ครั้นถึงโต๊ะทำงานส่วนตัว จางเพ่ยอันวางถาดที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะ ดวงตาคู่สวยหันกลับไปมองภาพถ่ายของพ่อและแม่ที่จากไปเพราะอุบัติเหตุรถคว่ำตั้งแต่หญิงสาวมีอายุเพียงแค่หกเดือนเท่านั้น พ่อและแม่ของเธอต่างเป็นลูกโทนด้วยกันทั้งคู่ ญาติมิตรล้วนล้มหายตายจากไปหมด ที่มีอยู่ก็เพียงแค่ญาติห่างไกลลิบลิ่ว ไม่มีความสามารถที่จะอุปการะเลี้ยงดูได้ด้วยมีฐานะยากจนและอยู่ในชนบท
หญิงสาวจึงถูกเลี้ยงดูจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาโดยตลอด บ่อยครั้งที่มีผู้อุปการะนำไปเลี้ยง ทว่าแต่ละรายเลี้ยงจางเพ่ยอันได้ไม่ถึงปี ถ้าไม่ตายยกครัวก็ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว จนต้องนำกลับมาคืนสถานรับเลี้ยงเด็กตามเดิม ซึ่งต่างพากันพูดปากต่อปากว่า วันเดือนปีเกิดของสาวน้อยคนงามเป็นดวงพิฆาตหากแม้นอยู่ร่วมกับผู้ใด คนใกล้ตัวจะต้องมีอันเป็นไปและเป็นเช่นนี้ทุกครอบครัว
และนี่เป็นสาเหตุทำให้หญิงสาวเติบโตในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ามาโดยตลอด จนกระทั่งอายุสิบแปดปี พ้นวัยเยาวชนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตามกฎหมาย จางเพ่ยอันจึงออกมาเผชิญชีวิตอยู่เพียงลำพังนับตั้งแต่นั้นมา ทำงานหาเลี้ยงตัวเองและเรียนในระดับมหาวิทยาลัยไปด้วยพร้อมกัน
จนกระทั่งสามารถเรียนจบคณะประวัติศาสตร์ เกรียตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยปักกิ่งและเป็นนักเรียนทุนของมหาวิทยาลัยมาโดยตลอด ซึ่งหญิงสาวยังได้รับทุนจากมหาวิทยาลัยในระดับปริญญาโทและกำลังศึกษาอยู่ในขณะนี้ควบคู่ไปกับการทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยวิจัย ซึ่งต้องทดลองงานนานถึงหนึ่งปี
แต่หญิงสาวกลับได้รับการบรรจุเข้าทำงานภายในระยะเวลาเพียงแค่หกเดือนเท่านั้น พร้อมกับเงินเดือนประจำหกพันสามร้อยยี่สิบหยวนต่อเดือน และสวัสดิการมากมายที่รัฐมอบให้ในฐานะที่เธอเป็นบุคลากรของรัฐนั่นเอง มือน้อยเรียวสวยเอื้อมหยิบภาพถ่ายของพ่อและแม่มากอดเอาไว้แนบอกด้วยความรักและคิดถึงอย่างสุดหัวใจ
“พ่อขาแม่ขา อันอันทำได้แล้ว ตอนนี้หนูได้บรรจุเข้าทำงานในพิพิธภัณฑ์เป็นนักประวัติศาสตร์และนักวิจัยเหมือนพ่อกับแม่แล้วนะคะ พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวของหนูไหม” หญิงสาวพึมพำบอกพ่อแม่ของเธอในรูปภาพก่อนจะยกขึ้นหอมด้วยความชื่นใจพลางวางลงบนโต๊ะดั่งเดิม
