ยุคอดีต
ภายในกระโจมที่ประทับ
“องค์ชาย! องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงเรียกขานด้วยความเป็นห่วงพยายามปลุกองค์ชายของตนให้ทรงรู้สึกพระองค์
เปลือกตาที่ปิดสนิทตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ ดวงเนตรสีนิลกาฬกลอกกลิ้งไปมา เพดานเบื้องบนคือผ้าของกระโจมที่ประทับ บริเวณโดยรอบคือสถานที่คุ้นชินตาอยู่ทุกวี่วัน
“องค์ชายฟื้นแล้ว!” องครักษ์คนสนิทเอ่ยขึ้นด้วยความดีใจอย่างยิ่งยวด เมื่อเห็นองค์ชายของตนได้สติกลับคืนมา
“น้ำ! ขอน้ำกินหน่อย” สุรเสียงแหบแห้งรับสั่งออกมาเบาๆ
องครักษ์หนุ่มรีบกระวีกระวาดรินน้ำใสสะอาดออกจากกาน้ำใส่ถ้วย ก่อนจะตรงเข้าประคองพระวรกายใหญ่ให้ลุกจากฟูกพระบรรทมขึ้นมาอย่างช้าๆ ท่ามกลางความเจ็บปวดที่มิได้ลดน้อยถอยลงไปแต่อย่างใด
กรอดดดด!!! เสียงพระทนต์ขบเข้าหากันจนแน่น ด้วยทรงเจ็บปวดบาดแผลอย่างยิ่งยวด
อึก… อึก... อึก องค์ชายหนุ่มเสวยน้ำด้วยความกระหายจนหมด
“เอาอีก” รับสั่งสุรเสียงแหบแห้ง
องครักษ์หน้ามนรีบเทน้ำออกจากกาใส่ลงไปในถ้วยขนาดใหญ่กว่าเดิม ตรงปรี่เข้าไปประคองพระวรกายพร้อมถวายน้ำก่อนจะเสวยหมดลงอย่างรวดเร็ว
เอื๊อก! เสียงกลืนน้ำลายลงคอได้ยินอย่างชัดเจน
พระเกศาสีดำสนิทยาวสยายถึงบั้นพระองค์ตกลงปรกพระพักตร์ ซึ่งบัดนี้ไร้สิ้นหน้ากากสีเงินปิดบังเอาไว้ องค์ชายแห่งแคว้นฉินทอดพระเนตรพบหน้ากากของพระองค์ถูกนำมาวางไว้อยู่บนฟูกพระบรรทม พระหัตถ์ยกขึ้นจับพระพักตร์ทันที
“ผู้ใดบังอาจถอดหน้ากากของข้าออกไป!” รับสั่งถามสุรเสียงเข้มพร้อมทอดพระเนตรองครักษ์คนสนิทเขม็ง
ในขณะที่องครักษ์ส่วนพระองค์นั่งกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดหวั่นเมื่อถูกสายพระเนตรองค์ชายของตนทอดพระเนตรกลับมาเช่นนั้น
“กะ… กระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะองค์ชาย… ตะ… แต่ที่ทำไปเพราะต้องช่วยเหลือพระองค์ให้ทรงหายพระทัยได้สะดวกขึ้น ตอนนั้นพระอาการหนักหนาสาหัสยิ่งนัก หลายครั้งหลายคราทรงหายพระทัยติดขัด กระหม่อมจึงต้องตัดสินใจถอดหน้ากากของพระองค์ออกมาพ่ะย่ะค่ะ” องค์รักษ์คนสนิทกราบทูลกลับไปพลางรีบก้มหน้ามองพื้นทันทีด้วยความหวาดกลัวองค์ชายของตนเป็นยิ่งนัก
พระพักตร์สั่นไหวระริกด้วยความเจ็บปวดบาดแผลอย่างยิ่งยวด ก่อนจะปิดพระเนตรลงเพียงครู่ครั้นทรงได้ยินเช่นนั้นและค่อยๆ เปิดขึ้นมาอีกคราพร้อมสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอด
“มีผู้ใดอีกหรือไม่ที่พานพบใบหน้าของข้านอกจากเจ้า” รับสั่งถามกลับไปด้วยความอยากรู้
องครักษ์คนสนิทซึ่งกำลังก้มหน้ามองพื้นอยู่ในขณะนั้นเกิดอาการนิ่งงันไปชั่วขณะเมื่อถูกถามกลับมาเช่นนั้น
“พูด!!!” รับสั่งตวาดกลับไป
“กะ... กระหม่อมพูดแล้วพ่ะย่ะค่ะ พูดแล้ว!” องครักษ์หนุ่มละล่ำละลักกราบทูลตอบกลับไปทันที
“มีกี่คน!” รับสั่งถามกลับไปโดยพลัน
