุ่นของพวกท่านแน่ๆ
...ฉันอยากได้อ้อมกอดของคนที่รักฉัน มากอดฉันเวลาที่ฉันทุกข์ใจ เสียใจ หรือมีปัญหากับทุกเรื่องที่เจอ ไม่ต้องช่วยฉันแก้ปัญหาก็ได้ แค่กอดฉันเอาไว้ก็พอ
“อย่าคิดแบบนั้น พ่อกับแม่นับท่านจะไม่สบายใจ ไม่อยากให้พ่อแม่ต้องเป็นห่วงไม่ใช่รึไง” พี่อาร์ตขยับมานั่งข้างๆ แล้วก็ดึงฉันเข้าไปกอด พร้อมกับตบหลังฉันเบาๆ
“นับเหนื่อย โดยเฉพาะตอนนี้ มันเหนื่อยมากเลยค่ะพี่อาร์ต”
“ไม่เป็นไรนะนับ ไม่เป็นไร” พี่อาร์ตยังคงปลอบฉัน โดยที่ไม่ได้เซ้าซี้ถามเลยสักนิดว่าฉันร้องไห้เพราะเรื่องอะไร ซึ่งนั่นมันก็ดีแล้วสำหรับฉัน เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นฉันก็ไม่พร้อมที่จะบอกใคร
-
2
เดือนต่อมา –
นับตั้งแต่วันนั้น วันที่เรื่องเลวร้ายบัดซบที่สุดในชีวิตของฉันได้เกิดขึ้น ฉันก็ไม่เคยเจอผู้ชายคนนั้นอีกเลย เพราะฉันลาออกจากผับที่เคยทำงาน แล้วไปทำที่อื่นแทน ฉันกลัวการที่จะต้องพบเจอหน้าเขาค่ะ แค่นี้ก็เกลียดมากพอแล้ว ผู้ชายเฮงซวย!
“นับเงินๆ” เสียงแพรไหม เพื่อนในมหาลัยของฉันตะโกนเรียกฉันมาแต่ไกล จนทำให้ฉันต้องรีบเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงตัวนางก่อนที่นางจะตะโกนลั่นไปมากกว่านี้
“มาแล้วจ้า ตะโกนจนโรงอาหารแทบแตกแหนะ” พอไปถึงฉันก็ล้อแพรไหมเพราะนางตะโกนดังจริงๆ ค่ะ สมฉายาแพรไหมเสียงโทรโข่ง
“อิอิ ก็ไหมกำลังตื่นเต้นกับงานของอาจารย์สุชาตินี่” แพรไหมบอกใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เพื่อนฉันคนนี้เป็นเด็กเรียนค่ะ รักการเรียนและชอบมากเวลาที่อาจารย์สั่งงานโหดหินมาให้ และพอนางบอกว่ากำลังตื่นเต้นกับงานของอาจารย์สุชาติ ฉันก็รับรู้ได้ถึงพลังงานบางอย่างว่างานนี้จะต้องโหดมากแน่นอน
“แค่เห็นไหมตื่นเต้น นับก็ตื่นเต้นยิ่งกว่าจนใจจะหยุดเต้นแล้ว” ฉันตอบแพรไหมไปพร้อมใบหน้าเซ็ง วันนี้อาจารย์ยกคลาส แต่สั่งงานที่เป็นโปรเจคสำคัญที่จะชี้ชะตาเกรดของวิชานี้โดยเฉพาะมาทางหัวหน้าแทน
“ไม่เอาสินับ งานน่ะยิ่งยากยิ่งท้าทาย เทอมหน้าต้องฝึกงานแล้วด้วย ถือเป็นการฝึกไปในตัวเลย ต่อไปต้องเจออะไรหนักกว่านี้อีกนะ” แพรไหมยิ้มตอบจนตาหยี แต่พอตัดมาที่อีนับเงินคนนี้ ขนาดยังไม่ได้รู้เลยว่างานคืออะไรก็จิตใจห่อเหี่ยวแล้ว
พอแพรไหมบอกว่าอาจารย์ให้ทำอะไรฉันก็แทบกรีดร้องให้ลั่นโรงอาหาร ให้ไปขอสัมภาษณ์ประสบการณ์การทำงานจากนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงเนี่ยนะ แถมยังกำหนดรายชื่อมาให้นักศึกษาแต่ละคนแล้วเรียบร้อย
นับเงินขอเน้นย้ำว่าแค่กำหนดชื่อของนักธุรกิจมาให้นะคะ แต่อาจารย์ไม่ได้บอกคนที่พวกเราจะไปสัมภาษณ์ให้รู้ตัวเลยสักนิดว่าเขาคือคนที่ถูกเลือก WTF!
นี่จะให้นักศึกษาไปหาวิธีเข้าถึงและขอสัมภาษณ์เองเนี่ยนะ! บ้าไปแล้ว เด็กใส่ชุดนักศึกษากะโปโลไปขอสัมภาษณ์ ใครเขาจะบ้าสละเวลาอันมีค่ามาให้กันเล่า หนังสือขอความอนุเคราะห์จากมหาลัยฯ ก็ไม่มี
Line!
เสียงไลน์กลุ่มคณะดังขึ้น มาทำให้ฉันกับแพรไหมรีบเปิดอ่านเพราะอาจารย์บอกว่าจะส่งรายชื่อมาให้ในไลน์ ซึ่งตอนนี้ก็กำลังลุ้นกันตัวโก่งว่าจะได้ไปสัมภาษณ์นักธุรกิจท่านใด
“ครินทร์ ศิริวัฒนากูล...” ฉันพยายามลากสายตาตามช่องรายชื่อของฉันช้าๆ หลายรอบ เผื่อว่าฉันอาจจะตาลายจนสลับบรรทัด แต่มันไม่ใช่เลยค่ะ ชื่อนั้นนั่นแหละถูกต้องแล้ว ชื่อของคนที่ฉันต้องไปขอสัมภาษณ์
“นับ นับเงิน! เป็นไรอ่ะหน้าซีดเชียว” แพรไหมเรียกฉันซ้ำๆ พร้อมกับถามด้วยความเป็นห่วง
“ซวยแล้วไหม” ฉันมองหน้าแพรไหมเหมือนคนสติหลุด แล้วก็ตอบแพรไหมช้าๆ จนแทบจะไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง
“อะไรเหรอนับ ไหมไม่เข้าใจ” แพรไหมทำหน้างงหนัก เพราะท่าทีของฉันที่อยู่ๆ ก็เป็นแบบนี้
“นับซวยแล้ว เจอเจ้ากรรมนายเวร...”