มือเรียวดึงถาดที่มีห่อผ้าขาวพร้อมคลี่ออกอย่างรวดเร็ว เพื่อลงมือทำงานตามที่ได้รับมอบหมายมา ทันทีที่ห่อผ้าดังกล่าวถูกเปิดออก ดวงตาคู่สวยจ้องเขม็งสิ่งที่อยู่ในห่อผ้าอยู่เช่นนั้นนิ่งนาน เมื่อตรงหน้าของเธอคือปิ่นหยกโบราณ แกะสลักลายมังกรตรงส่วนหัวเห็นได้อย่างชัดเจน
นิ้วเรียวสวยค่อยๆ เอื้อมมือหยิบปิ่นโบราณ และทันทีที่ปลายนิ้วสัมผัสถูกตัวปิ่น ฉับพลันภาพเลือนรางปรากฏขึ้นให้เธอได้เห็นขึ้นมาโดยพลัน ร่างบุรุษในอาภรณ์เลอค่าสูงใหญ่ตระหง่านค่อยๆ บรรจงปักปิ่นที่แกะสลักเป็นลายหงส์ลงบนมวยผมของสตรีสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขอย่างเห็นได้ชัด
"หนึ่งปิ่นหนึ่งต่างหู ของคู่เคียงแทนใจข้า อยู่แนบชิดกายเจ้าตราบสิ้นชั่วฟ้าดิน" เสียงทุ้มก้องกังวานพร่ำบอกโฉมตรูซึ่งเป็นนางในดวงใจ
“หนึ่งปิ่นหนึ่งหัวใจจากข้า ขอมอบให้ท่านดูแลตราบสิ้นชีพชีวาวาย” สตรีสาวสูงศักดิ์ตอบกลับไปพร้อมมอบปิ่นแกะสลักลวดลายมังกรในมือของนางมอบให้คนรัก
ร่างสูงใหญ่ทะมึนโน้มกายลงเพื่อให้คนรักปักปิ่นดังกล่าวด้วยมือของนางเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุขอย่างยิ่งยวด
“อันอัน!” เสียงเรียกของเพื่อนร่วมงานดังขึ้น
พรึบ! ภาพเลือนรางที่มองไม่เห็นใบหน้าบุรุษและสตรีซึ่งเป็นคนในสมัยโบราณดับวูบลงไปทันที
“ไปทานข้าวกลางวันกันเถอะ เที่ยงแล้ว” เพื่อนร่วมงานเอ่ยปากชวน
หญิงสาวสะบัดศีรษะของตัวเองไปมา พร้อมค่อยๆ กลืนน้ำลายลงคอเมื่อจู่ๆ ก็เห็นภาพประหลาดเกิดขึ้นกับเธอเป็นครั้งแรกในชีวิต
“ไปกินกันเถอะ วันนี้ฉันห่อข้าวมาด้วย อีกอย่างหัวหน้าเพิ่งมอบงานใหม่มาให้ทำ ฉันขอดูก่อนว่าจะต้องเริ่มค้นคว้าจากตรงไหนก่อนดี”
หญิงสาวปฏิเสธเพื่อนร่วมงานอย่างนุ่มนวล
“ตามใจเธอเถอะย่ะ อย่าหักโหมมากก็แล้วกัน เดี๋ยวเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะลำบาก” เพื่อนร่วมงานกล่าวเตือนพลางหันหลังกลับก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“อ่อ! เธอยังรับดูดวงและทำนายโชคชะตาอยู่หรือเปล่าแม่ซินแสคนดัง” เพื่อนร่วมงานถามกลับมา
หญิงสาวพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันพร้อมเงยหน้าขึ้นมอง
“ฉันก็ยังรับดูดวงอยู่ตลอดนั่นแหละ เลิกงานจากที่นี่ก็ไปเปิดร้านรับดูดวงทุกวัน ถ้าไม่มีอาชีพนี้จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าจิปาถะได้เล่า” จางเพ่ยอันตอบกลับไป
เพื่อนร่วมงานฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจครั้นได้ยินเช่นนั้น
“ดีเลยเดี๋ยวช่วงค่ำๆ จะไปที่ร้านเธอให้ดูดวงญาติผู้พี่ของฉันเสียหน่อย เผื่อจะได้มีทางแก้ไขได้… ว่าแต่ดูฟรีได้ไหม”