“มะ… มีหมอหลวงและผู้ช่วยอีกสองคน รวมกระหม่อมด้วยเป็นสี่คนพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หน้ามนกราบทูลรายงานกลับไปอย่างรวดเร็ว
ครั้นพระองค์ทรงได้ยินเช่นนั้น พระเนตรปิดลงทันทีก่อนจะมีรับสั่งสำทับตามติดมา
“หมอหลวงกับผู้ช่วยตายกันหมดแล้วหรือยัง” รับสั่งถามกลับไปอีกครา
หากแต่คำถามของพระองค์ทำให้องครักษ์ตรงเบื้องพระพักตร์แปลกใจอย่างยิ่งยวดเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“เหตุใดองค์ชายจึงทรงมีรับสั่งถามเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ หมอหลวงและผู้ช่วยทั้งสองยังคงอยู่ดีมีสุขเป็นปกติดีทุกอย่าง มิได้ล้มหายตายจากไปแต่ประการใด”
ครั้นองค์ชายอิ๋งหยางได้ยินเช่นนั้น พระพักตร์เงยขึ้นทอดพระเนตรองครักษ์ของพระองค์ทันใด
“เจ้าว่าอะไรนะ! หมอหลวงและผู้ช่วยยังไม่ตายอย่างนั้นหรอกรึ!” รับสั่งด้วยความแปลกพระทัยเป็นยิ่งนัก ก่อนจะทอดพระเนตรองครักษ์คนสนิทที่ยังคงนั่งมองพระองค์ตาไม่กะพริบด้วยความแปลกใจมิรู้วาย
“จริงสิ! แม้แต่ตัวเจ้าเองก็ยังไม่ตาย กลับยังมีชีวิตอยู่ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้าข้าในขณะนี้ ทั้งๆ ที่ควรจะตายทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของข้า”
และถ้อยรับสั่งของพระองค์ทำให้องครักษ์คนดังกล่าวถึงกับเงยหน้ามององค์ชายของตนทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น
“เหตุใดจึงทรงรับสั่งเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เข้าใจ” เสียงนั้นกราบทูลถามกลับไปด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวด
พระโอษฐ์แสยะยิ้มเหยียดก่อนจะเค้นเสียงพระสรวลออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงชะตากรรมที่ทรงได้รับนับตั้งแต่แรกประสูติออกจากพระครรภ์มารดา
“เมื่อแรกประสูติ ทุกคนที่อยู่ในห้องพระประสูติกาลจบชีวิตลงอย่างมิรู้สาเหตุ ทันทีที่เห็นหน้าข้า ส่วนคนที่มิได้เห็นล้วนแล้วแต่รอดชีวิต ดังนั้นทุกคนจึงมิให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ได้พานพบข้าเลยสักครา ด้วยเกรงว่าทั้งสองพระองค์จะทรงมีอันเป็นไป แต่ถึงกระนั้นเสด็จแม่ของข้าก็ไม่ทรงเชื่อคำเล่าลือเช่นนั้น” รับสั่งพร้อมเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรองครักษ์คนสนิทอีกครา
“พระองค์หมายความว่าอดีตฮองเฮาสิ้นพระชนม์เพราะองค์ชายอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
แทนถ้อยรับสั่งพระพักตร์พยักขึ้นลงติดๆ กันเป็นการตอบรับ
“แต่อย่างน้อยข้าก็ยังสามารถได้พบกับเสด็จแม่เป็นครั้งแรกในชีวิตเมื่อตอนอายุห้าขวบ เสด็จแม่ของข้าไม่กลัวแม้กระทั่งความตายเพียงเพื่อต้องการพบหน้าข้าสักครั้งและนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าได้เห็น เพราะในที่สุดเสด็จแม่ก็พบจุดจบเหมือนกับทุกคน และนี่คือสาเหตุว่าเพราะอะไรข้าจึงถูกส่งตัวมาอยู่ที่ชายแดนตลอดกาล” รับสั่งพร้อมหันกลับไปทอดพระเนตรหน้ากากสีเงินของพระองค์ที่ทรงสวมติดพระพักตร์มาโดยตลอด
“นี่คือชะตากรรมของข้าที่สวรรค์กำหนด เพื่อปกป้องแคว้นฉินข้ายินดีที่จะอยู่ที่นี่ มิกลับเมืองหลวงตามพระบัญชาของเสด็จพ่อจวบจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต เพราะข้าคือโอรสที่สวรรค์สาปให้มีใบหน้าพิฆาตผู้คนจนล้มตายดั่งเช่นใบไม้ปลิดปลิว!” รับสั่งพร้อมทอดพระเนตรองครักษ์ส่วนพระองค์เขม็ง
“และเจ้าเองก็ไม่รอดเช่นกัน!” รับสั่งสุรเสียงเย็นยะเยียบ
“หา! อะ… องค์ชาย! ทรงมีรับสั่งเช่นนี้หมายความว่ากระหม่อมจะต้องตายอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ แต่นี่นับตั้งแต่ครั้งแรกที่กระหม่อมถอดหน้ากากองค์ชายออกจนถึงเวลานี้ ก็ผ่านไปห้าวันแล้ว ยังมิมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับกระหม่อมเลยแม้แต่น้อย” องครักษ์หนุ่มพยายามกราบทูลอธิบาย
“ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสิ่งที่สวรรค์สาปได้แม้แต่น้อย เหตุที่เจ้าอยู่ได้นานถึงตอนนี้ก็เพราะว่าข้าไม่ได้สติ แต่ในเวลานี้สติข้าหวนกลับคืนมาแล้ว เจ้าเองก็จะอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน” รับสั่งตอบกลับไป
และถ้อยรับสั่งของพระองค์ทำให้องค์รักษ์คนสนิทชะงักงันขึ้นมาทันที
“บะ… บางทีอาจมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ พระองค์มิเคยทอดพระเนตรพระพักตร์ว่าเป็นเยี่ยงไร ไม่ว่าจะในกระจกหรือภาพสะท้อนจากเงาน้ำ ทรงทราบหรือไม่ว่าพระพักตร์ขององค์ชายหาได้อัปลักษณ์ผิดรูปเป็นที่น่าเกลียดน่ากลัวแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามทรงมากด้วยพระสิริโฉมยิ่งนัก ทรงทอดพระเนตรสิพ่ะย่ะค่ะ” กราบทูลพลางรีบคว้าอ่างน้ำที่มีน้ำอยู่กว่าครึ่งเพื่อให้องค์ชายของตนทอดพระเนตร
“ไม่ต้อง!” สุรเสียงรับสั่งตวาดห้ามกลับไปทันที
พระหัตถ์อันสั่นเทาเอื้อมไปหยิบหน้ากากสีเงินของพระองค์ขึ้นมาสวมปิดบังพระพักตร์อย่างรวดเร็ว พร้อมสุรเสียงมีรับสั่งตอบกลับไป
“ผู้อื่นเห็นใบหน้าข้ายังต้องล้มตายดั่งเช่นใบไม้ปลิดปลิว นับประสาอะไรกับตัวข้าเอง ก็เป็นแบบนั้นเช่นกันไม่แตกต่างแม้แต่น้อย ต้องตายทันทีที่ได้ยลโฉมของตนเอง และนี่คือเหตุผลที่ข้าต้องสวมหน้ากากเอาไว้ตลอดเวลา ไม่มีกระจกและไม่เพ่งพิศเงาในสายน้ำหลากแม้แต่ครั้งเดียว”
เอื๊อก! องครักษ์หน้ามนกลืนน้ำลายลงคอทันทีเมื่อได้ยินและเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
ฉับพลันเสียงทหารรายงานข่าวดังขึ้นอยู่นอกกระโจม
“รายงาน!!!” เสียงดังก้องอยู่หน้าประตูทางเข้า
“เข้ามา!” องค์ชายหนุ่มรับสั่งอนุญาต
ทันทีที่มีพระบัญชา ทหารรายงานข่าวรีบรุดเข้ามาภายในกระโจมที่ประทับทันที ร่างสันทัดทรุดกายลงนั่งคุกเข่า