หญิงสาวส่งยิ้มกลับไปอย่างเย็นยะเยือก ดวงตาหวานลุกวาววับขึ้นมาทันทีเมื่อเจอการต่อราคาสุดหฤโหดเช่นนั้น
“ฉันใช้พลังเยอะนะยะที่จะต้องดูดวงโชคชะตาให้ ของแบบนี้ต้องทุ่มเทและเรียนรู้จากครูบาอาจารย์ เอาเป็นว่าราคาไม่ลดร้อยห้าสิบหยวนเหมือนเดิม แต่ให้ถามได้สามข้อ เป็นยังไง แค่นี้พอใจไหม”
“ว้าว! แม่หมออันอันใจดีให้ถามได้สามข้อเสียด้วย แล้วเจอกันค่ำๆ นะ ฉันจะพาญาติผู้พี่ไปดูดวงกับเธอ” เพื่อนร่วมงานกล่าวพร้อมใช้มือตบลงบนบ่าของหญิงสาว
จางเพ่ยอันส่งยิ้มแห้งๆ กลับไปพลางมองตามหลังเพื่อนร่วมงาน
“คำถามละร้อยห้าสิบหยวน ให้ถามฟรีตั้งสามข้อฉันต่างหากสิยะที่ขาดทุนแทนที่จะได้เงินสี่ร้อยห้าสิบหยวนกลับได้แค่นั้น” แม่สาวน้อยบ่นรำพึงรำพัน
เมื่องานพิเศษของเธอคือการเป็นหมอดู คอยดูดวงและทำนายโชคชะตารวมไปถึงการจัดวางฮวงจุ้ยในทำเลมงคล ซึ่งเป็นพรสวรรค์ส่วนตัวของหญิงสาวที่มีมาตั้งแต่กำเนิด จางเพ่ยอันมีญาณสัมผัสพิเศษสามารถเห็นเหตุการณ์ในอดีตและอนาคตได้ และก็นำมาใช้ประโยชน์เพื่อหารายได้เลี้ยงชีพตัวเองตั้งแต่ออกมาเผชิญโลกอยู่ตามลำพัง
ทว่าการดูดวงของเธอก็อยู่ภายใต้ขอบเขต ช่วยได้ บรรเทาได้ แต่ไม่ฝืนกฎเกณฑ์ของโชคชะตาและลิขิตของสวรรค์เบื้องบน เพราะจางเพ่ยอันมีกฎเหล็กที่ลูกค้าประจำต่างล่วงรู้กันดี และราคาไม่เคยปรับขึ้นยังคงราคาเดิมไม่เปลี่ยนแปลง นอกเสียจากลูกค้าจะมอบสินน้ำใจให้เอง จึงทำให้หญิงสาวมีลูกค้าประจำมาใช้บริการมากมาย เป็นอาชีพเสริมที่ทำรายได้ให้อย่างงดงาม บางเดือนมีรายรับหลายหมื่นหยวนเลยทีเดียว ทำให้มีความเป็นอยู่อย่างสบายกว่าเดิมยิ่งนัก
หญิงสาวค่อยๆ หันกลับมามองปิ่นหยกโบราณที่เพิ่งขุดพบจากสุสานแห่งใหม่ด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวด เธอยกมือขึ้นเท้าคางกับขอบโต๊ะเมื่อได้เห็นภาพที่จู่ๆ ปรากฏขึ้นมา ว่ามีปิ่นหยกสองอัน ในมือของจางเพ่ยอันขณะนี้คือปิ่นหยกแกะสลักลวดลายมังกรเป็นของบุรุษ ส่วนของสตรีสาวคนรักของเขาเป็นปิ่นหยกแกะสลักลายหงส์ เหตุใดหนอหญิงสาวจึงเห็นภาพเจ้าของปิ่นหยกโบราณชิ้นนี้ขึ้นมาได้
“ปิ่นหยกอันนี้มีเจ้าของ แถมมีประวัติความเป็นมาตั้งแต่โบราณเลยทีเดียว เสียดายที่เห็นภาพไม่ชัดก็เลยไม่รู้ว่าเป็นของคนในยุคไหน มีหน้าตาเป็นยังไงบ้าง อยากรู้เหมือนกันว่าคนในสมัยโบราณจะมีหน้าตาแบบไหน ถ้าเหมือนในภาพวาดของจิตรกรขี้เหร่ตายชัก สงสัยปิ่นหยกอันนี้ท่าทางน่าจะอยู่ช่วงก่อนราชวงศ์ฉินเสียแล้วกระมัง” หญิงสาวพึมพำพร้อมยกปิ่นโบราณตรงหน้าขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง
ทันใดนั้นเอง