“กราบทูลองค์ชาย หมอหลวงพร้อมผู้ช่วยทั้งหมดบัดนี้ได้สูญสิ้นลมหายใจอย่างมิรู้สาเหตุเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทหารที่ได้รับบาดเจ็บยังมีอีกเป็นจำนวนมากแต่ไร้สิ้นหมอทำการรักษา เช่นนี้แล้วจะทำเช่นไรดีต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นคำกราบทูลของทหารคนดังกล่าว พระพักตร์ที่ถูกปกปิดด้วยหน้ากากส่ายไปมาติดๆ กัน พระองค์หันกลับไปทอดพระเนตรองครักษ์ที่นั่งอยู่กับพื้นข้างแท่นพระบรรทม
“ฝังศพให้เรียบร้อย แล้วนำกองทหารไปตามหมอในแถบนี้มารักษาอาการบาดเจ็บของทหาร ส่งสาสน์ไปที่เมืองผิงหยางให้นำส่งหมอหลวงมาช่วยรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ข้าจะยังไม่เคลื่อนทัพกลับจนกว่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บจะได้รับการดูแลรักษา”
“พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย” ทหารรายงานข่าวรับพระบัญชาอย่างแข็งขัน ก่อนจะสังเกตเห็นพระโลหิตไหลซึมออกมาจากผ้าพันแผลจนแดงฉานชุ่มโชกไปหมด
“กระหม่อมได้ส่งสาสน์กลับไปทางเมืองหลวงเพื่อให้ฝ่าบาทจัดส่งหมอหลวงของราชสำนักมารักษาพระอาการขององค์ชายแล้วพ่ะย่ะค่ะ คาดว่าคงไม่เกินห้าวันก็น่าจะถึงแล้ว”
ครั้นองค์ชายอิ๋งหยางได้ยินเช่นนั้น พระพักตร์หันกลับไปทอดพระ เนตรทหารรายงานข่าวเขม็ง
“ไม่ได้รับคำสั่งจากข้า! เหตุใดจึงฝ่าฝืนส่งสาสน์ไปที่เมืองหลวงเช่นนั้น ต่อให้ข้าตายเสด็จพ่อก็ไม่ส่งหมอหลวงมารักษาข้าแม้แต่น้อย เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์!” รับสั่งตวาดก่อนจะหายใจหอบโยนด้วยทรงเจ็บปวดบาดแผลอย่างรุนแรง ท่ามกลางสายตาของทหารผู้ใกล้ชิด
“พระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นยิ่งนัก หมอหลวงที่ทำการรักษาก็เป็นผู้บอกเองว่าไม่สามารถทำให้ทุเลาลงได้ ต้องขอให้ทางราชสำนักส่งหมอหลวงฝีมือดีมารักษาพระอาการ ทรงเป็นถึงองค์ชายใหญ่เหตุใดฝ่าบาทจะทรงไม่เหลียวแล ทุกวันนี้แคว้นฉินแผ่ขยายอำนาจอย่างยิ่งใหญ่ไพศาลเช่นนี้ได้ ล้วนมาจากพระองค์ทรงเป็นผู้นำทัพทั้งสิ้น” องครักษ์คนสนิทอดไม่ได้ที่จะกราบทูลกลับไป
หึหึหึหึ!!! เสียงพระสรวลเค้นออกมาเบาๆ ครั้นทรงได้ยินเช่นนั้น
“องค์ชายใหญ่แล้วอย่างไรเล่า! ก็แค่ฐานันดรติดตัว ความเป็นจริงก็คือข้าคือโอรสที่ถูกเนรเทศให้มาอยู่ชายแดนตลอดกาล ไม่มีวันได้หวนคืนกลับสู่เมืองหลวงแต่อย่างใด” รับสั่งพร้อมยกพระหัตถ์สะบัดไปมาเพื่อไล่เหล่าทหารออกไปจากกระโจมที่ประทับ เมื่อทรงรู้สึกว่าอาการปวดแปลบบาดแผลเริ่มทวีรุนแรงมากยิ่งไปกว่าเดิม
“พวกเจ้าออกไป! ข้าอยากพักแล้ว” รับสั่งพร้อมค่อยๆ เอนพระวรกายลงประทับบรรทม โดยมีองครักษ์คนสนิทรีบตรงปรี่เข้ามาประคองพระวรกายให้บรรทมลงบนฟูก ก่อนจะทรงมีรับสั่งถามกลับไป
“เจ้ากลับไปพักผ่อนเสียเถิด อย่าอยู่ใกล้ข้า มิเห็นหรือไรว่าจุดจบของบรรดาหมอหลวงเป็นเช่นไร แทนที่จะมีชีวิตอยู่ได้ต่ออีกหลายวันกว่านี้”
องครักษ์คนดังกล่าวทำได้แต่เพียงแค่ยิ้มออกมาบางๆ เมื่อได้ยินรับสั่งถามกลับมาเช่นนั้น
“จะตายช้าหรือเร็วก็ต้องตายเช่นกัน กระหม่อมจะขอถวายการรับใช้องค์ชายอยู่ใกล้ๆ พ่ะย่ะค่ะ หากแม้นต้องตายก็ไม่เสียดายชีวิต เพราะก่อนตายมีโอกาสคอยดูแลพระองค์จนถึงวาระสุดท้ายของกระหม่อม” องครักษ์คนสนิทกราบทูลกลับไปตามความรู้สึกของตน
องค์ชายอิ๋งหยางทอดพระเนตรองครักษ์คู่พระทัย ผ่านหน้ากากสีเงินที่ปิดบังพระพักตร์ ครั้นทรงได้ยินคำตอบกลับมาเช่นนั้น มิมีผู้ใดได้เห็นสีพระพักตร์ของพระองค์ในเวลานี้เลยว่าทรงเป็นเช่นไร ทั้งสีพระพักตร์และสายพระเนตรแฝงเร้นความเศร้าหมอง ด้วยพระองค์ทำให้ผู้คนรอบข้างต้องพบจุดจบก่อนวัยอันควร คนที่สมควรตายกลับไม่ตายแต่คนที่ไม่ควรตายกลับจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับคืน เหตุใดสวรรค์จึงลิขิตให้ต้องได้รับความทรมานเช่นนี้หนอ
นับตั้งแต่จำความได้ พระองค์เจริญชันษาท่ามกลางความโดดเดี่ยว อ้างว้าง คนใกล้ตัวล้วนจากไปเพราะพานพบพระพักตร์ ไออุ่นจากพระบิดาและพระมารดามิเคยทรงได้รับ ซ้ำร้ายยังทรงเป็นที่น่ารังเกียจของราชวงศ์ ราชสำนักต่างกล่าวขานว่าพระองค์คือองค์ชายปีศาจของราชวงศ์ฉินที่จะนำหายนะมาสู่แว่นแคว้น หากขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นตามกฎมณเฑียรบาลที่สืบทอดต่อๆ กันมา แคว้นฉินจะต้องถึงคราวล่มสลายหากเจ้าผู้ครองแคว้นคือพระองค์
“ชีวิตของข้าในชาตินี้ถูกกำหนดให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไร้รัก สิ้นเสน่หาและวาสนากับผู้ใด เพราะคนใกล้ตัวล้วนล้มตายไปจนหมดสิ้น หากแม้นเจ้าตั้งใจเช่นนั้นและไม่อาลัยชีวิตข้าก็มิขัด” รับสั่งกับองครักษ์คนสนิท
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์กราบทูลกลับไป ก่อนจะได้ยินองค์ชายของตนมีรับสั่งขึ้นมาอีกครา
“ช่วงที่ข้าหมดสติได้ฝันแปลกประหลาดยิ่งนัก เป็นความฝันที่มิเคยปรากฏขึ้นมาก่อน ราวกับว่าข้าได้ไปสถานที่ดังกล่าวนั้นจริงๆ ผู้คนมากมายอีกทั้งบ้านเมืองในแคว้นนั้นข้ามิเคยพานพบจากที่ใดในทั่วหล้านับตั้งแต่ยกทัพยึดดินแดนในผืนแผ่นดินนี้” รับสั่งด้วยความคลางแคลงพระทัยมิรู้วาย
ถ้อยรับสั่งขององค์ชายหนุ่มทำให้องครักษ์คนสนิทที่กำลังนั่งฟังอยู่เงียบๆ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา
“อาจเป็นเพราะทรงมีไข้สูงจึงทำให้เกิดนิมิตแปลกประหลาดก็เป็นไปได้นะพ่ะย่ะค่ะ ดูเอาเถิดแม้ในยามนี้ไข้ของพระองค์เหตุใดจึงมิบรรเทาเบาบางลงไปแต่อย่างใด” องครักษ์คนสนิทบ่นพึมพำ
ในขณะที่องค์ชายอิ๋งหยางหาได้อาลัยแก่พระชนม์ชีพของพระองค์แต่อย่างใด ทรงปล่อยวางได้หากแม้นต้องเผชิญกับความตายที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