“ปิ่นนี้เป็นของข้า!” เสียงปริศนาดังขึ้นอยู่ด้านหลังของเธอ
ในขณะที่เจ้าตัวกำลังหมุนปิ่นหยกไปมา เพื่อสำรวจอย่างละเอียด
“เฮ้ย! จู่ๆ จะมาบอกว่าเป็นของใครกันง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไงกันล่ะคุณ ปิ่นหยกอันนี้เป็นของโบราณที่เพิ่งขุดค้นพบในสุสาน” เธอตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มหวาน ก่อนจะเอะใจเมื่อคำถามที่เพิ่งได้ยินนั้นช่างโบราณเสียนี่กระไร
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาโดยพลัน พร้อมดวงตาคู่สวยมองตรงไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งยังไม่ได้เปิดทำงาน กำลังสะท้อนภาพร่างบุรุษสูงใหญ่ในชุดเกราะแม่ทัพยืนอยู่ทางด้านหลังของเธอ
แกร๊ง! ปิ่นหยกที่อยู่ในมือตกลงบนโต๊ะทำงานทันที
ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจอย่างสุดขีด เมื่อเธอเห็นบุรุษในชุดเกราะโบราณระดับแม่ทัพยืนอยู่ทางด้านหลังของเธอ ใบหน้าสวมหน้ากากสีเงินปิดบังเอาไว้อย่างมิดชิดมิเห็นโฉมหน้าอันแท้จริงแม้แต่น้อย ภายในมือถือดาบง้าวขนาดใหญ่ใบมีดคมกริบวาววับ ยืนมองเธอผ่านหน้ากากดังกล่าวดวงตาไม่กะพริบ
“เจ้าเป็นผู้ใด! ใยจึงมีปิ่นของข้าไว้ในครอบครอง!” บุรุษภายใต้หน้า กากสีเงินเอ่ยถามเสียงนุ่มนวลกลับมา
หา!!! จางเพ่ยอันอุทานออกมาโดยพลัน ดวงตาจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ตาไม่กะพริบ
“อันอันเข้ามาในห้องหน่อย!” เสียงหัวหน้างานดังขึ้นอยู่ห้องทำงานส่วนตัว
ร่างบุรุษในชุดเกราะแม่ทัพหันกลับมามองหัวหน้างานของหญิงสาวเพียงครู่ ก่อนจะหันกลับมามองเธอดั่งเดิม พรึบ! ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ เลือนหายไปชั่วพริบตา
“เฮ้อ!” หญิงสาวถอนหายใจออกมาทันใด มือน้อยๆ ยกขึ้นจับหน้าอกของตัวเองพร้อมตบลงเบาๆ เป็นการเรียกขวัญของเธอให้กลับคืนมาโดยพลันพลางกลืนน้ำลายลงคอ
“มาให้เห็นกลางวันแสกๆ เลยหรือนี่ ผีหวงของชัดๆ” จางเพ่ยอันบ่นพึมพำพร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดใบหน้าหวานสวยของเธอพลางสูดลมหายใจเข้าปอด
“มาแล้วค่ะหัวหน้า” หญิงสาวรีบขานรับตอบกลับไป
ร่างระหงรีบลุกจากเก้าอี้ทำงานหากแต่ก่อนไปก็ไม่วายที่จะหันกลับมามองปิ่นหยกโบราณที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความพิศวงอย่างยิ่งยวด เมื่อเพิ่งได้พานพบกับเจ้าของปิ่นหยกดังกล่าวอย่างไม่คาดฝัน
ทันทีที่ก้าวเข้ามาภายในห้องทำงานส่วนตัวของหัวหน้างาน
“เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเตรียมตัวออกพื้นที่ไปร่วมตรวจสอบกับทีมงานที่เพิ่งขุดค้นสุสานใหม่ด้วยนะอันอัน ข้อมูลของวัตถุโบราณที่เพิ่งให้ไปนำส่งก่อนจะออกเดินทางด้วยนะ” หัวหน้าสาวรุ่นใหญ่บอกกับเธอก่อนจะหยุดชะงักเมื่อเห็นลูกน้องยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่เช่นนั้น
“เป็นอะไรอันอัน ไม่สบายหรือเปล่าดูหน้าซีดๆ ชอบกล” หัวหน้างานถามกลับไปทันทีที่เห็นความผิดปกติ
และนั่นทำให้จางเพ่ยอันรู้สึกตัวขึ้นมาทันที
“อะ… เออ... อันอันสบายดีค่ะหัวหน้า พอดีกำลังค้นคว้าหาข้อมูลปิ่นหยกนั่นอยู่ก็เลยคิดอะไรเพลินไปหน่อย” หญิงสาวรีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว แล้วก็อย่าลืมไปรายงานตัวที่ฝ่ายพัฒนาบุคลากรด้วยล่ะ เธอจะได้มาช่วยทำงานเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้กับสถาบันวิจัยอย่างเต็มที่”
ใบหน้าสวยฉีกยิ้มกว้างออกมาทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น
“อันอันไม่ลืมค่ะหัวหน้าจะไปรายงานตัวเดี๋ยวนี้เลย” เธอตอบกลับไปก่อนจะได้ยินหัวหน้างานเอ่ยขึ้น
“อ่อ! ก่อนจะออกไปเก็บวัตถุโบราณเข้าตู้เซฟให้เรียบร้อยด้วยนะ” แม่สาวรุ่นใหญ่กล่าวเตือนลูกน้อง
“รับทราบค่ะ” จางเพ่ยอันขานรับอย่างแข็งขันพร้อมหันหลังเดินกลับตรงไปที่โต๊ะทำงานของเธอดั่งเดิม
ปิ่นหยกโบราณถูกนำมาวางไว้ในหีบไม้ขนาดกะทัดรัดพร้อมเลื่อนปิดเอาไว้เป็นอย่างดี พลางเก็บของทุกอย่างซึ่งเป็นงานที่เธอได้รับมอบหมายเข้าตู้นิรภัยที่ตั้งอยู่ด้านหลังของโต๊ะทำงานพร้อมปิดล็อกตั้งรหัสใหม่ทุกครั้ง ไม่ให้ซ้ำกันป้องกันการผิดพลาดก่อนจะเดินออกจากห้องทำงาน ซึ่งภายในห้องไม่มีใครหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่คนเดียว
ทันทีที่หญิงสาวเดินออกจากห้องวิจัยค้นคว้า ร่างเลือนรางของบุรุษในชุดเกราะแม่ทัพปรากฏออกมาอีกครา ดวงตาภายใต้หน้ากากสีเงินจับจ้องอยู่ที่ร่างระหงของจางเพ่ยอันด้วยความสงสัยอย่างยิ่งยวด
“อันอัน!” เสียงทุ้มก้องกังวานเต็มไปด้วยอำนาจ เอ่ยชื่อเล่นของคนงามออกมาเบาๆ ด้วยได้ยินชื่อของเธอเมื่อครู่ที่ผ่านมาออกจากปากของหัวหน้างานของหญิงสาว
ฉับพลันเสียงเรียกจากที่ไกลแสนไกลกำลังเรียกขานบุรุษในชุดเกราะดังคล้ายเสียงกระซิบแผ่ว
“องค์ชาย! องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ!” เสียงเรียกค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ
“องค์ชายทรงเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ! องค์ชาย!!!” ครานี้เสียงเรียกดังขึ้นมาอย่างชัดเจน พร้อมร่างเลือนรางค่อยๆ เลือนหายไปจากบริเวณดังกล่าว