“วาระสุดท้ายของข้าคงใกล้มาถึงแล้วกระมัง เช่นนั้นก็ดีจะได้ไม่ต้องทนทรมานอีกต่อไป ข้าอยากทำอะไรบางอย่างเจ้าให้ทหารไปตามช่างทำเครื่องประดับฝีมือดีมาพบข้า”
องครักษ์หนุ่มขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น
“องค์ชายประสงค์จะทำเครื่องประดับให้กับผู้ใดอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” มิวายทูลถามกลับไปด้วยความสงสัย
“ทำให้ข้า!” รับสั่งตอบกลับไปสั้นๆ ก่อนจะหยุดไปชั่วขณะเมื่อบาดแผลจากลูกกระสุนในยุคอนาคตทำให้พระองค์เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสเป็นยิ่งนัก
“ข้าต้องการปิ่นหยก! ในฝันนั้นบอกว่าข้าคือเจ้าของปิ่นหยกที่อยู่ในความครอบครองของนาง” รับสั่งพึมพำสุรเสียงแผ่วเบาแทบจะไม่
ได้ยิน ในขณะที่องครักษ์คนสนิทพยายามจะฟังว่าองค์ชายของตนทรงมีรับสั่งเช่นไรแต่จนแล้วจนรอดก็ได้ยินไม่ชัดเจน
“จะ... เจ้าจงฟังข้าให้ดี หากข้าหลับไปและมิตื่นขึ้นมาอีกเลย จงให้ช่างเครื่องประดับทำปิ่นหยกและฝังไปพร้อมกับร่างอันไร้วิญญาณของข้าเข้าใจที่บอกหรือไม่” รับสั่งกำชับพร้อมทอดพระเนตรองครักษ์ของพระองค์เขม็ง
“กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์หนุ่มขานรับพระบัญชาอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่เข้าใจในถ้อยรับสั่งก็ตามแต่ก็มิอาจขัดพระประสงค์ของพระองค์ได้
พระหัตถ์ค่อยๆ ยกขึ้นสัมผัสพระอุระที่ถูกปิดทับด้วยผ้าพันแผล แต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถรับรู้ถึงไอร้อนผ่าวจากพิษของบาดแผลที่กำลังระบมอย่างเห็นได้ชัด
“แผลนี้ช่างทรมานข้าเสียนี่กระไร ใยจึงสร้างความเจ็บปวดถึงเพียงนี้นักเล่า เป็นอาวุธเช่นไรหนอจึงทำให้ทนทุกข์อย่างแสนสาหัสถึงเพียงนี้” รับสั่งพึมพำแผ่วเบา
องครักษ์หนุ่มรีบนำผ้าที่อยู่ในอ่างน้ำบิดหมาดๆ พลางนำมาเช็ดพระวรกายเพื่อบรรเทาความร้อนจากพิษไข้ให้ทุเลาลงไปไม่มากก็น้อย
“บาดแผลของพระองค์อักเสบรุนแรงยิ่งนัก หมอหลวงก็มิอาจตอบได้ว่าองค์ชายทรงถูกอาวุธชนิดใดทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้พ่ะย่ะค่ะ ภายในบริเวณนั้นหามีทหารต้าเหลียงหลงเหลืออยู่แม้แต่เพียงผู้เดียว มีเพียงพระองค์เท่านั้นอยู่เพียงลำพัง แต่เหตุใดจึงมีบาดแผลเช่นนี้บังเกิดขึ้นมาได้ช่างน่าแปลกประหลาดเป็นยิ่งนัก”
ครั้นองค์ชายอิ๋งหยางทรงได้ยินเช่นนั้น ภาพของสตรีสาวร่างระหง กำลังวิ่งตรงมาหาพระองค์ด้วยความหวาดกลัวอย่างสุดขีด พร้อมเสียงดังกึกก้องไล่หลังตามมาติดๆ ปรากฏขึ้นในความทรงจำของพระองค์ขึ้นมาทันที
“แผลนี้เกิดจากนาง... เกิดจากนางแน่นอน! สิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าเป็นเพียงแค่ความฝันหรือเรื่องจริง!” สุรเสียงพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ก่อนจะหมดพระสติประทับบรรทมนิ่ง ท่ามกลางเสียงร้องเรียกขององครักษ์คนสนิท
“องค์ชาย! องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ!!!”